สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง หลังทั้งสองประเทศกลับมาเริ่มใช้มาตรการทางการค้าตอบโต้กันไปมา ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันภาคการส่งออกไทย ที่กำลังเติบโตชะลงลอเรื่อย ๆ จากการเร่งส่งออกไปก่อนหน้านี้
ทรัมป์ เตรียมขึ้นภาษีจีน 100%
เมื่อต้นเดือน ต.ค. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% รวมถึงออกมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญทุกประเภท เริ่มมีผลวันที่ 1 พ.ย. นี้ แต่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้นำทั้งสองประเทศจะยังมีกำหนดการพบกันนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. ถึง 1 พ.ย. โดยมาตรการภาษี 100% อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หากการเจรจาคืบหน้าในทิศทางที่ดี
ล่าสุดจีนประกาศคว่ำบาตรบริษัทต่อเรือสัญชาติเกาหลีใต้ในเครือ HANWHA OCEAN ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ จำนวน 5 แห่ง โดยมีผลบังคับใช้ 14 ต.ค. 68 นอกจากนี้ จีนยังเปิดไต่สวนผลกระทบ “มาตรา 301” ของสหรัฐฯ ที่มีต่ออุตสาหกรรมเดินเรือ-ต่อเรือจีน ซึ่งในเวลาต่อมา ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่า อาจยุติการค้าด้านน้ำมันพืชกับจีน เพื่อโต้ตอบที่จีนไม่ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ
บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ความตึงเครียมทางการค้าที่เพิ่มขึ้น อาจกดดันภาคการส่งออกไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ชะลอตัวลง อีกทั้งในเดือน ส.ค. 68 ที่ผ่านมา มาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 3,840 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ -15.5% จากเดือนก่อนหน้า (MOM) หลังจากที่มีการเร่งส่งออกสินค้าไปในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (1H68)
ส่งออกไทยเริ่มแผ่วปลายปี 68
ทั้งนี้ประเทศไทยมียอดส่งออกสะสม 8 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.–ส.ค.) คิดเป็นมูลค่า 223,175 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น +13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) เนื่องจากหลายบริษัทอาจเร่งส่งออกสินค้า (FRONT-LOADING) ก่อนจะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ช่วงต้นปีนี้ การส่งออกไทยเติบโตสูง
แต่เมื่อแรงเร่งส่งออกสินค้าดังกล่าวหมดลง อัตราการเติบโตก็ชะลอลงเป็นปกติหรือหดตัว เสริมด้วยปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่ากว่า 5.1% ตั้งแต่ต้นปี (YTD) โดยการส่งออกเดือน ส.ค.68 เพิ่มขึ้น +5.8% YOY แต่เป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ขณะที่การส่งออกเดือน ก.ย.68 หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าจะเติบโตชะลอเหลือ +2% ถึง +3%YOY เท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) เนื่องจากมูลค่าส่งออกมีสัดส่วนราว 69% ถึง 70% ของ GDP ทั้งหมด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง เพราะการค้าทั้งสองประเทศยังคงต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนจริง อาจทำให้สินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ได้ จะไหลทะลักเข้าไปในตลาดอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งกระทบผู้ผลิตไทยที่ต้องแข่งกับสินค้าจีน ส่วนในด้านส่งออกถ้าผู้ผลิตไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของสินค้าจีน อาจได้รับผลกระทบในกรณีสินค้าจีนมีต้นทุนที่สูงขึ้น
“ก็ยังไม่นิ่งว่าครอบคลุมแค่ไหน แล้วจะทําจริงหรือเปล่า อาจจะเป็นการขู่เพื่อเจรจากัน เพราะว่ารอบแรกก็จะเป็นประมาณนี้ เหมือนกับตอบโต้กันไปมาไปเกินร้อย แล้วก็สุดท้ายก็ตกลงกันได้” เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวกับ Policy Watch
