เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 แม้กลับมาเติบโตได้ แต่ฟื้นตัวแบบชะลอลงและเปราะบางอีกครั้ง จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนาน ในขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักเดิมทั้งภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออก กำลังมีประสิทภาพลดลง ท่ามกลางเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงในการแข่งขัน
จากปัญหาเศรษฐกิจไทย ทั้งระบบโครงสร้างและปัยหาเฉพาะหน้า ทำให้ทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ จะต้องรีบและผลักดนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่เเริ่มทำงาน แต่บางรัฐบาลมักจะประกาศ “หวือหวา” ในช่วงต้น แต่ประสบความสำเร็จน้อย บางรัฐบาลก็อาจมีเวลาน้อยไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว นโยบายเหล่านี้มักไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
ยุครัฐบาล ‘เศรษฐา-แพทองธาร’
ในยุคนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ยกให้การแก้ปัญเศรษฐกิจไทยเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ในช่วงตลอด 2 ปี (ส.ค. 66 – ส.ค. 68) ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง แต่มีกี่มาตรการที่สำเร็จแล้วบ้าง โดยเริ่มจาก
ดิจิทัลวอลเล็ต
โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของพรรคเพื่อไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมให้เติบโตอย่างรวดเร็ว (แบบพายุหมุน) และส่งเสริมการบริโภคระดับท้องถิ่น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยลักษณะของโครงการ คือ แจกเงินจำนวน 10,000 บาท ให้ประชาชนราว 50 ล้านคน ใช้งบประมาณรวม 500,000 ล้านบาท ผ่านแอปพลิเคชันดิจิทัลวอลเล็ต (คล้ายกับเป๋าตัง) และจำกัดการใช้เงินในพื้นที่ที่กำหนดผ่านร้านค้าทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการ แต่ไม่รวมร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
โครงการแบ่งเป็น 3 ระยะ (เฟส) โดยเฟสที่ 1 แจกเงินสดให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐและผู้พิการ จำนวน 14.5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 140,000 – 145,000 ล้านบาท เฟสที่ 2 แจกเงินสดให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 3 ล้านคน ผ่านพร้อมเพย์ ใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท และเฟสที่ 3 ประชาชนทั่วไป ต้องลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ ประมาณ 33 ล้านคน แต่ในเฟสนี้รัฐบาลเลื่อนโครงการออกไปไม่มีกำหนด เพราะต้องนำงบประมาณไปบรรเทาผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ จากนั้นเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โครงการนี้ก็สุดลงทันที
ซอฟต์พาวเวอร์
นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) รัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแรงงานทักษะสูง สร้างงานและรายได้ ขยายอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งเสริมการส่งออกสินค้าบริการและสร้างสรรค์ และผลักดันประเทศไทยให้เป็นประเทศชั้นนำของโลกด้านซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (One Family One Soft Power: OFOS) และ Thailand Creative Content Agency (THACCA) ที่มุ่งเน้นพัฒนา 11 อุตสาหกรรมวัฒนธรรม ตั้งเป้าหมายให้ทุกครัวเรือนไทยมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี พัฒนาแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง และสร้างเม็ดเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มูลค่า 4 ล้านล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังได้มีการจัดงาน SPLASH – Soft Power Forum จำนวน 2 ครั้งใน 2 ปี ที่ผ่านมา เป็นมหกรรมการประชุมและแสดงศักยภาพด้านซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในระดับนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ยังไม่มีกฎหมายรองรับที่ให้อำนาจในการจัดหาแหล่งเงินทุนผ่านกองทุนส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (กองทุน THACCA) รวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นทางการ หรือสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency) ซึ่งทั้งหมดถูกรวมอยู่ในร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พ.ศ. … (พ.ร.บ. THACCA) ที่อยู่ระหว่างเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ก่อนจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่
ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท
รัฐบาลเพื่อไทยมีนโยบายผลักดันอัตราค่าค่าแรงขั้นต่ำให้ถึง 600 บาทต่อวัน ภายใน 4 ปี เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างรายได้ของคนไทยที่มีปัญหา “รวยกระจุก จนกระจาย” และลดความเหลื่อมล้ำ แต่นโยบายนี้ทำได้ไม่ง่าย เพราะภาคเอกชนเสียประโยชน์จากต้นทุนประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น จึงมีกระแสต่อต้านจากภาคธุรกิจ ส่งผลคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดไตรภาคี) ที่ประกอบด้วยตัวแทนรัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง มีการประชุมเจรจาต่อรองเรื่องค่าแรงจำนวนหลายครั้ง จนกระทั่งปลายปี 67ได้ข้อสรุปปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่เท่ากันทั่วประเทศ ในอัตรา 337-400 บาทต่อวัน ต่อมากลางปี 68 มีการปรับขึ้นอีกครั้งที่สองในอัตราสูงสุด 400 บาทต่อวัน เฉพาะแค่ในกรุงเทพมหานคร และโรงแรมกับสถานบริการทั่วประเทศเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สามารถปรับขึ้นไปถึง 600 บาท
