หลังวิกฤตการระบาดของโควิด -19 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าและต่ำกว่าระดับศักยภาพมาโดยตลอด สาเหตุสำคัญหนึ่งเกิดจากภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน
การเติบโตที่แตกต่างกันมากในแต่ละภาคส่วนของเศรษฐกิจ เป็นเหตุผลที่เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีลักษณะที่บางกลุ่มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มอาจเรียกว่าอยู่ในภาวะถดถอยไปแล้ว (Recession) โดยที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังพอขยายตัวได้จากฐานต่ำของการท่องเที่ยว
ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นพอสมควร ทำให้หลายฝ่ายหวังว่าแรงส่งทางบวกจะเอาชนะผลด้านลบและทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ดี 3 ปัจจัยบวกที่มีการกล่าวถึงกันมากที่สุด คือ
- การแจกเงินจากภาครัฐ ที่ควรจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปี
- การส่งออกที่เติบโตได้ดีที่ควรช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของรายได้ในภาคอุตสาหกรรม
- จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตได้ตามที่หลายฝ่ายประเมินไว้
แต่เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมากลับยังคงเติบโตได้ไม่ค่อยดีนักและยังโตต่ำกว่าศักยภาพเดิมที่ 3% ในปี 2567 ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่มีทั้งการแจกเงินจากภาครัฐ การส่งออกเติบโตได้ดี และจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตได้ดี แต่เศรษฐกิจในภาพรวมกลับเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องโดยยังคงอยู่ในทิศทางค่อนข้างคงที่และไม่ได้ฟื้นตัวขึ้นชัดเจน
การเติบโตที่ต่ำไม่เพียงแต่เกิดจากปัจจัยลบที่มากดดัน แต่เกิดจากปัจจัยบวกที่คนคาดหวังไว้ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจได้มากเท่ากับที่คิด
แจกเงินหมื่นพายุไม่หมุน
ในเดือน ก.ย. 2567 รัฐบาลเริ่มดำเนินมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) แจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้กับกลุ่มปราะบางและผู้พิการ มูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท หรือประมาณ 0.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
เมื่อพิจารณาดัชนีการบริโภคภาคเอกชนรายสินค้าในไตรมาส 4 หลังจากที่มีมาตรการแจกเงิน จะพบการเติบโตที่เป็นบวกของการบริโภคสินค้าไม่คงทนและกึ่งคงทนบ้างสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีค้าปลีกในหมวดอาหาร
แต่อัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการบริโภคโดยรวมยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก โดยการเพิ่มขึ้นของการบริโภคในไตรมาส 4 ในภาพรวมมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับการบริโภคในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 67 หรือหมายความว่าการแจกเงินแทบไม่มีผลต่อการบริโภคโดยรวมของภาคเอกชนไทยเลย
ผลต่อเศรษฐกิจในระดับต่ำดังกล่าว สอดคล้องกับที่ KKP Research เคยประเมินไว้ว่าตัวคูณทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในระดับต่ำมาก เพียงประมาณ 0.1-0.3 เท่า หรือการแจกเงิน 100 บาท จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจริงประมาณ 10 – 30 บาทเท่านั้น
จากข้อมูลการบริโภคในช่วงที่ผ่านมา จำนวนเงินที่ถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภคใหม่คิดเป็นไม่ถึง 10% ของเงินที่แจกไป และ 3 เหตุผลสำคัญที่ทำให้มาตรการแจกเงินของรัฐได้ผลน้อยกว่าที่หวังไว้ คือ
1. เงินที่ได้รับไปไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงโดยเฉพาะในกลุ่มคนรายได้น้อย จะลดประสิทธิภาพของนโยบายแจกเงินลง เนื่องจากเงินบางส่วนไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่นำไปใช้เพื่อการชำระหนี้ ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของสำนักงานสถิติพบว่าคนสัดส่วนประมาณ 12.8% นำเงินไปใช้เพื่อชำระหนี้
นอกจากนี้การใช้จ่ายในสินค้าส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายไปกับสินค้าจำเป็นที่มีการใช้จ่ายเดิมอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นการเพิ่มการบริโภคใหม่ที่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ จากผลสำรวจพบว่าการใช้จ่ายของเงินที่แจกนั้นกระจุกตัวอยู่ในอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ในครัวเรือน และการชำระค่าสาธารณูปโภคมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นที่คนมีการใช้จ่ายอยู่แล้วในทุกเดือน
2. การใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Sectors) ปัญหาของเศรษฐกิจนอกระบบ คือ ภาครัฐไม่สามารถวัดข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายในตลาดชนบทในต่างจังหวัด โดยผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ บ่งชี้ว่า ช่องทางที่มีการนำเงินไปใช้จ่ายมากที่สุด คือ ร้านค้าในชุมชน และหาบเร่แผงลอย ซึ่งอาจทำให้การวัดผลของนโยบายต่อเศรษฐกิจทำได้ยาก เมื่อพิจารณาข้อมูลจาก ธนาคารโลก (World Bank) จะพบว่าเศรษฐกิจไทยมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่ถึงประมาณ 45% ของ GDP เป็นลำดับที่ 8 ของโลก
3. ปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ ยังอยู่ในทิศทางขาลงไม่สนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภคโดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน ซึ่งทิศทางการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้แม้มีการแจกเงินแต่ก็ไม่พอชดเชยปัจจับลบอื่น ๆ คือ
