ThaiPBS Logo

แก้หนี้

แก้หนี้โดยการ "ปรับโครงสร้างหนี้" เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งแก้ปัญหาสินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนที่เน้นไปที่หนี้นอกระบบและหนี้เกษตรกร

  • เริ่มนโยบาย
  • วางแผน
  • ตัดสินใจ
  • ดำเนินงาน
  • ประเมินผล

เริ่มนโยบาย

ปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถยนต์

วางแผน

ขั้นตอนวางแผน เสนอแผนงานต่างๆ

ตัดสินใจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยายระยะเวลาการสมัครเข้าโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ช่วยลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี

ดำเนินงาน

ขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน

ประเมินผล

ขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินการตามนโยบาย

ภาพรวม

อ่านเพิ่มเติม

ความเคลื่อนไหวล่าสุด

1 ก.ค. 68คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดำเนินโครงการ คุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2 เปิดลงทะเบียนจนถึง 30 ก.ย.68 โดยรอบนี้ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ให้เข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น ทั้ง “มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์” ผ่อนปรนเงื่อนไขช่วยลูกหนี้ที่ค้างจ่ายไม่เกิน 30 วัน ส่วน “มาตรการจ่าย ปิด จบ” ขยายเพิ่มเพดานหนี้จาก 5,000 บาท เป็น 10,000 – 30,000 บาท/บัญชี

นอกจากนี้เพิ่มใหม่ “มาตรการจ่าย ตัด ต้น” ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตที่ไม่มีหลักประกัน ลดต้นลดดอก ยอดหนี้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/บัญชี

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ 12 ธ.ค. 67 – 30 มิ.ย.68 มีลูกหนี้มาลงทะเบียน 1.4 ล้านราย หรือ 1.9 ล้านบัญชี แต่ลูกหนี้ที่ผ่านเกณฑ์มีเพียง 6.3 แสนราย คิดเป็น 32% ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติ มูลค่าหนี้รวม 4.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าหนี้ทั้งหมด โดยลูกหนี้ที่ลงทะเบียนไม่ผ่านจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มค้างชำระหนี้ไม่ถึง 30 วัน และกลุ่มสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล   จึงเป็นสาเหตุให้ต้องทำโครงการมาตรการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2

สำหรับเป้าหมายมาตรการ โครงการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2 คาดว่าจะมีลูกหนี้เพิ่ม 1.8 ล้านราย หรือ 2 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่าหนี้ ประมาณ 310,000 ล้านบาท และเมื่อรวมทั้งเฟส 1 และ 2 จะสามารถช่วยเหลือได้ทั้งหมด 3.7 ล้านราย หรือ 4.1 ล้านบัญชี คิดมูลค่าหนี้ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์และสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด

จากปัญหาหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ดังจะเห็นได้จากหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในสัดส่วนค่อนข้างสูงกว่า 90% ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากขาดกำลังซื้อ และ กระทบต่อคุณภาพชีวิตของครัวเรือนที่ติดหนี้สินจำนวนมาก

รัฐบาลที่ผ่านมา มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้เป็น “รายกลุ่ม” และในบางกรณีในช่วงวิกฤติของประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะออกมาตรการแก้หนี้ “ทั้งระบบ” อาทิ ในช่วงวิกฤติการเงินโลก และ เศรษฐกิจชะลอในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

แต่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ประหนึ่งดาบสองคม เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อสถาบันการเงินของประเทศ และอาจเกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม มาตรการสำคัญของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งพบว่าในช่วงที่ผ่านมา ลูกหนี้มีปัญหาผ่อนชำระอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าสถานการณ์หนี้เสียของสถาบันการเงินปรับเพิ่มสูงขึ้น

หนี้เสีย

การแก้ปัญหาหนี้ มีหลายวิธี แต่ที่เห็นว่าเป็นวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว คือ การปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งทั้งฝ่ายลูกหนี้จะสามารถผ่อนชำระได้ ในขณะะที่เจ้าหนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อเทียบกับการเบี้ยวหนี้

ทั้งนี้ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ ธปท.ร่วมกับสถาบันการเงิน เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2560 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

การปรับโครงสร้างหนี้คืออะไร?

จากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจที่คนเราต้องเผชิญในเศรษฐกิจยุคใหม่ ทำให้ลูกหนี้มีความเสี่ยงจากรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งที่ผ่านมา คนไทยมักจะกังวลเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับสถาบันการเงิน

แต่ทางแก้ไขต้องรีบดำเนินการ ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไป โดยสิ่งแรกที่ลูกหนี้ต้องรีบดำเนินการคือ ติดต่อกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้ที่มีอยู่

ธปท.ระบุว่า การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากู้เงินที่เคยทำไว้กับเจ้าหนี้ได้อีกต่อไปได้ ด้วยการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ให้เหมาะสมกับรายรับที่ลดลงหรือความสามารถในการชำระหนี้ที่เปลี่ยนไป โดยที่ไม่ต้องรอให้เป็นหนี้เสีย (Non-Performing Loan : NPL) เพราะหากปล่อยปัญหาหนี้ไว้นานเกินไปอาจส่งผลเลวร้ายกว่าที่คิด เช่น ถูกฟ้องร้อง ยึดทรัพย์ และหาทางออกได้ยากยิ่งขึ้น

ทางเลือกในการปรับโครงสร้างหนี้

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ศึกษารูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ว่าแบบไหนเอื้อให้สามาระผ่อนชำระต่อไปได้ โดยมีหลายวิธี

1. ขอขยายเวลาชำระหนี้ หรือการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป ซึ่งจะทำให้ค่างวดลดลง เช่น สัญญาฉบับเดิมมีระยะเวลาการกู้อยู่ที่ 10 ปี ค่างวดอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน ผ่อนชำระมาแล้ว 7 ปี เหลือระยะเวลาผ่อนอยู่ 3 ปี แต่เมื่อเริ่มผ่อนไม่ไหว จึงขอเจรจาขยายเวลาชำระหนี้กับเจ้าหนี้ออกไปจาก 3 ปีเป็น 5 ปี เพื่อให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลงต่ำกว่า 10,000 บาท เพื่อลดภาระในการจ่ายค่างวดแต่ละเดือนให้แก่ลูกหนี้ได้

2. รีไฟแนนซ์ (refinance) คือ “การเปลี่ยนเจ้าหนี้”หรือการ “ปิดหนี้” จากเจ้าหนี้รายเดิมมาเป็นเจ้าหนี้รายใหม่หรือทำสัญญาใหม่กับเจ้าหนี้เดิมที่เงื่อนไขดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยถูกลง แล้วนำเงินที่ได้มาปิดหนี้ก้อนเดิมที่มีอยู่ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ควรคำนึงถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ ค่าประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเจ้าหนี้ การทำสัญญาใหม่ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้กับเจ้าหนี้

3. ขอลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ค่างวดที่เราจ่ายในแต่ละเดือนสามารถนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น หมดหนี้เร็วขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหนี้อาจมีเงื่อนไขการพิจารณาอนุมัติปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่แตกต่างกัน เช่น พิจารณาจากอายุของลูกหนี้ ประวัติการผ่อนชำระ และความสามารถในการชำระหนี้หลังปรับปรุงโครงสร้างหนี้

ดังนั้น ลูกหนี้ต้องเริ่มจากติดต่อสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้ก่อน เพื่อสอบถามแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ร่วมกัน จากนั้นลองศึกษาวิธีการหรือเงื่อนไขในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้รูปแบบต่าง ๆ

ทั้งนี้ ควรประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ และต้องไม่รับเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ทำไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวตามมา

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ลำดับเหตุการณ์

  • ครม. ขยายโครงการคุณสู้เราช่วย เฟส 2 ผ่อนเงื่อนไขลูกหนี้ค้างจ่ายไม่เกิน 30 วัน พร้อมเพิ่มมาตรการจ่าย ตัด ต้น ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากที่สมัครไม่ผ่านในเฟส 1  ดูเพิ่มเติม ›

    1 ก.ค. 2568

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/67 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 88.4% ของจีดีพี  ดูเพิ่มเติม ›

    9 มิ.ย. 2568

  • ธปท. ขยายเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จนถึง 30 มิ.ย. 68 หลังมีลูกหนี้เข้าร่วมได้เพียง 5.3 แสนราย จากลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติ 1.9 ล้านราย  ดูเพิ่มเติม ›

    25 เม.ย. 2568

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยข้อมูลเครดิตบูโร หนี้เสีย (NPL) ของประชาชน ณ สิ้นเดือน ธ.ค.67 มี 9.59 ล้านบัญชี มูลค่าหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท

    21 มี.ค. 2568

  • รมว.คลัง เร่งหาแนวทางซื้อหนี้เสียของประชาชน เตรียมหารือสมาคมธนาคาร ยกโมเดลวิกฤตปี 40 แยกบัญชีหนี้ดีออกจากหนี้เสีย   ดูเพิ่มเติม ›

    18 มี.ค. 2568

  • ธปท.ขยายเวลา "คุณสู้ เราช่วย" แก้ปัญหาหนี้รายย่อย จากเดิมหมดเขต 28 ก.พ. ขยายเวลาถึง 30 เม.ย.  ดูเพิ่มเติม ›

    11 ก.พ. 2568

  • ครม.อนุมัติมาตรการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)รายเล็ก เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ในบัญชีสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และเอสเอ็มอีรายย่อย ด้วยการยกเว้นดอกเบี้ย  ดูเพิ่มเติม ›

    11 ธ.ค. 2567

  • ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแจ้งว่าในเดือนธ.ค.67 รัฐบาลจะออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้

    14 พ.ย. 2567

  • สมาคมธนาคารไทย เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย สำหรับลูกหนี้บ้าน รถยนต์และเอสเอ็มอีขนาดเล็ก

    5 พ.ย. 2567

  • เอกสารแถลงนโยบายรัฐบาล ระบุว่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และที่อยู่อาศัย

    6 ก.ย. 2567

  • โครงการคลินิกแก้หนี้เดินหน้าเข้าสู่ “ระยะที่ 3” โดยได้ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว

    1 ก.พ. 2563

  • โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 ขยายขอบเขตให้รวมลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank 19 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ

    15 พ.ค. 2562

  • สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยการสนับสนุนของ ธปท. ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560  ดูเพิ่มเติม ›

    1 มิ.ย. 2560

รายละเอียด

ความสำเร็จของนโยบาย

เชิงโครงการ

ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
เน้นสินเชื่อรถยนต์และบ้าน

เชิงกระบวนการ

สำรวจลูกหนี้
ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์และบริษัทบริหารสินทรัพย์

เชิงการเมือง

แก้ปัญหาลูกหนี้ได้
ให้ความรู้และการออมใหม่ ๆ เช่น หวยเกษียณ

บทความ

ดูทั้งหมด
คุณสู้เราช่วยเฟส 2 ขยายเวลา 30 ก.ย. เพิ่มช่วยลูกหนี้บัตรเครดิต

คุณสู้เราช่วยเฟส 2 ขยายเวลา 30 ก.ย. เพิ่มช่วยลูกหนี้บัตรเครดิต

กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ขยายโครงการคุณสู้เราช่วย เฟส 2 ผ่อนเงื่อนไขลูกหนี้ค้างจ่ายไม่เกิน 30 วัน พร้อมเพิ่มมาตรการจ่าย ตัด ต้น ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากที่สมัครไม่ผ่านในเฟส 1

จับตาสงครามการค้า กระทบครัวเรือน-ธุรกิจมีหนี้เพิ่ม

จับตาสงครามการค้า กระทบครัวเรือน-ธุรกิจมีหนี้เพิ่ม

ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงไตรมาสแรกยังแข็งแกร่ง แม้ความสามารถในการทำกำไรลดลง ขณะที่แบงก์ชาติห่วงหน้าภาคธุรกิจและครัวเรือน จากภาวะเงินตรึงตัว เสี่ยงกับสงครามการค้าทำให้หนี้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้น

หนี้ ออม ลงทุน: วังวนวงกตสำหรับกลุ่มฐานล่าง

หนี้ ออม ลงทุน: วังวนวงกตสำหรับกลุ่มฐานล่าง

การขยายตัวทางเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง ความเหลื่อมล้ำสูงต่อเนื่อง สังคมสูงวัยขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น การเมืองไม่แก้ปัญหาระยะยาว

ถอดรหัส แก้หนี้ครัวเรือนให้ยั่งยืนจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”

ถอดรหัส แก้หนี้ครัวเรือนให้ยั่งยืนจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”

โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เป็นอีกมาตรการเยียวยาความเดือดร้อนชาวบ้านในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ท่ามกลางเสียงสะท้อนปนความสงสัยว่า แก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด มีประสิทธิภาพและยั่งยืนแค่ไหน

คนไทย 24 ล้านคนเสี่ยงจน?: โจทย์ใหญ่รัฐบาลลดความยากจนหลายมิติ

คนไทย 24 ล้านคนเสี่ยงจน?: โจทย์ใหญ่รัฐบาลลดความยากจนหลายมิติ

จากรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 4/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ไทยสามารถลดสัดส่วนคนจนหลายมิติ จากร้อยละ 20.08 ในปี พ.ศ. 2558 เหลือร้อยละ 8.76 ในปี พ.ศ. 2566 แต่ความท้าทายสำคัญคือมีจำนวนคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ

เผยดัชนีความจนหลายมิติ(MPI) คนไทย"จน-เสี่ยงจน"เกือบครึ่งประเทศ

เผยดัชนีความจนหลายมิติ(MPI) คนไทย"จน-เสี่ยงจน"เกือบครึ่งประเทศ

สศช. รายงาน "ดัชนีความยากจนหลายมิติ" หรือ MPI ระบุคนจนหลายมิติของไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ลดลงกว่าครึ่ง แต่ความยากจนยังเป็นประเด็น"ท้าทาย" แม้สัดส่วนจะลดลง แต่คนจนมีมากถึง 7.17 ล้านคน และมีคนเสี่ยงเป็นคนจน "หลายมิติ" อีก 24.3 ล้านคน รวม 2 กลุ่มเกือบครึ่งประเทศจากประชากรในปีเดียวกัน 66.05 ล้านคน