พักหนี้เกษตรกร
นโยบายพักหนี้เกษตร เป็นการลดภาระทางการเงินและเพิ่มสภาพคล่องให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาหนี้สิน โดยรัฐบาลเริ่มช่วยเหลือลูกหนี้เกษตรกร ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีหนี้ต้นค้างชำระไม่เกิน 300,000 บาท จะได้รับการพักชำระเงินต้นและลดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีทั้งหมด 3 ระยะ (จนถึง 30 ก.ย. 69 ) พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. จำนวนประมาณ 300,000 ราย นาน 2 ปี รายละ 3,000 บาท
ส่งเสริมและดูแลธุรกิจ SMEs
รัฐบาลออกมาตราการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME D Bank) มีโครงการขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อหลายโครงการ เช่น โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 11 และโครงการ ‘กระบะพี่ มีคลังค้ำ’ ขยายเวลาค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงมีการอบรมเพิ่มทักษะให้กับผู้กอบการและแรงงานในธุรกิจ SMEs แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากทางภาครัฐว่ามาตรการดังกล่าวได่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs แล้วกี่ราย
ลดราคาพลังงาน
รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาชูนโยบายแรงด่วนลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ผ่านการบริหารจัดการราคา ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่ที่ผ่านมามีมาตรการชั่วคราวเท่านั้น โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศชั่วคราว เพื่อไม่ให้ราคาสูงเกินจนกระทบประชาชน จนส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องประสบภาวะเงินกองทุนติดลบหนักเกือบ 1 แสนล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลยังมีการลดราคาค่าไฟในช่วงที่ราคาต้นทุนพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้องค์กรกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีภาระหนี้ค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) ที่ ต้องทยอยคืนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท. ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว
การเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในนโยบายหลักและความหวังสูงสุดของรัฐบาล เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรสำคัญฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศเป้าหมายสำคัญ การอำนวยความสะดวกในสนามบิน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัด เป็นต้น
ส่งผลให้ในปี 67 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยถึงระดับเป้าหมายของรัฐบาลที่ 35 ล้านคน และปี 68 มีการตั้งเป้าหมายใหม่ไว้ที่ 40 ล้านคน แต่ถูกปรับลดลงในภายหลัง เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลง จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่สิ้นปี 68 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเหลือเพียง 32 ล้านคน จากหลายปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
แลนด์บริดจ์ (Land Bridge)
แลนด์บริดจ์ (Land Bridge) เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ผ่านการสร้าง 2 ท่าเรือลึก ในจังหวัดชุมพรและระนอง ควบคู่กับเส้นทางขนส่งทางบกระหว่างจังหวัดดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและให้ไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค
ทั้งนี้ เศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปโรดโชว์ในหลายประเทศ เพื่อเสนอข้อมูลและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ในขณะที่ตัวโครงการยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและศึกษาโครงสร้างเงินทุน รวมถึงจัดทำร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …
อย่างไรก็ตามโครงการนี้มีกระแสคัดค้านอย่างมากจากหลายฝ่าย ที่ตั้งข้อสงสัยถึงความคุ้มค่าของโครงการ ทั้งด้านต้นทุนการขนส่งจะลดลงได้จริงหรือไม่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในทะเลและผืนป่า ผลกระทบต่อที่ดินทำกินและการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่น ความเสี่ยงด้านเงินทุนที่ภาครัฐอาจต้องแบกรับภาระหนี้ระยะยาวหากเอกชนไม่สามารถลงทุนได้ตามเป้าหมาย รวมถึงกฎหมายพิเศษที่ให้รัฐบาลมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่โดยขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนช่วยตัดสินใจ
ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก และในปัจจุบันแนวโน้มความต้องการยานยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและราคาต่ำลง รวมไปถึงแนวทางการพัฒนาไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) จึงได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30@30 หรือแผนแม่บทของไทยที่ตั้งเป้าหมายผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ ภายในปี 73
