กรมอุตุนิยมวิทยาโลกออกรายงานเรื่องสถานการณ์น้ำโลกประจำปี 2024 สรุปได้ว่าเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง หลายพื้นที่ในหลายทวีปประสบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป เป็นปีที่เจอกับอุณหภูมิค่าเฉลี่ยใหม่ที่สูงที่สุด และน้ำแข็งยังละลายอย่างต่อเนื่อง
2024 อีกปีที่โลกร้อนขึ้น แล้งขึ้น ฝนหนักขึ้น
เริ่มต้นปี 2024 ด้วยปรากฏการณ์เอลนีโญ(El Niño) รุนแรงที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่กลางปี 2023 ก่อนจะกลับมาสู่สภาวะเป็นกลางหรือ Enso-Neutral ในช่วงกลางปี 2024 เป็นปกติของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ส่งผลให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกในเขตร้อนสูงกว่าปกติ
ปรากฏการณ์เอลนีโญ รุนแรงในครั้งนี้ส่งผลให้ตอนบนของอเมริกาใต้และแอฟริกาใต้มีความแห้งแล้ง นอกจากนี้สถานการณ์ความแล้งยังรุนแรงมากในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน และรุนแรงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป
ปี 2024 ยังเป็นปีที่พบสถิติอุณหภูมิสูงสุดใหม่ที่สุด ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิขึ้นไปแตะที่ 1.55 °C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของยุคก่อน Pre-Industrial ส่งผลให้เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี และอุณหภูมิในแต่ละเดือนเกือบทุกเดือนได้ทุบสถิติใหม่ของปีก่อนหน้า ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิน้ำทะเลยังคงสูงและกำลังร้อนขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว
มีทั้งน้ำฝนน้อย-มาก
ปริมาณน้ำฝนถือว่าน้อยกว่าปกติในหลายภูมิภาคในปี 2024 ตัวอย่างที่ชัดเจนคือลุ่มแม่น้ำแอมะซอนที่ฝนตกน้อย-ถึงน้อยมากยาวไปจนถึงช่วงเดือนตุลาคม และเกิดสถานการณ์ลักษณะเดียวกันในตอนบนของอเมริกาใต้และพื้นที่ทางตะวันตกของเม็กซิโก ตอนใต้ของแอฟริกาก็ฝนตกน้อยกว่าปกติเช่นเดียวกัน
ในอีกมุมหนึ่ง ยุโรปเจอน้ำฝนในปริมาณที่มากเกินปกติ โดยเฉพาะยุโรปตอนกลางและยุโรปตอนเหนือ พื้นที่อื่นที่เจอน้ำฝนมากคือคาซัคสถานและตอนใต้ของรัสเซีย ปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติยังกระทบต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางพื้นที่ของออสเตรเลียด้วย
ปริมาณน้ำฝนในแต่ละฤดู ปี 2024
ฤดูร้อนนานขึ้น ยิ่งทำน้ำแข็งละลาย
2024 เป็นปีที่สามติดต่อกันที่ธารน้ำแข็งละลายในวงกว้าง กินบริเวณประมาณ 19 แหล่งธารน้ำแข็งทั่วโลก คิดเป็นการสูญเสียธารน้ำแข็งทั้งหมด 450 พันล้านตัน หรือ คิดเป็นระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1.2 มิลลิเมตร
พื้นที่ที่สูญเสียธารน้ำแข็ง ‘มาก’ คือ สแกนดิเนเวียน สฟาลบาร์ (Svalbard – หมู่เกาะในมหาสมุทรอาร์กติก) และเอเชียตอนเหนือ ในขณะที่การสูญเสียธารน้ำแข็งในกลุ่มเกาะอาร์กติกของแคนาดาและพื้นที่เขตกรีนแลนด์อยู่ในเกณฑ์ ‘ปานกลาง’
ตั้งแต่ปี 1990s เป็นต้นมา มีการน้ำแข็งละลายในแทบทุกภูมิภาค และความรุนแรงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เหตุผลหลักก็เพราะว่าหลายภูมิภาคมีฤดูร้อนที่ยาวนานมากขึ้น และเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากกว่าช่วงฤดูหนาว
ย้อนเหตุการณ์ สภาพอากาศรุนแรงทั่วโลก
มีภัยธรรมชาติเกินขึ้นบ่อยทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเองเจอกับพายุไต้ฝุ่นยางิ (Typhoon Yagi) ที่ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไทยโดยตรงและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง พายุไต้ฝุ่นยางิเป็นหนึ่งในพายุที่สร้างความเสียหายให้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก นอกจากประเทศไทยแล้วก็กระทบทั้งจีน ฟิลิปปินส์ ประเทศลาว เมียนมา และเวียดนาม
แอฟริกา เจอกับน้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่จากที่ปริมาณน้ำฝนมามากผิดปกติ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มากกว่า 4 ล้านคนต้องย้ายถิ่นและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างสาธารณูปโภค ระบบเกษตรกรรม และระบบการศึกษาเนื่องจากหลายโรงเรียนโดนน้ำท่วมและบางโรงเรียนถูกใช้ให้เป็นที่พักพิงสำหรับผู้ประสบภัย
ยุโรป เองเจอกับน้ำท่วมครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปี 2013 โดย 1 ใน 3 ของแม่น้ำทั้งหมดมีปริมาณน้ำในระดับที่สูงมากของระดับน้ำท่วม ส่งผลให้มีความสูญเสียทางเศรษฐกิจตีมูลค่าเป็น 18 พันล้านยูโรจากภัยธรรมชาติหลายครั้ง
สหรัฐอเมริกา เจอทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งในปีที่แล้ว พายุเฮอริเคน Helene นำน้ำฝนปริมาณมากครั้งประวัติศาสตร์มาสู่พื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาเป็นเวลา 3 วันส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งร้ายแรงตั้งแต่ปี 1916 โดยเฉพาะในรัฐ North Carolina ตีมูลค่าความเสียหายเป็น 79.5 พันล้าน US Dollars ในเวลาเดียวกันรัฐ Texas Oklahoma และ Kansas เจอภัยความแล้งตลอดปีส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อการเพาะปลูกในปริมาณมาก
เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายพื้นที่ในออสเตรเลียในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเจอฝนตกในปริมาณที่มากและเป็นสถิติใหม่จากพายุฝนฟ้าคะนองเยอะ ก่อให้เกิดการเตือนภัยน้ำท่วมและเกิดน้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่เช่น แม่น้ำ Victoria รัฐ New South Wales ตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ Queensland และ Tasmania พบเจอกับฝนที่ตกลงมาเป็นระยะเวลานานส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
อีกเหตุการ์ที่น่าจับตาในอนาคตคือธารน้ำแข็งระเบิด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้วในรัฐ British Columbia ของแคนาดา ก่อให้เกิดน้ำไหลจากที่สูงมาที่ต่ำ ถึงแม้พื้นที่ที่กระทบจะเป็นแทบชนบท แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างสาธารณูปโภคและแหล่งน้ำที่ปลายน้ำ
กรมอุตุโลกฯ ชี้ว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้กำลังย้ำเตือนว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ในสภาวะที่สภาพภูมิอากาศกำลังอุ่นขึ้น และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสังเกตุการณ์ธารน้ำแข็ง ถึงแม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่ได้คัดกรองว่าเป็นน้ำท่วมที่รุนแรง แต่เหตุการณ์นี้สื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารน้ำ
ที่มา: State of Global Water Resources report 2024