การจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย แม้จะประสบความสำเร็จเพื่อ “สลายขั้วความขัดแย้ง”ในเชิงสัญญลักษณ์ แต่ก็นับได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของพรรคเพื่อไทย และอาจกล่าวได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายแบบประชานิยมสืบทอดกันมายาวนาน และจากสถานการณ์การณ์เมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคเพื่อไทยจำต้องเร่งผลักดันนโยบายแบบประชานิยมให้เร็วที่สุด
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 ได้ชี้ให้เห็นว่าทำไมรัฐบาลต้องเร่งดำเนินนโยบายในลักษณะประชานิยมเหมือนในอดีต (แต่นายกรัฐมนตรีมองว่านโยบายของรัฐบาลไม่ใช่ประชานิยม)
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในประเทศ ซึ่งถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ทำให้กลายเป็นภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างที่แม้แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และยังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ปัญหาสังคมและการเมืองยังคงยืดเยื้อ ฝังรากลึก และยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ”
ดังนั้นรัฐบาลมีกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วนคือ
กรอบระยะสั้น รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ประกอบกับการเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว
กรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทุกคน
ลักษณะสำคัญของนโยบายประชานิยม คือ มีการผลักดันออกมา “เร็ว” และ ใช้งบประมาณค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องทำอย่าง “ทั่วถึง”
นายกรัฐมนตรีย้ำนโยบายสำคัญในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง โดยนโยบายประชานิยมแบบเดิม คือ การพักหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับเกษตรกร แต่ในครั้งนี้รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
นอกจากนี้ มีการปรับปรุงนโยบายประชานิยมแบบ “อัดฉีดโดยตรง” ผ่านนโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านเป๋าตังดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินจำนวนมาก
หากติดตามนโยบายของรัฐบาลที่เร่งผลักดันออกในระยะสั้น จะมุ่งเน้นไปที่กระตุ้น “การบริโภค” หรือ “กำลังซื้อ” ภายในประเทศเป็นสำคัญ
ธปท.ห่วงกระทบเสถียรภาพ
แม้ว่าภาคธุรกิจบางส่วนจะสนับสนุนมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ แต่หน่วยงานที่ “เห็นต่าง”ในนโยบายสำคัญของรัฐบาลคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท. แสดงความเห็นภายหลังจากหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมองเห็นต่างว่าปัญหาที่สำคัญมากกว่า “กระตุ้นกำลังซื้อ” คือ “กระตุ้นการลงทุน”
“สิ่งที่ขาดอาจจะไม่ใช่เรื่องการบริโภค แต่เป็นเรื่องการลงทุนมากกว่า การทำนโยบายต่าง ๆ ควรต้องเป็นเฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะประหยัดงบประมาณได้มากกว่า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องการเงินหมื่นบาท นี่คือที่เราคุยกับรัฐบาลไป รวมทั้งที่การทำนโยบาย ต้องฉายภาพระยะปานกลางให้ชัด เช่น ภาพรวมรายจ่าย หนี้ การขาดดุล ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นเรื่องวินัยการคลัง”
นายเศรษฐพุฒิ ยังคัดค้านรูปแบบการทำนโยบายเติมเงิน ในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ บล็อกเชน โดยอ้างว่าจะกระทบเสถียรภาพ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ธปท.ไม่สนับสนุนอยู่แล้ว รวมทั้งยังไม่เห็นด้วยกับมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรแบบ “ทั่วถึง” แต่เสนอให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม
รัฐบาลย้ำรักษาวินัยการคลังของประเทศ
งานแรกที่นายกรัฐมนตรีต้องรีบทำเป็นการด่วนก็คือ “งบประมาณ” และย้ำว่ารัฐบาลจะรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด
การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ได้อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ ปรับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 โดยงบรายจ่ายรวม 3.48 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.3 แสนล้านบาท จากกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ 3.35 ล้านล้านบาทในสมัยรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยอนุมัติกรอบงบประมาณเอาไว้
วงเงินงบประมาณที่ปรับเพิ่มขึ้นมา เพราะคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท จะนำไปจ่ายภาระเงินกู้เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น และขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล และเพื่อรักษาสัดส่วนทางการคลังตามกรอบวินัยการเงินการคลัง
การขาดดุลงบประมาณ หรือ กู้เงินมาใช้จ่าย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หากประเทศมีฐานะการคลังที่ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง แต่กรณีของประเทศไทย ได้มีการจัดทำงบประพมาณแบบขาดดุลมานานกว่า 10 ปีติดต่อกัน ทำให้หนี้สาธารณะในรูปของ “ตัวเงิน”ขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รัฐบาลกู้เงินมาใช้จ่ายจำนวนมหาศาล จนรัฐบาลต้องแก้กฎหมายขยายเพดานหนี้ จาก 60% ของจีดีพี เป็นไม่เกิน 70% ของจีดีพี
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี นับเป็นตัวเลขสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงสถานะการเงินการคลังของประเทศ รัฐบาลในอดีตพยายามรักษาสัดส่วนไว้ไม่ให้เกิน 60% ของจีดีพีมายาวนาน ก่อนที่จะขยายเพาดานใหม่เป็น 70% ในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องกู้เงินครั้งใหญ่มาใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ตามการประมาณการฐานะการคลังของประเทศ สำนักงบประมาณคาดว่าหนี้สาธารณะคงค้างต่อจีดีพี ในงบประมาณปี 2567 จะอยู่ที่ 64% จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปี 2570 จะอยู่ที่ 64.81% แต่หากคิดเป็นตัวเงินจากเพิ่มกว่า 2 ล้านล้านบาท จาก 12.09 ล้านล้านบาทในปี 2567 เป็น 14.36 ล้านล้านบาทในปี 2570
ห่วงกระทบวินัยการเงินการคลัง
ทุกนโยบายของรัฐบาลในอดีตที่มีการอัดฉีดในระยะสั้นและใช้เงินจำนวนมากมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่ไม่ได้ผลมากนักแต่ในทางตรงกันข้ามอาจสร้างผลกระทบในระยะยาวจนกระสร้างปัญหาความเชื่อมั่นให้กับการคลังของประเทศ
แต่นายกรัฐมนตรีระบุว่าแม้จะเพิ่มขาดดุลงบประมาณอีก 1 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลยังคงรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลแทบไม่ต่างกันมากนัก ยกตัวอย่างเช่น นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสซ์เฟซบุ๊ก “Pipat Luengnaruemitchai” ในหัวข้อ “วินัยการคลัง” เมื่อรัฐบาลเสพติดการขาดดุล
นายพิพัฒน์ ระบุว่ารัฐบาลได้อนุมัติกรอบการคลังระยะปานกลาง ที่ควรจะเป็นกรอบการดำเนินงานของรัฐบาล และบอกกับนักลงทุนว่ารัฐบาลมีแผนในการจัดการการเงินอย่างไรในอนาคต โดยมีข้อน่าสนใจสามเรื่อง
ประการแรก การปรับเพิ่มการขาดดุลงบประมาณปีหน้าเพิ่มขึ้นจาก 5.93 แสนล้าน เป็น 6.93 แสนล้าน เพิ่มงบประมาณขึ้น 1.3 แสนล้าน และเพิ่มประมาณการรายได้ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นการสร้างช่องว่างเพื่อใส่มาตรการแจกเงิน 5.6 แสนล้าน ซึ่งการขาดดุลก็เกือบเต็มเพดานตามกรอบพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ หรือไม่?
ถ้าใช่ ก็มีข้อสงสัยอยู่ว่ารัฐบาลจะหาเงินจากไหนมาชดเชยมาตรการที่เหลืออีก 4.3 แสนล้าน เข้าใจว่าจะให้ธนาคารของรัฐออกไปก่อนและตั้งงบประมาณชดเชยทีหลัง แต่ก็ถูกจำกัดด้วยกรอบมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐที่อาจจะต้องยกขึ้นแต่อาจจะยกขึ้นได้ไม่มากนัก
ประเด็นที่สอง การปรับกรอบการขาดดุลงบประมาณในอนาคตขึ้นทั้งแผง จากเดิมที่คาดว่าจะค่อย ๆ ปรับการขาดดุลงบประมาณลดลง และจะพยายามทำงบประมาณ “สมดุล” ในระยะยาว ซึ่งแผนดังกล่าวก็ “ใส่ลิ้นชัก“ ไปก่อน
ประการที่สาม รัฐบาลคาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นไปแถว ๆ 65% ของจีดีพีจากเดิมประมาณ 61% และไม่ลดลงตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ และไปใกล้เพดานระดับ 70% ของจีดีพี ซึ่งจะทำให้กันชน(buffer)ทางการคลังเพื่อรองรับวิกฤติในอนาคตมีน้อยลง
นายพิพัฒน์ ย้ำว่าการแจกเงินโดยไม่กระทบวินัยการคลัง ไม่เป็นภาระงบประมาณนั้นเป็นไปไม่ได้เลย และผลที่สุดแล้วจะกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจจะปรับมุมมองต่อประเทศไทย
อันดับความน่าเชื่อถือขึ้นกับหนี้รัฐบาลและฐานะการคลัง
บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ประกาศเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมองสถานะประเทศไทยแบบกลาง ๆ
ภายในปี 2567 คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 55.9 แต่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers)
Fitch ระบุว่าภาระหนี้ของรัฐบาลและฐานะการคลังมีความสำคัญต่อการพิจารณาเพิ่มอันดับหรือลดอันดับความน่าเชื่อถือ
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Fitch ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อจีดีพี (General Government Debt to GDP) การลดการขาดดุล ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีศักยภาพในระยะปานกลาง
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ Fitch มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและส่งผลต่อการเติบโตหรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
หากพิจารณาหนี้เสาธารณะที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และเม็ดเงินเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากรัฐบาลมีการกู้เงินเพื่อมาสมทบ หรือ ปิดงบประมาณในแต่ละปี ในขณะที่รายได้ของรัฐบาลที่มาจากภาษีน้อยกว่ารายจ่าย
รัฐบาลต้องกู้เงิน ด้วยการทำงบประมาณ “ขาดดุล” มายาวนานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา จนกระทั่งรัฐบาลต้องขยายเพดานก่อหนี้เพิ่มเป็น 70% ของจีดีพี
ดังนั้น ประชาชนต้องติดตามการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพราะรัฐบาลทุกรัฐบาลมีการใช้นโยบายแบบ “ประชานิยม” ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 20 ปี และทุกรัฐบาลก็มักจะให้สัญญาว่าจะรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทำได้
หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจไทยอาจหลีกเลี่ยงไม่พ้นเส้นทางเดียวกันกับหลายประเทศที่ใช้นโยบายในลักษณะนี้เพื่อหวังผลทางการเมือง ดังตัวอย่างหลายประเทศในลาตินอเมริกา และประเทศยุโรปบางประเทศ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติอยู่ในปัจจุบัน
"รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" มาตามนัด แม้การเมืองยังมีความเสี่ยง รัฐบาลประกาศเดือนส.ค. นี้ เปิดลงทะเบียนผู้ต้องการใช้บริการ ผ่านแอพฯ’ทางรัฐ’ ใช้ได้ทุกสาย เริ่ม 30 ก.ย. 68
อนุมัติแล้วมาตรการส่งเสริมประหยัดพลังงาน เปลี่ยนเรื่องจักรและอปุกรณ์ประหยัดพลังงาน หักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า มีผลถึง 31 ธ.ค. 71 พร้อมสนับสนุนโซลาร์รูปท็อปตามบ้านเรือน ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 200.000 บาท มีผลถึง 31 ธ.ค. 70 คาด 2 มาตรการ รัฐสูญรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท แต่ช่วยลดการนำเข้าก๊าซกว่าแสนล้านบาท
ซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายยุทธศาสตร์รัฐบาลที่จะสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นำไปสู่การตั้ง THACCA เพื่อเชื่อมภาครัฐกับเอกชน แก้กฎหมายและระบบภาษีปลดล็อคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แม้ พ.ร.บ. THACCA ยังไม่ผ่านสภา