ปัจจุบันการส่งเสริมอยู่ช่วงในระยะที่ 1 มาตรการ EV3 และระยะที่ 2 มาตรการ EV3.5 ซึ่งล่าสุดได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขเพื่อลดผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก ได้แก่ ขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ เปลี่ยนวิธีการนับจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยที่ได้มีการส่งออกไปต่างประเทศ กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุน ทบทวนการขอรับสิทธิและการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อนำมาผลิตชดเชย และขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่
แก้หนี้นอกระบบ
เศรษฐา ทวีสิน ประกาศปัญหาหนี้นอกระบบเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ เนื่องจากเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยและเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอื่น ๆ ในสังคมตามมา นโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบจึงเป็นหนึ่งในนโยบายที่คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน โดยรัฐบาลใช้ กระทรวงมหาดไทย เป็นแกนหลักในการรับลงทะเบียนและไกล่เกลี่ยหนี้ให้กับลูกหนี้นอกระบบ เพื่อลดดอกเบี้ยและมูลหนี้ที่ไม่เป็นธรรม หากสำเร็จจะโอนหนี้เข้าสู่ระบบ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เช่น ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ทั้งนี้หลักจากปิดลงทะเบียน 109 วัน มีประชาชนมาลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 153,400 ราย สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ย และยุติเรื่อง ทำให้มูลหนี้ลดลง 1,203.57 ล้านบาท
ศูนย์กลางการเงินของโลก
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ. Financial Hub) เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเพื่อไทย ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาคและระดับโลก (ศูนย์รวมธุรกรรมทางการเงินทุกรูปแบบ) โดยมุ่งปรับโครงสร้างกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจการเงินสมัยใหม่ เปิดทางให้สถาบันการเงินและธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเข้ามาลงทุนและตั้งฐานในไทย พร้อมจัดตั้งหน่วยงานกำกับเฉพาะเพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมาตรการจูงใจอื่น ๆ เพื่อเป็นการดึงดูดเงินทุน บุคลากร และเทคโนโลยีทางการเงินจากทั่วโลก
ด้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดงความกังวลถึงการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน จะกลายเป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมาย กระทบต่อความเชื่อถือของระบบการเงินหลักและสร้างความเสียหายต่อประเทศในระยะยาวได้ โดยเสนอแนะต้องแยกออกจากระบบการเงินในประเทศ กำหนดขอบพื้นที่ให้ชัดเจน และเตรียมหน่วยงานกำกับดูแลให้พร้อม
ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ. Financial Hub อยู่ในขั้นตอนเตรียมเข้าบรรจุในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงยังไม่ได้มีการพิจารณาและรับรองให้เป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์
สถานบันเทิงครบวงจร
สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เป็นแนวคิดที่รัฐบาลเพื่อไทย ต้องการพัฒนาให้เป็นโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่รวมกิจกรรมแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่และความบันเทิงในพื้นที่เดียวกันกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มรายได้ให้ประเทศ โดยจุดขายที่สำคัญ คือ บ่อนกาสิโน ที่ถูกกฎหมายแห่งแรกของประเทศ กระทรวงคลังคาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนล้านบาท
แม้รัฐบาลจะพยายามอย่างมากในการประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีของสถานบันเทิงครบวงจร จะช่วยสร้างรายได้ให้รัฐมากถึง 1-4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่ก็มีหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาและทำลายภาพลักษณ์ประเทศ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังไม่เห็นด้วย จนท้านที่สุด ครม. มีมติเป็นต้องถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ออกจากระเบียบวาระการประชุมขของสภาผู้แทนราษฎร ช่วงต้นเดือน ก.ค. 68
บ้านเพื่อคนไทย
บ้านเพื่อคนไทย เป็นแนวนโยบายของภาครัฐที่มุ่งแก้ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางระดับล่าง ผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาประหยัด การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และเงื่อนไขการผ่อนชำระที่เหมาะสม รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งรองรับ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีบ้านหลังแรกเป็นของตนเองอย่างยั่งยืน โดยนำที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มาดำเนินโครงการ จำนวน 25 พื้นที่ทั่วประเทศ
แต่โครงการนำร่อง (2568-2569) จะมีพื้นที่โครงการ 4 พื้นที่บริเวณสถานีรถไฟ คือ พื้นที่โครงการบางซื่อ กม.11(วิภาวดี), พื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี และพื้นที่สถานีธนบุรี ซึ่งได้เริ่มลงทะเบียนและเปิดจองสิทธิ์ พร้อมดูห้องตัวอย่าง ในช่วง ม.ค. 68 และจับสลากผู้ได้สิทธิในช่วง ก.ค. – ต.ค. 68 แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โครงการนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
