รัฐบาลภูมิไทย โดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่ารัฐบาลมีเวลาในการบริหารประเทศ 4 เดือนนับตั้งแต่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป จากนั้นจะยุบสภาเพื่อจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ แต่ในช่วงเวลา 4 เดือน รัฐบาลอาจเผชิญกับความท้าทาย เมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนส.ค. 68 ชะลอลงจากเดือนก่อน จากภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาคการค้าและขนส่งสินค้าลดลงตาม ขณะที่เครื่องชี้ด้านอุปสงค์โดยรวมทรงตัวใกล้เคียงเดือนก่อน โดยภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้นจากรายรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่วนการส่งออกสินค้า การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนทรงตัว
- เศรษฐกิจไทยชะลอลงจากเดือนก่อน จากภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาคการค้าและขนส่งสินค้าลดลงตาม ขณะที่เครื่องชี้ด้านอุปสงค์โดยรวมทรงตัวใกล้เคียงเดือนก่อน โดยภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้นจากรายรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่วนการส่งออกสินค้า การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนทรงตัว
- การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง จากอุปสงค์บางสินค้าชะลอลง สินค้าคงคลังบางสินค้าอยู่ในระดับสูง และปัจจัยชั่วคราวจากการหยุดผลิตรถยนต์ของบางโรงงานเพื่อปรับกระบวนการผลิต และการปิดสายการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางส่วนเพื่อซ่อมบำรุง
- การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลงบ้างหลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า
- การจ้างงานทรงตัว แต่การจ้างงานในภาคก่อสร้างยังลดลงต่อเนื่อง ด้านสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานต่อผู้ประกันตนปรับลดลง
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นเล็กน้อย จากอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดที่ติดลบมากขึ้นตามราคาผักและเนื้อสัตว์จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานติดลบน้อยลงจากราคาน้ำมันขายปลีกที่ทรงตัวมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นบวกใกล้เคียงกับเดือนก่อน
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลตามดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลตามการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติตามฤดูกาล ประกอบกับดุลการค้าเกินดุลลดลง ด้านตลาดแรงงานโดยรวมทรงตัว
วิจัยกรุงศรี ระบุว่ามูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมเติบโตชะลอเหลือเลขหลักเดียวในรูปเงินดอลลาร์และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรูปเงินบาท
จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ามูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 27.7 พันล้านดอลลาร์ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ 5.8% หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ การส่งออกเติบโต 5.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง
ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาหดตัวโดยได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทางด้านราคา อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง
ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ขณะที่หดตัวในตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 223.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3%
การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงชัดเจนหลังจากเริ่มมีการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม
การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯเติบโตเหลือเพียง 12.8% ชะลอลงจากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 7 เดือนแรก สะท้อนว่าปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ทยอยสิ้นสุดลงและการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเดือนสิงหาคมยังทำให้มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -5.5%
สถานการณ์ดังกล่าวกดดันรายได้ผู้ส่งออกในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อยหรือใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) เป็นหลัก
ทั้งนี้ แรงกดดันทั้งจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาทมีแนวโน้มทำให้บทบาทของภาคส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: