ThaiPBS Logo

แก้หนี้

แก้หนี้โดยการ "ปรับโครงสร้างหนี้" เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งแก้ปัญหาสินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนที่เน้นไปที่หนี้นอกระบบและหนี้เกษตรกร

  • เริ่มนโยบาย
  • วางแผน
  • ตัดสินใจ
  • ดำเนินงาน
  • ประเมินผล

เริ่มนโยบาย

ปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถยนต์

วางแผน

ขั้นตอนวางแผน เสนอแผนงานต่างๆ

ตัดสินใจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยายระยะเวลาการสมัครเข้าโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ช่วยลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี

ดำเนินงาน

ขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน

ประเมินผล

ขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินการตามนโยบาย

ภาพรวม

อ่านเพิ่มเติม

ความเคลื่อนไหวล่าสุด

29 ก.ย.68 นโยบายรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกุล ประกาศ แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง หนี้ภาคประชาชน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ทำให้คนไทยติดกับดักหนี้

และ เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รายละไม่เกิน 1 ล้านบาทสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้ ให้ความรู้ทางการเงิน นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่ประชาชนและผู้ประกอบการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่

1 ก.ค. 68คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดำเนินโครงการ คุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2 เปิดลงทะเบียนจนถึง 30 ก.ย.68 โดยรอบนี้ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ให้เข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น ทั้ง “มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์” ผ่อนปรนเงื่อนไขช่วยลูกหนี้ที่ค้างจ่ายไม่เกิน 30 วัน ส่วน “มาตรการจ่าย ปิด จบ” ขยายเพิ่มเพดานหนี้จาก 5,000 บาท เป็น 10,000 – 30,000 บาท/บัญชี

นอกจากนี้เพิ่มใหม่ “มาตรการจ่าย ตัด ต้น” ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตที่ไม่มีหลักประกัน ลดต้นลดดอก ยอดหนี้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/บัญชี

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ 12 ธ.ค. 67 – 30 มิ.ย.68 มีลูกหนี้มาลงทะเบียน 1.4 ล้านราย หรือ 1.9 ล้านบัญชี แต่ลูกหนี้ที่ผ่านเกณฑ์มีเพียง 6.3 แสนราย คิดเป็น 32% ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติ มูลค่าหนี้รวม 4.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าหนี้ทั้งหมด โดยลูกหนี้ที่ลงทะเบียนไม่ผ่านจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มค้างชำระหนี้ไม่ถึง 30 วัน และกลุ่มสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล   จึงเป็นสาเหตุให้ต้องทำโครงการมาตรการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2

สำหรับเป้าหมายมาตรการ โครงการคุณสู้ เราช่วย เฟส 2 คาดว่าจะมีลูกหนี้เพิ่ม 1.8 ล้านราย หรือ 2 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่าหนี้ ประมาณ 310,000 ล้านบาท และเมื่อรวมทั้งเฟส 1 และ 2 จะสามารถช่วยเหลือได้ทั้งหมด 3.7 ล้านราย หรือ 4.1 ล้านบัญชี คิดมูลค่าหนี้ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์และสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด

จากปัญหาหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ดังจะเห็นได้จากหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในสัดส่วนค่อนข้างสูงกว่า 90% ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากขาดกำลังซื้อ และ กระทบต่อคุณภาพชีวิตของครัวเรือนที่ติดหนี้สินจำนวนมาก

รัฐบาลที่ผ่านมา มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้เป็น “รายกลุ่ม” และในบางกรณีในช่วงวิกฤติของประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะออกมาตรการแก้หนี้ “ทั้งระบบ” อาทิ ในช่วงวิกฤติการเงินโลก และ เศรษฐกิจชะลอในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

แต่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ประหนึ่งดาบสองคม เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อสถาบันการเงินของประเทศ และอาจเกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม มาตรการสำคัญของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งพบว่าในช่วงที่ผ่านมา ลูกหนี้มีปัญหาผ่อนชำระอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าสถานการณ์หนี้เสียของสถาบันการเงินปรับเพิ่มสูงขึ้น