รัฐบาลดิจิทัล
รัฐบาลดิจิทัล เป็นนโยบายที่ต้องการให้ระบบราชการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในการให้บริการประชาชนและบริหารงานภาครัฐ โดยเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน การให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แบบเบ็ดเสร็จ และการลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เช่น ระบบ Digital ID, e-Service, e-Payment และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการกำหนดนโยบาย ซึ่งมีสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน เป้าหมายสำคัญคือเพิ่มความสะดวก โปร่งใส ลดต้นทุนของรัฐและประชาชน พร้อมยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ
ปัจจุบันประเทศไทยใช้แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2566–2570 เป็นแผนหลักในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล โดยในยุครัฐบาลเพื่อไทย ได้ดำเนินการนโยบายนี้ต่อจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น ผลักดันให้บริการภาครัฐทยอยรวมอยู่ในแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ การผลักดันกฎหมายร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. ที่อยู่ในขั้นตอนเสนอต่อวุฒิสภาพิจารณา ออกกฎกระทรวงการต่ออายุใบอนุญาตขับรถผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องเดินทางไปที่กรมการขนส่งทางบก และอนุมัติโครงการจัดทำนโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอวกาศ พร้อมอนุมัติวงเงิน 2,000 ล้านบาท สนับหนุนพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ ความปลอดภัยในโลกดิจิทัล และการพัฒนาบุคลากรดิจิทัล” รวมถึงการผลักดันให้ภาครัฐใช้ ระบบ e-Office ให้ได้ถึง 1 ล้าน User ภายในปี 68 เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การเป็นสังคมไทยไร้กระดาษ
ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สะท้อนจากหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในสัดส่วนค่อนข้างสูงกว่า 90% เข้าขั้นมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบและฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลเศรษฐา และแพทองธาร จึงประกาศให้เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินงาน โดยได้ออกมาตรการใหญ่แก้ปัญหาดังกล่าวร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ โครงการคุณสู้เราช่วย ที่มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ โดยใช้แนวคิดให้ลูกหนี้ “ตั้งใจสู้” ปรับโครงสร้างหนี้และกลับมาชำระหนี้ตามศักยภาพ
ขณะที่ภาครัฐและสถาบันการเงิน “เข้ามาช่วย” ด้วยการผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น การยกเว้นหรือลดดอกเบี้ย ชะลอการชำระเงินต้น ขยายระยะเวลาผ่อน และงดการดำเนินคดีในช่วงเข้าร่วมโครงการ เพื่อบรรเทาภาระทางการเงิน ลดความเสี่ยงกลายเป็นหนี้เสีย และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
ธปท. รายงานผลโครงการคุณสู้เราช่วย ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงสิ้นสุดการลงทะเบียน (12 ธ.ค. 67 – 30 ก.ย. 68) มีลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือตามโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้ 6.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ สถาบันการเงินอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือตามโครงการฯ โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 68 ดำเนินการไปแล้ว 6.2 แสนราย คิดเป็น 66% ของลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติทั้งหมด ครอบคลุมยอดหนี้ 4.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 71% ของยอดหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติทั้งหมด
พลังงานสีเขียว
รัฐบาลเศรษฐา และแพทองธาร มีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น เช่น การผลักดันกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ในบ้านเรือนและสถานประกอบการ, คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบแผนซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Direct PPA) ปริมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ให้แก่บริษัทชั้นนำของโลกที่เข้ามาลงทุน Data Center, จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ แม้จะมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ก็ยังคงถูกนักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปริมาณไฟฟ้าสำรองประเทศที่อาจสูงเกินความจำเป็น รวมถึงแผนสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จำนวนหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีโรงฟ้านิวเคลียร์ สัดส่วน 1% ของพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดอยู่ในแผนดังกล่าวด้วย
มาตรการควิกวิน ‘อนุทิน’
หลัง อนุทินชาญ วีรกูล ได้รับให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศมาตรการเร่งด่วน (Quick Win) เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 68 ภายใต้ข้อจำกัดระยะเวลาของรัฐบาลที่จะยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งภายใน 4 เดือน มีดังนี้
คนละครึ่งพลัส
โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1 ของรัฐบาลอนุทิน มุ่งเน้นช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันให้แก่ระชาชน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 88,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในช่วงปลายปี 68 ให้เติบโต 0.22% ขณะที่โครงการนี้ใช้งบประมาณในการดำเนิน 44,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายคนไทยจำนวน 20 ล้านคน
แบ่งเป็น ผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะได้ 2,400 บาทต่อคน และผู้ที่ไม่ยื่นแบบภาษีจะได้ 2,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ ลักษณะโครงการนี้เป็นการกระตุ้นการบริโภคของประชาชน โดยที่ภาครัฐจะช่วยจ่าย 50% สูงสุด 200 บาทต่อคนต่อวัน ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ กับร้านค้าที่ร่วมโครงการเท่านั้น สามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นปี 68
Thailand FastPass ‘ทางด่วนการลงทุน’
Thailand FastPass เป็นกลไกที่เรียกว่า “ทางด่วนการลงทุน” ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่จัดตั้งขึ้น เพื่อเร่งรัดให้โครงการลงทุนสำคัญสามารถเดินหน้าได้เร็วขึ้น โดยลดขั้นตอนและเวลาการพิจารณาอนุมัติ รวมถึงการประสานงานด้านใบอนุญาตต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งจะมุ่งช่วยโครงการที่พร้อมลงทุนจริงและมีมูลค่าสูง เฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์และชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัล และ AI เป็นต้น เพื่อให้เงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับบัตรสิทธิ Thailand FastPass จะต้องมีเงื่อนไข คือ มีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่า 20% ของมูลค่าการลงทุนรวม ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ได้รับบัตร
ในวันที่ 11 ธ.ค. 68 ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้คัดเลือก 16 โครงการแรกได้รับสิทธิ Thailand FastPass ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท
สร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill)
มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) สร้างบุคลากรทักษะสูง 1 แสนคน เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลยุคอนุทิน ในการพัฒนาคนให้พร้อมสำหรับอุตสาหกรรมอนาคตและให้ทันกับโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), เอไอ (AI) และ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) โดยใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สนับสนุนมหาวิทยาลัย/สถาบันฝึกอบรม ที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับ ปวส. ขึ้นไป โดยจัดอบรมแบบ Bootcamp, Online, Onsite รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ ให้กับคนไทย 1 แสนคน แบ่งเป็น นักศึกษา จำนวน 30,000 คน และคนทำงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) จำนวน 70,000 คน
สำหรับหลักสูตรจะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับ ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ และต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงาน และค่าตอบแทนผู้ดูแล การฝึกงาน ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือน ม.ค. 69 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
ปิดหนี้ไว ไปต่อได้
กระทรวงการคลัง ร่วมกับ ธปท. และภาคสถาบันการเงิน ออกมาตรการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) เริ่มตั้งแต่ปี 69 โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) หรือหนี้เสีย เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต จะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้
เงื่อนไข คือ ลูกหนี้ที่มีภาระหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 68 เท่านั้น และอยู่ภายใต้ผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งในไทย รวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายมีจำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท
มาตรการนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก ลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือ ธนาคารรัฐ (SFIs) จะถูกขายและโอนให้กับ AMC ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) เพื่อนำไปปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการเสนอเงื่อนไขที่เหมาะสมกับความสามารถของลูกหนี้มากขึ้น เช่น ลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม การจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น และกลุ่มที่สอง ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยธนาคารรัฐแต่ละแห่งจะปรับโครงสร้างลูกหนี้ของตนเอง
การปรับโครงสร้างหนี้ของทั้งสองส่วนนี้ รัฐบาลคาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท
เที่ยวดีมีคืน
รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 68 ต่อเนื่องถึงปี 69 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมทั้งการจูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี ประกอบด้วย 5 มาตรการย่อย ได้แก่
