ข้อมูลนโยบายล่าสุด : 10 พ.ย. 2566 (เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต)
เกณฑ์ผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท
ต้องครบทั้ง 3 เงื่อนไขจึงจะได้รับเงินดิจิทัล
- อายุ 16 ปีขึ้นไป
- รายได้ไม่ถึง 70,000 บาท/เดือน
- มีเงินฝากรวมไม่ถึง 500,000 บาท
เงื่อนไขการใช้งาน
- ระยะทางที่ใช้ได้ครอบคลุมระดับอำเภอ ตามบัตรประชาชน
- คาดว่าจะใช้ได้ในช่วง พ.ค. 2567 และต้องใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายใน 6 เดือน จากนั้นใช้ได้ถึงเดือน เม.ย. 2570
- ต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ จ่ายเงินแบบ face-to-face
- ใช้ได้ : ของอุปโภคบริโภค
- ไม่สามารถใช้ได้ : การบริการ สินค้าออนไลน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเทอม และการชำระหนี้
- ไม่สามารถแลกเป็นเงินสด และไม่สามารถแลกเปลี่ยนในตลาดได้
- สามารถซื้อได้ทุกร้านค้าที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ไม่จำกัดอยู่แค่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT แต่ร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษี
- ใช้งานผ่านระบบ ‘เป๋าตัง’ เนื่องจากมีผู้ใช้งานและร้านค้าเดิมอยู่แล้ว และมี blockchain เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลังบ้าน เพื่อป้องกันการทุจริต
หลังบ้านนโยบาย
- จำนวนผู้มีสิทธิ์รับเงินประมาณ 50 ล้านคน
- ใช้งบประมาณรวม 600,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
- วงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท และ
- กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ 100,000 ล้านบาท
- เงินที่เหลือของโครงการ จะใส่ในกองทุนเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ เช่น กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ
- ที่มาของเงินมาจากการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ผ่านกระบวนการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การออกเป็นไปอย่างรอบคอบ รัดกุม และไม่ขัดกฎหมาย และมีแผนจัดสรรเพื่อจ่ายคืนเงินกู้ตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาล 4 ปี
นโยบายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- นโยบาย e-Refund (เริ่มเดือน ม.ค. 2567) ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการรวมมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีและเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและจูงใจให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัล มุ่งสู่ E-government ในอนาคต
- เสริมสร้างขีดความสามารถ (เริ่มเดือน มิ.ย. 2567) เพื่อผลักดันต่อยอดอุตสาหกรรมและโครงสร้าง เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา (ใช้งบประมาณ 100,000 ล้านบาท)
คาดการณ์ผลดีต่อประเทศใน 2 ด้าน
- กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้น โดยมีประชาชนเป็นกลไกสำคัญ ผ่านการบริโภคและการลงทุน
- วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ e-Government เพื่อวางและแก้ไขโครงสร้างของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ดี นโยบายทุกอย่างที่แถลงจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายและมติคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการต่อไป