- สินเชื่อภาคธนาคารที่ยังมีทิศทางหดตัวต่อเนื่อง จากปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวแย่ลง ทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นชัดเจน
- รายได้ของครัวเรือนยังคงอ่อนแอโดยเฉพาะรายได้ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยในภาพรวมยังคงไม่ฟื้นตัว
- หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังกดดันการฟื้นตัวของการบริโภค
ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อ เป็นข้อสังเกตสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวของการบริโภคยังคงอ่อนแอ แม้ว่าจะมีมาตรการแจกเงินเพิ่มเติม ซึ่งผลจากมาตรการแจกเงินในช่วงปลายปีบ่งชี้ให้เห็นว่าการใช้มาตรการดังกล่าวอาจเป็นทางเลือกนโยบายที่ได้ผลทางเศรษฐกิจน้อยกว่าต้นทุนทางการคลังที่เกิดขึ้น
จึงเกิดคำถามว่างบประมาณการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ควรปรับรูปแบบให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจได้หรือไม่ โดย KKP คาดการณ์ว่าการบริโภคภาคเอกชนของไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2568 โดยจะขยายตัวได้ที่ 2.3% ชะลอลงจาก 4.2% ในปี 2567 โดยเฉพาะกลุ่มการบริโภคสินค้าคงทนที่จะยังหดตัวลงต่อไป
คาดเศรษฐกิจไทยฟุบต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 KKP Research คาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยมาที่ระดับ 2.6% โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมอาจสามารถฟื้นตัวได้บ้างในบางกลุ่มตามวัฏจักรสินค้าคงคลัง ตามแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ยังเติบโตได้ดี และฐานการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมยังมีความไม่แน่นอนสูง
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงด้านต่ำค่อนข้างมาก โดยในกรณีเลวร้าย หากภาคอุตสาหกรรมไทยยังไม่ฟื้นตัวและติดลบในอัตราใกล้เคียงกับในปี 2567 จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าลงโดยจะเติบโตได้เพียง 2.0% หรือต่ำกว่านั้น นอกจากนี้ปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจะยังคงเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจไทยต่อไปในปีนี้ คือ
ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐ ฯ ไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งการส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ และการส่งออกในสินค้ากลุ่มที่นำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกสหรัฐฯ (Rerouting) ซึ่งสหรัฐ ฯ มองว่าไม่เป็นธรรมและอาจถูกบังคับให้นำเข้าสินค้าบางชนิดทดแทน และการเร่งขึ้นของการนำเข้าจากจีน โดยจะส่งผลลบต่อภาคการผลิตไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในหมวดเกษตรและอาหาร
ความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรม ปัญหาความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศจีนในอุตสาหกรรมหลักของไทย
การเข้าสู่สังคมสูงอายุ แรงงานในวัยทำงานของไทยผ่านระดับสูงที่สุดไปแล้ว โดยการเข้าสู่สังคมสูงอายุส่งผลในหลายมิติทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงเหมือนประสบการณ์ในประเทศญี่ปุ่น
หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก และน่ากังวลที่ทิศทางการเติบโตของรายได้ในปัจจุบันยังคงอ่อนแอ ในขณะที่แม้ว่าในปัจจุบันหนี้ครัวเรือนเริ่มมีการปรับตัวลดลงซึ่งช่วยลดปัญหาด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนด้วยเช่นกัน เพราะการลดลงเกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่น้อยลงไม่ใช่รายได้ทีโตดีขึ้น
คุณภาพหนี้และการหดตัวของสินเชื่อ คุณภาพสินเชื่อยังคงมีแนวโน้มปรับตัวแย่ลงซึ่งเกิดจากทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการปรับลดลงของมูลค่าหลักประกันบางชนิดโดยเฉพาะรถยนต์ที่มีการแข่งขันจากรถยนต์ราคาถูกจากจีน และธนาคารยังมีมุมมองที่เป็นลบต่อทิศทางเศรษฐกิจปี 2568
เสถียรภาพด้านการคลัง การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังกำลังเผชิญข้อจำกัดมากขึ้นหากไม่มีการปฏิรูประบบภาษีเนื่องจากแนวโน้มรายรับของภาครัฐลดลงในขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน การประเมินภาพเศรษฐกิจโดยยึดการวัดความสำเร็จผ่านข้อมูลเศรษฐกิจแบบเดิม อาจทำให้การประเมินภาพเศรษฐกิจคลาดเคลื่อนไปสถานการณ์เศรษฐกิจจริง และอาจทำให้มองข้ามปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอีกหลายข้อของเศรษฐกิจไทย นำไปสู่การออกแบบนโยบายที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงได้
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวได้และนักท่องเที่ยวจากต่างชาติจะทยอยกลับเข้ามา แต่ไทยเผชิญความท้าทายรูปแบบใหม่จากทั้งการส่งออกของไทยที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจในประเทศได้มาก สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
KKP Research ยังคงประเมินว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการรัฐจากทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินในการช่วยกันปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งอำนวยความสะดวกให้เกิดการฟื้นตัวระยะสั้น และวางแผนรองรับสู่การเปลี่ยนผ่านไปหาภาคเศรษฐกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าในระยะยาว
ที่มา : ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักวิเคราะห์ KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง