หลังจากลุ้นกันมานาน การกำหนดรถไฟฟ้าราคาเดียว และตั๋วใบเดียว กำลังจะเป็นจริง หลังจากพระราชบัญญัติ 3 ฉบับผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา โดย 1 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 7 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา มีผลบังคับใช้แล้วหลังวันประกาศ
ส่วนกฎหมายอีก 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ…และ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. อยู่ระหว่าง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเช่นกัน
ความสำคัญ ของกฎหมาย 3 ฉบับ ในการยกระดับ ระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ และจะเป็นการวางรากฐานให้ประชาชนสามารถใช้ “บัตรใบเดียว” หรือ “ระบบชำระค่าโดยสารเดียว” สามารถเชื่อมการเดินทาง ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ รถไฟ และระบบขนส่งในภูมิภาคในอนาคต
ที่ผ่านมา ประเทศไทยพยายามผลักดันแนวคิด “ตั๋วร่วม” หรือตั๋วใบเดียวมานาน แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการบริหารจัดการที่ซับซ้อน มีหลายหน่วยงานดูแล เช่น กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และเอกชนผู้ให้บริการรถไฟฟ้า ทำให้แนวคิด “บัตรใบเดียว” ยังไม่เกิดขึ้นได้
ที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองได้เสนอนโยบาย รถไฟฟ้าราคาเดียว เช่น รัฐบาลพรรคเพื่อไทย พยายามจะเสนอนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประกาศ รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการเมื่อไหร
ดังนั้นกฎหมายทั้ง 3 ฉบับจึงถือว่ามีความสำคัญในการผลักดันให้เกิด ค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคาเดียว เพราะถือเป็นการผลักดันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการขนส่งสาธารณะอย่างเป็นธรรม ในราคาที่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐสามารถเข้ามาบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทั้งระบบได้ จากเดิมที่มีความซับซ้อนในการจัดการจากหลายหน่วยงาน
พ.ร.บ.รฟม.ใช้เงินอุดหนุนจัดระบบตั๋วร่วมได้
สาระสำคัญ การแก้ไขพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 จึงมีเป้าหมาย สามารถใช้จ่ายเงินเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถใช้ตั๋วใบเดียวเดินทางเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนได้อย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน แต่บทบัญญัติบางประการ และข้อบังคับบางประการมีข้อจำกัดในการให้พัฒนาระบบบริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
การแก้ไขเพิ่มเติมให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อสามารถใช้จ่ายเงินเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมได้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการใช้ระบบขนส่งมวลชน และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น
สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 กำหนดไว้ดังนี้
มาตรา 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 2543
“ในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ของรฟม. และการดำเนินการของ รฟม.ในกรณีมีการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมให้อยู่ภายใต้กฎหมายนั้น”
มาตรา 7 ให้ยกเลิก (13 ) ของมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(13 ) การกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สิน การให้บริการ และความสะดวกในกิจการรถไฟฟ้า ตลอดจนวิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม ดังกล่าว และกำหนดประเภทบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสาร ”
มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 65 รายได้ที่ รฟม. ได้รับจากการดำเนินการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ รฟม. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานทั้งปวง ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรองตามมาตรา 11 เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
รายจ่ายสำหรับการดำเนินงานตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงเงินที่ รฟม. จ่ายเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินการในกรณีที่มีการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมในการบริการขนส่งสาธารณะที่เกี่ยวข้องกะบกิจการรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข การจ่ายและส่งเงินคืน ให้เป็ไปตามที่รัฐมนตรีประกาศ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในกรณีที่รายได้ไม่เพียงพอ สำหรับกรณีตามวรรคหนึ่ง นอกจากเงินสำรองตามมาตรา 11 และ รฟม.ไม่สามารถหาเงินที่อื่นได้ รัฐพึ่งจ่ายเงินให้แก่ รฟม.เท่าทีจำเป็นต่อการดำเนินงานรฟม.”
