สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ในหัวข้อ “Reimagining Thailand’s Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ได้เสนองานวิจัย ในหัวข้อ “เครื่องจักรการเติบโตใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะโตช้าเรื้อรังต่อเนื่อง มานานกว่า 30 แม้ที่ผ่านมาในปี 2537 เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สูงถึง 7% ต่อปี แต่ปัจจุบันปี 2567 เหลือเพียงประมาณ 2% เท่านั้น และคาดว่า อัตราการเติบโตปี 2569 อยู่ที่ 1.6 % ส่งผลให้ไทยรั้งท้ายภูมิภาคเอเชีย
หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ ภายในไม่เกินปี 2073 รายได้ต่อหัวของไทยจะต่ำกว่าเวียดนาม และรายได้ต่อหัวของไทยเพิ่มขึ้นช้ากว่าประเทศรายได้สูง จนไม่มีวันไล่ทัน ประเทศรายได้สูง ขณะที่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2579 ก็จะไม่สามารถบรรลุผลได้ หากไม่ปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่
ส่วนการเติบโตเศรษฐกิจที่ช้าเรื้อรังส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างชัดเจน โดยจะพบว่า หนี้ครัวเรือนยังสูงกว่า 80% ของ GDP ขณะที่ธนาคารไม่ปล่อยกู้ SME เพราะเสี่ยงหนี้เสีย ภาครัฐต้องอุ้มหลายภาคส่วน ทั้งครัวเรือน เกษตรกร และธุรกิจ ทำให้หนี้สาธารณะพุ่ง แม้อัตราว่างงานไม่มาก แต่ค่าจ้างแรงงานของคนไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่อง
ขาดนโยบายแก้ปัญหาโครงสร้าง
ที่ผ่านมา การแก้ปัญหาด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมักทำจะไม่บรรลุผล เพราะส่วนใหญ่เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และการเมืองที่สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ การมุ่งทำแต่นโยบายเร่งด่วน (Quick win) ระยะสั้น ขาดความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political will) ที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
ขณะที่สังคมโดยรวมขาดการตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมาต่อเนื่อง และไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ
ขาดระบบแรงจูงใจเปลี่ยนสู่โลกใหม่
นอกจากนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ ยังใช้อำนาจเหนือตลาด ในขณะที่การกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่เกิดขึ้นจริง ไม่ให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักคิดนำทาง (guiding principles) ที่จะช่วยกำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะ และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลได้จริง โดยไม่ถูกบิดเบือน หรือเบี่ยงเบนระหว่างทาง
ขาดกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูป หรือ transformation ได้อย่างแท้จริง ส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ สามารถ ทำงานร่วมกันแบบประสานพลัง มีเป้าหมายร่วมกัน มากกว่าที่จะแยกกันคิด และแยกกันทำ
กล่าวได้ว่า ไทยยังขาดระบบแรงจูงใจที่เหมาะสมกับโลกใหม่ในอนาคต ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของธุรกิจและคนในสังคม ปัญหาคอรัปชั่น ที่ถูกปล่อยปละละเลย จากเดิมที่เป็นการให้ผลตอบแทนเพื่ออำนวยความสะดวก หรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มาเป็นสิ่งที่เรียกว่าการยึดรัฐ (State Capture) ใช้กลไกภาครัฐกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวกของตนเอง ตลอดจน หน่วยงานภาครัฐเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่เปิดใจ รับแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดการปฏิรูป หรือ transformation และมักจะมีวิธีการทำงานที่เน้นกระบวนการ พิธีกรรมมากกว่าเอาสารัตถะและเป้าหมายของงานที่ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ไทยเสี่ยงศูนย์กลางธุรกิจสีเทา
หากไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีธุรกิจสีเทามากขึ้น ทั้งความเสี่ยงต่อการฟอกเงินรวมถึงการเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพอย่างคอลเซนเตอร์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งความเสี่ยงต่อการฟอกเงินรวมถึงการเป็นศูนย์กลางของแก๊งมิจฉาชีพอย่างคอลเซนเตอร์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สร้างงานที่ดีหรือ “Good Jobs” ให้แก่คนไทย

“โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ ความเสี่ยงของไทย
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทย ยังเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงขึ้นอีกมาก ทั้งผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) มาตรการกีดกันทางการค้า สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ การขาดแคลนแรงงาน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด หรือ AI transformation ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ หรือสภาวะโลกรวน
“ยิ่งถ้าเรา ติดหล่ม หรือชะงักงัน นานขึ้นเท่าไหร่ เราจะมีโอกาสดิ่งเหวเร็วขึ้น ลึกขึ้น และจะขึ้นจากเหวได้ยากขึ้นด้วย ทรัพยากรที่เรามีเหลือก็จะร่อยหรอลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับการลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวขึ้นจากเหว” สมเกียรติ กล่าว
ส้วนการพัฒนาด้านนวัตกรรม งานวิจัยที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นการจะทำให้ภาคการผลิตของไทยกลับไปสู่ระดับเดิมถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัฒน์ย้อนกลับที่มีการกีดกันทางการค้าในวงกว้าง
ตลาดใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐฯ ปิดตัวลง ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนในอดีตจากภาษีศุลากรในอัตราสูงที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี สร้างความท้าทายให้กับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทย
ขณะที่สหภาพยุโรปเองก็มีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด เช่น มาตราการ CBAM ที่จะบังคับใช้ในปีหน้า ส่วนจีนก็ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมล้นเกิน ทำให้การส่งออกไทยจะยากขึ้นเพราะจะแข่งขันด้านราคาไม่ได้ และยังถูกตีตลาดภายในด้วย”
ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ไทยมีแรงงานลดลงจากสังคมสูงวัย และมีเงินทุนที่จำกัด ดังนั้นสิ่งที่ไทยควรทำเป็นอันดับแรกคือ การพัฒนาแบบ “ลีน” ให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ใช้กำลังคนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด โดยลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้จะต้องเร่งสร้างงานดี หรือ Good Jobs ซึ่งหมายถึงงานที่มีค่าตอบแทนดี สวัสดิการเพียงพอ มีความมั่นคงพอสมควร แต่การที่จะมีทำงานที่ดีได้นั้น คนไทยจะต้องมีทักษะที่มากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องสร้างการเจริญเติบโตผ่านเครื่องจักรใหม่หลายตัวซึ่งสามารถแบกประเทศต่อไปได้
“กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีความเข้มแข็งกว่าเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังลดต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา และมีสัดส่วนบริษัทที่ประสบปัญหาขาดทุนในปีที่แล้วจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทในสาขาอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งขาดทุนในปีที่แล้วถึง 30% ตามมาด้วยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาอุปโภค”
ต้องสร้าง “โมเดลใหม่” แห่งการเติบโต
แนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ เพื่อยกระดับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจากปัจจุบันที่ระดับประมาณ 2.3 % ให้เป็น 4.7 % ต่อปีได้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี ซึ่งจะทำให้ไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ใน 16 ปี โดยโมเดลเพื่อปรับตัวเองเข้าสู่โลกใหม่ดังนี้
โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทยจะเปลี่ยนโฉมไป ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมมีขนาดเล็กลง ในขณะที่ภาคบริการสมัยใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเป็นแกนหลักในการสร้างงานที่ดี ทำให้คนไทยมีกำลังบริโภค ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจภายในมากขึ้น
“ในการปรับไปสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ เราต้องใช้จินตนาการใหม่ที่เชื่อมั่นว่าการปรับเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสิ่งที่ทำได้จริง หัวใจสำคัญคือการสร้าง ‘นโยบายอุตสาหกรรมใหม่’ เพื่อให้เกิดงานที่ดี ขณะเดียวกันก็ต้องปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นปรับกติกาการค้าการลงทุน การปรับการพัฒนาทักษะและนวัตกรรม ตลอดจนการปรับบทบาทภาครัฐและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค”

นโนบายอุตสาหกรรมแบบเก่าดึงดูดเงินลงทุนมาก แต่ผลประโยชน์ตกถึงคนไทยน้อย ทำให้คุณภาพชีวิตคนไทยไม่ถูกยกระดับไปด้วย แนะตั้งโจทย์ใหม่ ทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก ธุรกิจขนาดเล็กไม่ค่อยได้ประโยชน์ หันใช้มาตรการที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาด และปรับเป้าหมายจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ
- ลดภาคเกษตร- ยกระดับบริการ
ต้องเลิกคิดว่าไทยต้องมีแรงงานเกษตร 30% เพราะไม่มีประเทศรายได้สูงใดมีแรงงานเกษตรมากขนาดนี้ ดังนั้น ทิศทางใหม่คือเกษตรพรีเมียม-เกษตรมูลค่าสูง เช่น ญี่ปุ่นเพาะปลูกเมล่อนพรีเมียม, ปูนิฮอกไกโดหรือเนื้อวากิวที่มีมูลค่าสูง ซึ่งไทยมีพืชเกษตรกรสร้างรายได้ดี อาทิ ไผ่เศรษฐกิจ, กล้วยน้ำว้า, ปูทะเล และ ถ่านชีวภาพ โดยทั้งหมดเป็นโอกาสเศรษฐกิจฐานรากที่สร้างรายได้จริง
ยกระดับบริการ ใช้จุดแข็งร้านอาหาร-ท่องเที่ยวไทย โดยไทยมีร้านอาหารหนาแน่นติดอันดับโลก และติดอันดับสูงใน Michelin Guide หมวด “อร่อยราคาย่อมเยา” แต่ยังสู้สิงคโปร์ไม่ได้ในด้าน Michelin Star สะท้อนว่าระบบสนับสนุนภาครัฐยังไม่เข้มแข็ง
- พัฒนาด้านการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
พัฒนาด้านการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ระบบ ITการสืบทอดกิจการ การทำแบรนด์ส่งออก ผลักดันร้านไทยไปต่างประเทศเหมือนสิงคโปร์ผลักดัน JUMBO Seafood vudmyh บริการควรปรับจาก non-tradable สู่ tradable เพื่อให้ส่งออกมากขึ้น
ผลักดันบริการสมัยใหม่ เช่น การออกแบบชิป เหมือนอินเดียที่เป็นผู้ออกแบบ 1 ใน 5 ของโลก ยกระดับบริการ ITDigitalบริการวิชาชีพ Creative Economy ถือเป็นภาคที่มีต้นทุนย้ายข้ามพรมแดนต่ำ ไม่ถูกภาษีศุลกากรเหมือนสินค้าอุตสาหกรรม
- ดึงอุตสาหกรรมถ่ายภาพยนตร์ ซีรีส์เป็นเครื่องยนต์ใหม่
ปี 2568 มีต่างชาติมาถ่ายทำในไทย 451 เรื่อง สร้างรายได้ 7,000 ล้านบาท ซึ่งหนังใหญ่หลายเรื่อง เช่น Jurassic Park หรือ Alien Earth ถ่ายทำในไทยจำนวนมากทำให้เม็ดเงินกระจายสู่แรงงานไทย รวมถึงอุตสาหกรรมนี้โตได้อีกมาก หากรัฐเพิ่มวงเงินส่งเสริมและจัดการระบบให้โปร่งใส
- การพัฒนาแบบ “ลีน” ให้มากขึ้น
ไทยมีแรงงานลดลงจากสังคมสูงวัย และมีเงินทุนที่จำกัด ดังนั้นสิ่งที่ไทยควรทำ คือ การพัฒนาแบบ “ลีน” ให้มากขึ้น โดยใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ใช้กำลังคนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด ด้วยการลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร รวมถึงจะต้องเร่งสร้างงานดี หรือ Good Jobs หมายถึงงานที่มีค่าตอบแทนดี การที่จะมีทำงานที่ดีได้นั้น คนไทยจะต้องมีทักษะที่มากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องสร้างการเจริญเติบโตผ่านเครื่องจักรใหม่หลายตัวซึ่งสามารถแบกประเทศต่อไปได้
- ปรับบทบาทภาครัฐไทยในโลกใหม่
การกำหนดนโยบายการค้า-การลงทุนใหม่เพื่อสร้างการเติบโต ไทยจำเป็นต้องปรับนโยบายให้สอดคล้องกับทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะโครงสร้างภาษีนำเข้าที่ปัจจุบันไม่ได้สร้างแต้มต่อให้กับการผลิตในประเทศเหมือนอดีต แต่กลับทำให้ผู้ผลิตไทยเสียเปรียบด้านต้นทุน เช่น ผู้ผลิตสินค้าในประเทศต้องเสียภาษีนำวัตถุดิบ และชิ้นส่วนที่สูงกว่าอัตราภาษีของสินค้าสำเร็จรูป
ทีดีอาร์ไอจึงเสนอให้ปรับนโยบายการค้าการลงทุนมุ่งสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ โดยเน้นสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ยกระดับมาตรฐานภาคการผลิต และเปิดเสรีในการลงทุน เช่น อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในสาขาบริการได้เกิน 50% เปิดให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลน ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และทักษะแก่คนไทย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