(1) มาตรการภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ให้นำค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหาร ที่จ่ายให้ผู้ประกอบการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึงวันที่ 15 ธ.ค. 68 มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง ไม่เกิน 20,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าที่พักหรือร้านอาหารที่มี ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบทั้งกระดาษหรือ e-Tax Invoice ไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีได้รับ e-Tax Invoice เท่านั้น สามารถหักเพิ่มได้อีกไม่เกิน 10,000 บาท ขณะที่การท่องเที่ยวในเมืองรอง ครอบคลุม 55 จังหวัดและบางพื้นที่ในอีก 15 จังหวัด นำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนได้ 1.5 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุด ไม่เกิน 30,000 บาท
(2) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนนิติบุคคลที่จัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าห้องสัมมนา ค่าที่พัก ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นเพื่อการอบรมสัมมนา รวมถึงค่าบริการผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่จ่ายช่วงระยะเวลากำหนด ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึงวันที่ 15 ธ.ค. 68 มาหักเป็นรายจ่ายได้มากกว่าปกติ โดยหักได้ 2 เท่า หากจัดในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง และหักได้ 1.5 เท่า หากจัดในพื้นที่อื่น ทั้งนี้ต้องจ่ายให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียน มูลค่าเพิ่ม (VAT) และมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ยกเว้นค่าขนส่งจะจ่ายให้แก่ผู้มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ก็ได้ แต่มีใบรับที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้ และกรณีจัดสัมมนาต่อเนื่องหลายพื้นที่ ให้แยกหักตามพื้นที่ได้ หรือส่วนที่แยกไม่ได้ให้หักได้ 1.5 เท่า.
(3) มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ 69 (Front Load) กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ 69 ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงินทั้งหมดตั้งแต่เดือน ต.ค. 68 ถึง 31 ม.ค. 69 โดยให้จัดกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ กำหนดให้มาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ อปท. และให้รายงานผลการเบิกจ่ายดังกล่าวต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ พร้อมทั้งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในผประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
(4.) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พักให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม โดยสามารถนำรายจ่ายจากการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยาย หรือทำให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการดีขึ้น (ไม่ใช่ซ่อมแซมตามสภาพเดิม) มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง ระหว่างวันที่ 29 ต.ค. 68 – 31 มี.ค. 69 ครอบคลุมอาคารโรงแรมถาวรและเฟอร์นิเจอร์ที่ยึดติดกับอาคารถาวร โดยหักเท่าแรกเป็นค่าเสื่อมราคาตามปกติ และทยอยหักเท่าที่ 2 ภายใน 20 รอบระยะเวลาบัญชีในจำนวนที่เท่ากันทุกปี เริ่มตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้เริ่มหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ทั้งนี้รัฐบาลยังเตรียมแหล่งเงินกู้รองรับการปรับปรุงโรงแรมผ่าน ธนาคารออมสิน
(5.) มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าจาก 10% เป็น 5% ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 69 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ เป็นต้น
สนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะสนับสนุนเงินทุนในสัดส่วน 30 – 50% ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ครอบคลุมการลงทุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล 2. การวิจัยและพัฒนา (R&D) 3. การปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว
ผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ถ้าเป็นผู้ประกอบการทั่วไป มีเงื่อนไขลงทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการ SME ONE ID ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายใน เดือน ม.ค. 69 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
จากมาตรการทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นมาตรการเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเกือบทั้งสิ้น เช่น การแจกเงิน การจูงจงใจด้วยการลดหย่อนภาษี การลดราคาพลังงานชั่วคราว เป็นต้น ในขณะที่มาตรการแก้โครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวมีเพียงเล็กน้อย เช่น การแก้ปัญหานี้สินครัวเรือน และการสนับสนุนเงินทุนผู้ประกอบการปรับปรุงเทคโนโลยีเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นการจะพาเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากปากเหวของปัญหาเชิงโครงสร้าง “อาจยังคงอีกไกล”
บทความที่เกี่ยว:
- โอกาสใหม่ผู้ผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ รัฐบาลอุดหนุนต่างชาติ 20% จ้างคนไทย
- ลดหย่อนภาษี “โซลาร์ รูฟท็อป” ไม่เกิน 2 แสน ใช้สิทธิได้ถึง 31 ธ.ค. 71
- “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” จริงหรือ? ย้อนดูบทเรียนตั้ง AMC จากต่างแดน