หนี้เสีย

การแก้ปัญหาหนี้ มีหลายวิธี แต่ที่เห็นว่าเป็นวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว คือ การปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งทั้งฝ่ายลูกหนี้จะสามารถผ่อนชำระได้ ในขณะะที่เจ้าหนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อเทียบกับการเบี้ยวหนี้

ทั้งนี้ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ ธปท.ร่วมกับสถาบันการเงิน เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2560 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

การปรับโครงสร้างหนี้คืออะไร?

จากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจที่คนเราต้องเผชิญในเศรษฐกิจยุคใหม่ ทำให้ลูกหนี้มีความเสี่ยงจากรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งที่ผ่านมา คนไทยมักจะกังวลเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับสถาบันการเงิน

แต่ทางแก้ไขต้องรีบดำเนินการ ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไป โดยสิ่งแรกที่ลูกหนี้ต้องรีบดำเนินการคือ ติดต่อกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้ที่มีอยู่

ธปท.ระบุว่า การปรับโครงสร้างหนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากู้เงินที่เคยทำไว้กับเจ้าหนี้ได้อีกต่อไปได้ ด้วยการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ให้เหมาะสมกับรายรับที่ลดลงหรือความสามารถในการชำระหนี้ที่เปลี่ยนไป โดยที่ไม่ต้องรอให้เป็นหนี้เสีย (Non-Performing Loan : NPL) เพราะหากปล่อยปัญหาหนี้ไว้นานเกินไปอาจส่งผลเลวร้ายกว่าที่คิด เช่น ถูกฟ้องร้อง ยึดทรัพย์ และหาทางออกได้ยากยิ่งขึ้น

ทางเลือกในการปรับโครงสร้างหนี้

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ศึกษารูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ว่าแบบไหนเอื้อให้สามาระผ่อนชำระต่อไปได้ โดยมีหลายวิธี

1. ขอขยายเวลาชำระหนี้ หรือการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป ซึ่งจะทำให้ค่างวดลดลง เช่น สัญญาฉบับเดิมมีระยะเวลาการกู้อยู่ที่ 10 ปี ค่างวดอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน ผ่อนชำระมาแล้ว 7 ปี เหลือระยะเวลาผ่อนอยู่ 3 ปี แต่เมื่อเริ่มผ่อนไม่ไหว จึงขอเจรจาขยายเวลาชำระหนี้กับเจ้าหนี้ออกไปจาก 3 ปีเป็น 5 ปี เพื่อให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลงต่ำกว่า 10,000 บาท เพื่อลดภาระในการจ่ายค่างวดแต่ละเดือนให้แก่ลูกหนี้ได้

2. รีไฟแนนซ์ (refinance) คือ “การเปลี่ยนเจ้าหนี้”หรือการ “ปิดหนี้” จากเจ้าหนี้รายเดิมมาเป็นเจ้าหนี้รายใหม่หรือทำสัญญาใหม่กับเจ้าหนี้เดิมที่เงื่อนไขดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยถูกลง แล้วนำเงินที่ได้มาปิดหนี้ก้อนเดิมที่มีอยู่ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ควรคำนึงถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ ค่าประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเจ้าหนี้ การทำสัญญาใหม่ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้กับเจ้าหนี้

3. ขอลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ค่างวดที่เราจ่ายในแต่ละเดือนสามารถนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น หมดหนี้เร็วขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหนี้อาจมีเงื่อนไขการพิจารณาอนุมัติปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่แตกต่างกัน เช่น พิจารณาจากอายุของลูกหนี้ ประวัติการผ่อนชำระ และความสามารถในการชำระหนี้หลังปรับปรุงโครงสร้างหนี้