ในท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาส สินค้าไทยอาจได้เปรียบในการทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้ หากเป็นสินค้าประเภทเดียวก็จะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนและราคา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและความต้องการของตลาดในสหรัฐฯ ด้วยว่าเป็นอย่างไร เช่น ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคา สินค้ามีต้นทุนมากหรือน้อย เป็นสินค้าที่จำเป็นหรือไม่ และนอกจากไทยมีสินค้าประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งหรือไม่ ดังนั้นผลดีและผลเสียก็จะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเภทสินค้า
สินค้าจีนที่ต้องระวังพิเศษ
สินค้าจีนที่ต้องระวังเป็นพิเศษหากทะลักเข้ามาในไทย คือ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้ากลุ่มวัตถุดิบ และเครื่องจักร เนื่องจีนจะได้เปรียบจากการมีอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าสินค้าไทย ดังนั้นธุรกิจที่มีกำลังซื้อน้อยก็ย่อมเลือกสินค้าที่มีราคาย่อมเยาว์มากกว่า และผู้ผลิตไทยที่มีต้นทุนสูงกว่าก็จะแข่งขันกับสินค้าจีนได้ยาก หรือต้องหาตลาดอื่นรองรับ
สำหรับ สินค้ากลางน้ำ หรือสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนประกอบเพื่อใช้ในการผลิตขั้นต่อไป จะได้รับผลกระทบในกลุ่มอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำลังถูกพิจารณาภาษีตามมาตรา 232 (Section 232) และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้งานส่วนตัว (Consumer Electronics) ที่ได้รับการยกเว้นภาษี โดยสินค้าทั้งสองกลุ่มดังกล่าวอาจอยู่ในข่ายที่จะถูกเก็บภาษี เนื่องจากประธานาธิบดี ทรัมป์ อาจขยายภาษีให้ครอบคลุมสินค้าที่ยังไม่เคยถูกเรียกเก็บด้วย สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนมาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทุกประเภทสินค้า (คิดเป็น 29% ของมูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปสหัรฐฯ ทั้งหมด)
คาดปี 69 ส่งออกไทยเสี่ยงติดลบ
กสิกรไทย ประมาณการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ลดลง -3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า (YoY) และรวมทั้งปีจะเติบโต 5.7% YoY (ปี 67 ที่ 5.5%YoY) ปัจจัยจากการเร่งส่งออกสินค้าในครึ่งปีแรก ก่อนที่ภาษีสหรัฐฯ อัตรา 19% จะมีผล (มีผล 1 ส.ค.) แม้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งออกไทยอาจจะยังพอไปได้อีก แต่ในปี 69 ยังคงคาดว่าไทยจะได้รับผลจากภาษีสหรัฐฯ แบบเต็มปี อาจทำให้ส่งออกชะลอลง หรือกรณีเลวร้ายอาจทำให้การส่งออกติดลบ ซึ่งต้องติดตามว่าภาครัฐจะสามารถเจรจาสหรัฐฯ ขอลดภาษีให้ต่ำกว่าอัตรา 19% ได้หรือไม่
“ปีหน้าเรามองจะได้รับผลกระทบจากภาษีเต็ม ๆ ปี ซึ่งอันนี้เราก็มองว่ามีโอกาสจะชะลอลง หรือในกรณีที่แบบแย่ก็อาจจะมีเสียงติดลบได้” รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตไทยมีการรับมือในระดับหนึ่งแล้ว จากการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ แต่หากการเจรจาภาษียังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน จะส่งผลกระทบการวางแผนผลิตสินค้าในอนาคตของผู้ผลิต ซึ่งสิ่งที่ภาคธุรกิจสามาถทำได้คือ เจรจากับผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เช่น แบ่งเบาผลกระทบ หรือปรับราคาสินค้า เพื่อให้ผู้ผลิตไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องหาวัตถุดิบราคาถูกเพื่อลดต้นทุนไปด้วย รวมถึงหาตลาดใหม่ ๆ นอกจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำได้ไม่ง่าย เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังเติบชะลอลง และประเทศอื่นก็อาจทำคล้าย ๆ กัน
ที่มา: ศูนย์วิจัยกรุงศรี, บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง: