ตลาดยานยนต์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความซับซ้อนของ VUCA หรือ ความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความคลุมเครือ แม้รัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุนส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศ แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับประสบปัญหากำลังซื้อชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องสงครามราคาและประสบการณ์ด้านบำรุงรักษา
ปัจจัยกดดันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
จากรายงาน Automotive Industry Trends ของดีลอยท์ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกรวมถึงชะลอตัวลง ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือนที่สูง และ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ จำเป็นต้องเร่งอุณหภูมิของสงครามราคา ทั้งการปรับราคาของรถยนต์รุ่นที่ทำตลาดอยู่ รวมถึงเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ราคาเข้าถึงได้มากขึ้นมาร่วมแข่งขัน ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมไปจนถึงตลาดรถยนต์มือสอง
ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา มีการปรับลดการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า ลดการผลิต และ ลดราคาเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฮบริด เพื่อเป็นโซลูชันการเปลี่ยนผ่านระหว่างรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบขยายระยะทางในการขับขี่ (EREV) เป็นต้น
ทั้งนี้ จากรายงาน 2025 Global Automotive Consumer Study ของดีลอยท์ พบว่า ความต้องการของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2024 และปี 2025 แต่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ยังคงทรงตัว
4 นวัตกรรมที่ผู้ผลิตรถต้องพัฒนา
สำหรับศักยภาพ 4 ประการหลักที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิมกำลังพัฒนา ต้องพิจารณาว่านวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยก้าวข้ามความท้าทายดังกล่าวอย่างไร คือ
1. เทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยกุญแจสำคัญสู่ความสามารถในการเข้าถึงของผู้บริโภค แบตเตอรี่นับเป็นต้นทุนที่สำคัญของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่แบตเตอรี่กลับถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของรถไฟฟ้าที่สำคัญที่สุด โดยจากรายงาน 2025 Global Automotive Consumer Study ของดีลอยท์ พบว่า ความกังวลหลักของผู้บริโภคเมื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ระยะทางขับขี่ และ ระยะเวลาในการชาร์จ
ในบริบทนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่มีความสำคัญ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ อายุการใช้งานที่ยาวนาน และ ส่งผลสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า โดยปัจจุบันแบตเตอรี่ LFP มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่นิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ (NMC) ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 60 โดยแบตเตอรี่ LFP มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งผู้ผลิตจากประเทศจีนครองตลาดแบตเตอรี่ LFP ในขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์จากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีนั้นก็มีการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ LFP มาใช้เพื่อลดต้นทุนและคงความสามารถแข่งขันในตลาดเช่นกัน
นอกจากนี้ แบตเตอรี่ทางเลือกใหม่ ๆ เช่น แบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน (Na-ion) จากแร่เกลือหิน ยิ่งทำให้ราคาจับต้องได้ไปอีก เนื่องจากโซเดียมที่มีอยู่มากและมีต้นทุนต่ำกว่าแบตเตอรี่ LFP ทั้งนี้ คาดว่าแบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน จะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นประมาณร้อยละ 13 ระหว่างปี 2022 และปี 2028 ส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้ารุ่นเริ่มต้นในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคในอนาคต
2. นวัตกรรมการชาร์จ โดยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการชาร์จกำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญในการตอบสนองต่อความกังวลของผู้บริโภค ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสะดวกสบายและระยะทาง การชาร์จแบบไร้สาย ซึ่งใช้การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี่ที่กำลังมาแรงที่จะเป็นทางเลือกสำหรับระบบการชาร์จเสียบสายแบบดั้งเดิม โดยนวัตกรรมนี้นำเสนอแนวทางหลักสองแนวทาง ได้แก่
- การชาร์จแบบสถิต (Static Charging) ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จได้ในขณะที่จอดอยู่บนแท่นชาร์จที่ฝังอยู่ในพื้นดิน โดยผู้ขับขี่สามารถจอดยานพาหนะและเดินไปยังบริเวณอื่นได้ ขณะที่ระบบเริ่มการชาร์จโดยอัตโนมัติ
- การชาร์จแบบไดนามิก (Dynamic Charging) ก้าวไปอีกขั้นของนวัตกรรม ด้วยการทำให้ยานพาหนะสามารถชาร์จได้ระหว่างขับอยู่บนถนนที่มีคอยล์ชาร์จฝังอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ใช้การถ่ายโอนพลังงานเหนี่ยวนำแบบเรโซแนนซ์ เพื่อส่งพลังงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปตามถนนที่มีระบบไฟฟ้า
3. ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจากปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแรงมากขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายมีการร่วมมือกันเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน (EOL) โดยใช้แบตเตอรี่ดังกล่าวสำหรับการใช้งานในครั้งที่สอง หรือการรีไซเคิลเพื่อสกัดวัตถุดิบที่สำคัญออกมาใช้ใหม่
แนวทางนี้ช่วยให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิมสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษี และลดต้นทุนด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิล ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง ถึงแม้ว่าประเทศจีนและสหภาพยุโรปจะเป็นผู้นำในความพยายามด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ แต่ห่วงโซ่มูลค่าแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานทั่วโลกยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไป รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความรับผิดชอบในการบริหารจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. การปลดล็อกโอกาสการเติบโตด้วยการเชื่อมต่อ จะช่วยให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานต่าง ๆ และสร้างประสบการณ์ล้ำสมัยให้กับลูกค้า ดังต่อไปนี้
- ฟังก์ชันตามความต้องการ (Function of Demand: FoD): บริการ FoD ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถนำเสนอการใช้งานบนซอฟต์แวร์ที่ลูกค้าสามารถเปิดใช้งานได้ตามต้องการ ส่งผลให้เกิดการสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมากมองว่า FoD เป็นแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รวมถึงการทดลองใช้เพื่อทดสอบคุณสมบัติเสริมยังสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคได้อย่างมาก
- ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS): ระบบ ADAS ได้ปรับเปลี่ยนมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ พร้อมเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ โดยตลาด ADAS ซึ่งขับเคลื่อนโดยข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและข้อกังวลด้านความปลอดภัยนั้น คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ร้อยละ 16.7 ระหว่างปี 2022 และปี 2027
- ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI): Gen AI พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงภาคส่วนยานยนต์ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพของยานพาหนะ และการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ทั้งนี้ คาดว่าตลาด Gen AI ในยานยนต์จะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ร้อยละ 24 ระหว่างปี 2022 และปี 2032
สำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยให้ผู้ผลิตยานยนต์วางตำแหน่งตัวเองเพื่อความสำเร็จในระยะยาวในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอีกด้วย
กลยุทธ์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทย
ท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมาก ด้วยการแก้ไขข้อกังวลของผู้บริโภคในด้านราคา โครงสร้างพื้นฐาน และความยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งนี้ การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โซลูชันการชาร์จ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรีไซเคิล และการเชื่อมต่อ จะกลายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโมเมนตัมนี้
ในขณะที่ประเทศไทยยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ผู้ผลิตยานยนต์ และนักลงทุนบุคคล จะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้หนทางข้างหน้ายังต้องอาศัยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว แต่นับเป็นสัญญาเชิงบวกสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไป
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- EV เขย่าตลาดยานยนต์ไทย สะเทือนทั้งรถใหม่-รถมือสอง
- ครม.ไฟเขียวเงินอุดหนุน ค้างจ่าย EV 3.0 มุ่งสู่ฮับในภูมิภาค
- เทียบรถยนต์ “BEV-HYBRID-น้ำมัน” จะใช้อะไรดี?
- ไทยจะเป็นฮับรถอีวี แต่ไร้มาตรการจัดการซากแบตเตอรี่
- โฉมใหม่ตลาดรถยนต์ กำลังซื้อหดหาย อีวีจีนทุบราคา