ดังนั้น ลูกหนี้ต้องเริ่มจากติดต่อสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้ก่อน เพื่อสอบถามแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ร่วมกัน จากนั้นลองศึกษาวิธีการหรือเงื่อนไขในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้รูปแบบต่าง ๆ

ทั้งนี้ ควรประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ และต้องไม่รับเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ทำไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวตามมา

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ลำดับเหตุการณ์

  • เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กางแผนแก้หนี้เสีย ดึงเงิน FIDF ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมธนาคารพาณิชย์ ซื้อ NPL ประชาชนมาปรับโครงสร้าง ตั้งเป้าลดหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 87%

    30 ก.ย. 2568

  • นโยบายรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกุล แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง หนี้ภาคประชาชน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพิ่มสภาพคล่องให้SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท

    29 ก.ย. 2568

  • ครม. ขยายโครงการคุณสู้เราช่วย เฟส 2 ผ่อนเงื่อนไขลูกหนี้ค้างจ่ายไม่เกิน 30 วัน พร้อมเพิ่มมาตรการจ่าย ตัด ต้น ช่วยลูกหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากที่สมัครไม่ผ่านในเฟส 1  ดูเพิ่มเติม ›

    1 ก.ค. 2568

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/67 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 88.4% ของจีดีพี  ดูเพิ่มเติม ›

    9 มิ.ย. 2568

  • ธปท. ขยายเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จนถึง 30 มิ.ย. 68 หลังมีลูกหนี้เข้าร่วมได้เพียง 5.3 แสนราย จากลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติ 1.9 ล้านราย  ดูเพิ่มเติม ›

    25 เม.ย. 2568

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยข้อมูลเครดิตบูโร หนี้เสีย (NPL) ของประชาชน ณ สิ้นเดือน ธ.ค.67 มี 9.59 ล้านบัญชี มูลค่าหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท

    21 มี.ค. 2568

  • รมว.คลัง เร่งหาแนวทางซื้อหนี้เสียของประชาชน เตรียมหารือสมาคมธนาคาร ยกโมเดลวิกฤตปี 40 แยกบัญชีหนี้ดีออกจากหนี้เสีย   ดูเพิ่มเติม ›

    18 มี.ค. 2568

  • ธปท.ขยายเวลา "คุณสู้ เราช่วย" แก้ปัญหาหนี้รายย่อย จากเดิมหมดเขต 28 ก.พ. ขยายเวลาถึง 30 เม.ย.  ดูเพิ่มเติม ›

    11 ก.พ. 2568

  • ครม.อนุมัติมาตรการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)รายเล็ก เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ในบัญชีสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และเอสเอ็มอีรายย่อย ด้วยการยกเว้นดอกเบี้ย  ดูเพิ่มเติม ›

    11 ธ.ค. 2567

  • ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแจ้งว่าในเดือนธ.ค.67 รัฐบาลจะออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้

    14 พ.ย. 2567

  • สมาคมธนาคารไทย เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย สำหรับลูกหนี้บ้าน รถยนต์และเอสเอ็มอีขนาดเล็ก

    5 พ.ย. 2567

  • เอกสารแถลงนโยบายรัฐบาล ระบุว่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และที่อยู่อาศัย

    6 ก.ย. 2567

  • โครงการคลินิกแก้หนี้เดินหน้าเข้าสู่ “ระยะที่ 3” โดยได้ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว

    1 ก.พ. 2563

  • โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 ขยายขอบเขตให้รวมลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank 19 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ

    15 พ.ค. 2562

  • สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยการสนับสนุนของ ธปท. ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560  ดูเพิ่มเติม ›

    1 มิ.ย. 2560

รายละเอียด

ความสำเร็จของนโยบาย

เชิงโครงการ

ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
เน้นสินเชื่อรถยนต์และบ้าน

เชิงกระบวนการ

สำรวจลูกหนี้
ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์และบริษัทบริหารสินทรัพย์