การแก้ไข กฎหมาย รฟม. จึงหมายถึงการสนับสนุนให้เกิดระบบตั๋วร่วม รวมถึงหลักเกณฑ์ในการนำเงินรายได้บางส่วนของ รฟม.เพื่อสนับสนุนให้เกิดระบบตั๋วร่วมให้ได้
พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม เชื่อม รถ -ราง – เรือ
ส่วน พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ที่ผ่านความเห็นชอบ วุฒิสภาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา และรอการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษา มีความสำคัญมากในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะเชื่อม รถ- ราง – เรือให้เป็นระบบ เดียวกัน ได้
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนใช้บัตรโดยสารใบเดียวหรือระบบชำระเงินเดียวเดินทางได้ครอบคลุมระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ และรถไฟ
กฎหมายนี้จะวางรากฐานให้เกิดการรวมระบบตั๋ว ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ลดความยุ่งยากในการพกบัตรหลายใบ และช่วยให้รัฐสามารถกำหนดโครงสร้างค่าโดยสารที่เหมาะสมและอุดหนุนค่าโดยสารได้
หลักการสำคัญ 5 ประการของ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม
1.การจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลาง
2.กำหนดอัตราโดยสารร่วม โดยอำนาจของ รมว.คมนาคมในการออกกฎกระทรวง เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจะต้องนำอัตราค่าโดยสารร่วมไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคตด้วย
3..จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนในการดำเนินงาน การพัฒนา และการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมทั้งให้กู้ยืมแก่ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการตั๋วร่วม
4.ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้
5.ในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้ใบรับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดในการส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อป้องกันการเสียหายต่อสาธารณะ
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฯ ประกอบด้วย 7 หมวด และบทเฉพาะกาล (54 มาตรา) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดค่าใช้จ่าย และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน พร้อมทั้งหันมาเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
ส่วนประโยชน์ของประชาชน สามารถใช้บัตรหรือแอปพลิเคชันเดียวเดินทางได้ทุกระบบ ลดค่าใช้จ่าย เมื่อระบบตั๋วร่วมและนโยบายค่าโดยสารร่วมเกิดขึ้น จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และ การบริหารจัดการ ประชาชนจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และสามารถพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ในระยะยาว
พ.ร.บ. การขนส่งทางราง ยกระดับระบบราง
ความสำคัญของ พ.ร.บ. การขนส่งทางราง ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ วุฒิสภา และเตรียมประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษา เป็นกฎหมายที่วางกรอบการควบคุม ดูแล และพัฒนาการขนส่งทางรางในไทย ยกระดับความปลอดภัย ความสะดวก ประหยัด
กำหนดกติกา : การกำกับดูแลกิจการขนส่งทางรางให้ชัดเจน รวมถึงการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้โดยสารและผู้ประกอบการ กฎหมายนี้ยังส่งเสริมให้ระบบรางสามารถแข่งขันและเชื่อมต่อกับการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ และประเทศเพื่อนบ้านได้ดียิ่งขึ้น
- ด้านความปลอดภัย: กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินรถ การบำรุงรักษาทาง และการปฏิบัติงานของผู้ประจำหน้าที่ เพื่อลดอุบัติเหตุ
- ด้านมาตรฐาน: เป็นกลไกในการกำกับดูแลให้การขนส่งทางรางทั้งระบบเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น การกำกับดูแลการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนานวัตกรรม
- ด้านความเป็นธรรม: กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณค่าโดยสารและค่าบริการที่เป็นธรรมและเหมาะสม และมีการทบทวนทุก 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
- ด้านการแข่งขัน: สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และส่งเสริมการใช้โครงสร้างพื้นฐานอย่างคุ้มค่า
- ด้านการพัฒนา: สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางรางของประเทศให้มีความแข็งแกร่งและสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้
- ด้านการคุ้มครองผู้โดยสาร: กำหนดให้มีการประกันความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายของผู้โดยสาร และจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารทุกกลุ่ม
ดังนั้น การผ่านกฎหมาย ทั้ง 3 ฉบับ จึงถือเป็นความหวังในการยกระดับการพัฒนาขนส่งมวลชนสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