เชิงการเมือง

แก้ปัญหาลูกหนี้ได้
ให้ความรู้และการออมใหม่ ๆ เช่น หวยเกษียณ

บทความ

ดูทั้งหมด
ความเหลื่อมล้ำเรื้อรัง กัดกร่อนระบบสวัสดิการสังคม

ความเหลื่อมล้ำเรื้อรัง กัดกร่อนระบบสวัสดิการสังคม

ระบบสวัสดิการสังคมไทยกำลังใกล้วิกฤต สภาพัฒน์คาดปี 83 รายจ่ายจะเท่ากับรายรับ จากการพึ่งพางบประมาณรัฐฝ่ายเดียว ในขณะที่คนจนในไทยมีมากขึ้นและเริ่มเรื้อรัง จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับสวัสดิการสังคม ด้านนักวิชาการเสนอ ปรับปรุงระบบเน้นกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น พัฒนาทักษะคน แก้วิกฤตการคลัง และใช้ดิจิทัลเข้ามาช่วย

ชำแหละนโยบายรัฐ: ทุ่มงบมหาศาล 5 แสนล้าน "ยิ่งแก้ ยิ่งจน"

ชำแหละนโยบายรัฐ: ทุ่มงบมหาศาล 5 แสนล้าน "ยิ่งแก้ ยิ่งจน"

สศช.ชำแหละนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ พบว่า "ยิ่งแก้-ยิ่งจน" แม้จะมีโครงการต่อเนื่อง งบประมาณ 5 แสนล้าน แต่ทำได้เพียงระดับการ "การเยียวยา-สงเคราะห์" แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างที่ส่งผลให้เกิดความยากจนและเหลื่อมล้ำได้ ในทางตรงกันข้ามความยากจนและความเหลื่อมล้ำกลับแย่ลง

"คนจน ยิ่งจน" : สังคมไทยกำลังเผชิญวิกฤติความจน

"คนจน ยิ่งจน" : สังคมไทยกำลังเผชิญวิกฤติความจน

คนจนในปี 67 ขยับขึ้นเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ รวม 3.43 ล้านคน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ สถานการณ์ความจนรุนแรงขึ้น "คนจน ยิ่งจน" รายได้ต่ำเส้นความยากจนมากขึ้น สะท้อนรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ

ไทยสุดยอดความเหลื่อมล้ำ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน

ไทยสุดยอดความเหลื่อมล้ำ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน

สศช.ออกรายงานความเหลื่อมล้ำปี 67 พบว่าสังคมไทยเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน พบว่าความเหลื่อมล้ำของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าหรือสูงกว่า เราย่ำแย่กว่าเพื่อน

ธุรกิจรายเล็กหนี้เสียพุ่ง สัญญาณอันตรายเศรษฐกิจไทย

ธุรกิจรายเล็กหนี้เสียพุ่ง สัญญาณอันตรายเศรษฐกิจไทย

ธุรกิจรายย่อย (SMEs) มีสัดส่วนค่อนข้างมาก ทั้งการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศและการจ้างงาน แม้จะพูดกันมากถึงการล่มสลายของเอสเอ็มอีไทย แต่การศึกษาสภาพัฒน์ช่วยตอกย้ำว่า หลังโควิด-19 ธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบหนักและยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งมีหนี้เสียเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงมาก

“ระเบิดเวลา” หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ 2.43 ล้านล้านบาท

“ระเบิดเวลา” หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ 2.43 ล้านล้านบาท

สหกรณ์ออมทรัพย์ไทยมีการให้สินเชื่อมากถึง 2.43 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 รองจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐ แต่เกณฑ์สินเชื่อกลับไม่เข้มงวดจนสมาชิกก่อหนี้เกินความจำเป็น โดยเฉพาะการให้กู้ยืมระหว่างสหกรณ์ด้วยกัน หากเกิดขาดสภาพคล่องหรือหนี้เสียจำนวนมาก อาจเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจประเทศ