การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้เองไม่ได้เพียงแต่ทำให้ฝนตกหนักขึ้น แต่ยังเปลี่ยนธรรมชาติของฝนให้กลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่พร้อมจะทำลายชุมชน โครงสร้างพื้นฐาน และชีวิตผู้คนได้ในพริบตา เมืองและชุมชนจึงไม่อาจดำเนินนโยบายแบบเดิมได้ หากแต่ต้องเร่งหาหนทางใหม่เพื่อความอยู่รอดในยุคที่ธรรมชาติไม่สามารถพยากรณ์ได้อีกต่อไป…
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในรูปของการที่มีฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมถี่ขึ้นและรุนแรงกว่าเดิม ส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้น เมืองและชุมชนจำเป็นต้องพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่เน้นความยืดหยุ่น เพื่อลดความเสี่ยงและรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต
ความหมายและความสำคัญของ “ฝนสุดขั้ว” ในบริบทประเทศไทย
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน พายุรุนแรง หรือฝนตกหนักผิดปกติ ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ตลอดจนสังคมในวงกว้าง โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยที่ยังมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบป้องกันภัยพิบัติที่เปราะบาง
คำว่า “ฝนสุดขั้ว” (Extreme Rainfall) เป็นรูปแบบหนึ่งของสภาพอากาศสุดขั้ว หมายถึง ปริมาณฝนที่ตกลงมาในปริมาณสูงผิดปกติในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ฝนตกหนักภายในวันเดียว หรือในช่วงเวลา 3–5 วันติดต่อกัน ทำให้ระบบการระบายน้ำและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไม่สามารถรองรับได้อย่างทันท่วงที
งานศึกษาทางวิศวกรรมอุทกวิทยาในประเทศไทยพบว่า ดัชนีฝนสุดขั้วมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสามารถวัดจากตัวชี้วัด เช่น จำนวนวันฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณฝนสูงสุดในหนึ่งวัน หรือสามวันติดต่อกัน ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (เชาวน์วิวัฒน์, ศรินนภากร, และเหมืองทอง, 2564)
ขณะเดียวกันในเชิงผลกระทบ ฝนสุดขั้วยังก่อให้เกิดอุทกภัยและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่มีผู้ได้รับผลกระทบสูงสุดเมื่อเทียบกับภัยประเภทอื่น ๆ ในประเทศไทย ทั้งยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน หรือที่อยู่อาศัยของประชาชน (ไทยพีบีเอส, 2568)
เหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฝนสุดขั้วไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ท้าทายต่อการบริหารจัดการภัยพิบัติและการวางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับชาติและท้องถิ่นอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจความหมายของ “ฝนสุดขั้ว” จึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบเตือนภัยล่วงหน้า การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวที่ซับน้ำได้ หรือการบูรณาการชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการเฝ้าระวังและปรับตัว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดความเปราะบางและสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงในปัจจุบันและอนาคต
สถานการณ์น้ำท่วมจากฝนสุดขั้วในประเทศไทย: ผลกระทบและความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงและผิดปกติบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะปรากฏการณ์ฝนตกหนักแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า “ฝนสุดขั้ว” (extreme rainfall) ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Intergovernmental Panel on Climate Change [IPCC], 2021)
ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้หลายเมืองใหญ่ของไทย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และขอนแก่น เกิดปัญหาน้ำท่วมฉับพลันซ้ำซาก ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางต่อโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (2566) ระบุว่าปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมักมีลักษณะตกหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization [WMO], 2023) ที่พบว่าภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับความถี่ของฝนสุดขั้วที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้เองสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น
กรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองจากฝนสุดขั้ว เมื่อเกิดฝนตกหนักเพียง 1-2 ชั่วโมง ระบบระบายน้ำที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ทัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังที่สร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจ การคมนาคม และครัวเรือนจำนวนมาก (สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร, 2566) เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเมืองที่ไม่ได้รับการออกแบบให้รองรับกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบรุนแรงของฝนสุดขั้ว เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องเพียง 2 ชั่วโมงด้วยปริมาณฝนสูงสุดถึง 89 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงในพื้นที่เขตห้วยขวาง (กรมอุตุนิยมวิทยา, 2566) ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่สำคัญ โดยเฉพาะถนนหลักสายสำคัญอาทิ ถนนรามคำแหง ถนนลาดพร้าว และถนนพหลโยธิน ซึ่งมีน้ำท่วมลึก 30-50 เซนติเมตร
ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายมิติ ในด้านการคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะต้องหยุดให้บริการชั่วคราวในหลายจุด รถประจำทางและรถไฟฟ้าใต้ดินไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ส่งผลให้ประชาชนกว่า 2 แสนคนไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ทันเวลา (สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร, 2566)
ความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นประมาณ 150 ล้านบาท เกิดจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ใจกลางเมือง ร้านค้าและสำนักงานในอาคารชั้นล่างได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ขณะที่ผู้ประกอบการรถแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้างสูญเสียรายได้เฉลี่ยคนละ 800-1,200 บาทต่อวัน (World Bank, 2023)
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือชุมชนแออัดในเขตคลองเตย บางพลัด และดินแดง ซึ่งมีระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ น้ำท่วมขังในชุมชนเหล่านี้นานกว่า 6 ชั่วโมง ส่งผลให้เด็กเล็กและผู้สูงอายุจำนวน 247 ครัวเรือนต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว (กรุงเทพมหานคร, 2566) สถานการณ์นี้เผยให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมทางสังคมในการรับมือกับภัยธรรมชาติ โดยกลุ่มเปราะบางในสังคมมักได้รับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
ในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2565 จากฝนตกหนักต่อเนื่อง 3 วัน โดยมีปริมาณฝนสะสมรวม 280 มิลลิเมตร ซึ่งเกินกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีถึงร้อยละ 180 (กรมอุตุนิยมวิทยา, 2565) เหตุการณ์นี้ทำให้แม่น้ำปิงเอ่อล้นตลิ่ง ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มน้ำปิงและย่านการค้าใจกลางเมืองเชียงใหม่จมอยู่ใต้น้ำลึก 80-120 เซนติเมตร
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โรงแรมและรีสอร์ทกว่า 200 แห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราว นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 15,000 คนต้องยกเลิกการเดินทาง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 2.3 พันล้านบาท (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2565)
นอกจากนี้ เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำปิงประสบความเสียหายจากการเก็บเกี่ยวข้าวที่ต้องเลื่อนออกไป พืชผลเสียหายกว่า 25,000 ไร่ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลงเฉลี่ย 40,000 บาทต่อครัวเรือน (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2565)
ผลกระทบรวมจากน้ำท่วมที่เกิดจากฝนสุดขั้วส่งผลให้ประเทศไทยต้องแบกรับความเสียหายปีละหลายหมื่นล้านบาท ทั้งในรูปแบบของค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ความเสียหายทางการเกษตร และการสูญเสียรายได้ของแรงงานนอกระบบ (World Bank, 2023) สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมกันต่อกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในเมือง เช่น ชุมชนแออัดที่ไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ มักได้รับผลกระทบอย่างหนักและฟื้นตัวได้ช้ากว่า
ขณะเดียวกันแนวโน้มในอนาคตยังชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะรุนแรงมากขึ้น การคาดการณ์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC, 2021) ระบุว่าความถี่และความรุนแรงของฝนสุดขั้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากประเทศไทยไม่มีการปรับปรุงระบบจัดการน้ำและการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศใหม่ ในอีก 20 ปีข้างหน้าความเสียหายจากน้ำท่วมอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5-7 เท่า (World Bank, 2023)
การคาดการณ์และการเตรียมพร้อมสำหรับปี 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ให้การคาดการณ์ว่า ปริมาณฝนรวมตลอดทั้งปี 2568 จะใกล้เคียงกับค่าปกติ โดยฝนรวมมากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 5 ช่วงต้นฤดูฝนจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 5-10 โดยเฉพาะ ในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม คาดว่าจะมีฝนตกชุกที่สุดในรอบปี และมีโอกาสเกิดพายุหมุนเขตร้อน 1-2 ลูกเคลื่อนผ่านภาคเหนือและอีสาน
แม้ว่าประเทศไทยในปี 2568 อาจไม่ต้องเผชิญ “น้ำท่วมใหญ่” แบบที่เคยเกิดในอดีต แต่ยังมีความเสี่ยงจากฝนตกหนักเฉียบพลัน (Rain bomb) น้ำท่วมขังรอระบาย และฝนทิ้งช่วง ซึ่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ออกประกาศเตือนภัยแล้วในเดือนพฤษภาคม 2568 โดย พบว่ามีพื้นที่บางส่วนเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายไม่ทัน
ความท้าทายเพิ่มเติมที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 คือปัญหาด้านเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศ ระบบพยากรณ์สถานีเรดาร์ 27 สถานี เสียหายไปแล้ว 11 สถานีใช้เวลา 6-7 เดือนถึงจะซ่อมแซมได้ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเตือนภัยล่วงหน้า ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมคาดการณ์ว่าประเทศไทยในปี 2568 จะเผชิญกับสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว โดย ประมาณปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมจะมีอุณหภูมิสูงสุดทะลุถึง 45 องศาเซลเซียสถือว่าร้อนที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ขณะที่ในช่วงฤดูฝนอาจจะมีพายุฤดูร้อนเข้ามาในประเทศไทยหลายลูกตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2568 ฝนจะตกหนักลักษณะเป็นแห่ง ๆ อาจเกิดภาวะน้ำท่วมได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ตราบใดที่เรายังไม่สามารถจัดระบบให้เป็นรูปธรรม และลงทุนในการยกระดับการพยากรณ์ เราก็จะยังอยู่บนความเสี่ยง ปี 2568 หรือปีต่อไปก็จะปัญหาเดิม ๆ น้ำท่วมเหมือนเดิม ความเสียหายเหมือนเดิม การขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการพยากรณ์อากาศและระบบเตือนภัยจึงยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข
จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาและการคาดการณ์สำหรับปี 2568 สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมเพียงพอในการรับมือกับฝนสุดขั้วที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหานี้เรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนในหลายมิติ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการระบายน้ำ การปรับปรุงระบบการวางผังเมือง การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการรับมือกับภัยธรรมชาติ เพื่อลดความเสียหายและสร้างความยืดหยุ่นของสังคมไทยต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต
เมืองต้องยืดหยุ่น: ความเปราะบางและความจำเป็นของ “Resilience”
ความหมายและแนวคิดของความยืดหยุ่นในเมือง คำว่า “Resilience” หรือ “ความยืดหยุ่น” ในเชิงนโยบายสาธารณะและการจัดการภัยพิบัติ หมายถึง ความสามารถของระบบ เมือง หรือชุมชน ในการรับมือ ฟื้นฟู และปรับตัวต่อแรงกระแทก (shocks) และแรงกดดันระยะยาว (stresses) ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและมนุษย์ (UN-Habitat, 2020) ความยืดหยุ่นจึงไม่ใช่เพียงการป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติ แต่คือการออกแบบให้ “เมื่อเกิดภัย เมืองยังยืนได้ ฟื้นตัวได้ และเรียนรู้เพื่อเติบโตได้”
ในบริบทของประเทศไทย การสร้างเมืองยืดหยุ่นเป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้ “ฝนสุดขั้ว” กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (World Meteorological Organization [WMO], 2023) ฝนที่ตกในปริมาณสูงในช่วงเวลาสั้น ทำให้ระบบระบายน้ำเดิมของเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตอย่างกว้างขวาง
ความเปราะบางของเมืองใหญ่ในประเทศไทย
- การขยายตัวของเมืองที่ไม่สอดคล้องกับภูมิอากาศ เมืองใหญ่ของไทย เช่น กรุงเทพมหานคร ขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยขาดการวางผังเมืองที่คำนึงถึงระบบนิเวศ เช่น การถมคลอง การสร้างถนนปิดทางน้ำ การลดพื้นที่สีเขียว ส่งผลให้ฝนตกเพียง 60–100 มิลลิเมตรภายในไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดน้ำท่วมทันที (สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร, 2566)
- ความหนาแน่นของประชากรและโครงสร้างพื้นฐาน เมืองมีประชากรอาศัยหนาแน่น โครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบระบายน้ำจึงยาก และต้องใช้เวลา ส่งผลให้เมื่อฝนตกหนัก น้ำท่วมสร้างผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
- ความเหลื่อมล้ำในความสามารถในการรับมือ กลุ่มเปราะบางในเมือง เช่น ชุมชนแออัด แรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ มักอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีระบบป้องกันน้ำท่วม ไม่มีประกันภัยพิบัติ และไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเตือนภัยได้ทันท่วงที ส่งผลให้ได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น (World Bank, 2023)
- ผลกระทบเชื่อมโยง (Cascading Effects) น้ำท่วมในเมืองไม่เพียงทำให้บ้านเรือนเสียหาย แต่ยังทำให้ระบบขนส่งหยุดชะงัก โรงเรียนปิด ธุรกิจหยุดดำเนินงาน โรงพยาบาลมีปัญหาในการให้บริการ เป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ที่ส่งผลต่อความมั่นคงของเมืองโดยรวม
ความจำเป็นของเมืองยืดหยุ่น
1.เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
การลงทุนเชิงป้องกัน เช่น ระบบเตือนภัย โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และระบบจัดการน้ำแบบบูรณาการ มีต้นทุนต่ำกว่าการเยียวยาความเสียหายหลังเกิดภัยหลายเท่า (UN-Habitat, 2020) การศึกษาของธนาคารโลกพบว่า การลงทุน 1 ดอลลาร์ในมาตรการป้องกันภัยพิบัติสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเยียวยาได้ 4-7 ดอลลาร์
2.เพื่อคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง
เมืองยืดหยุ่นคือเมืองที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีระบบอพยพที่เข้าถึงทุกคน มีที่พักพิงที่ปลอดภัย และมีระบบประกันภัยที่ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถฟื้นฟูได้เร็ว ความยืดหยุ่นในมิตินี้หมายถึงการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมที่ทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม
3.เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบเมือง
เมืองคือศูนย์กลางของเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ และการคมนาคม หากเมืองล้ม ระบบสังคมระดับประเทศก็จะสะดุด ดังนั้น เมืองต้อง “ยืนได้” แม้จะเผชิญฝนสุดขั้วหรือภัยพิบัติอื่น ๆ การสร้างความยืดหยุ่นจึงเป็นการลงทุนในความมั่นคงแห่งชาติ
4.เพื่อสร้างเมืองแห่งอนาคตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
เมืองที่ยืดหยุ่นไม่ใช่เมืองที่ต่อสู้กับธรรมชาติ แต่คือเมืองที่ “อยู่ร่วม” และ “เรียนรู้” จากธรรมชาติ เช่น การออกแบบพื้นที่รับน้ำ (retention areas), เมืองฟองน้ำ (sponge city), และระบบนิเวศเมือง (urban ecosystem) ที่ช่วยซับแรงจากภัยพิบัติ
การสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นถือเป็นภารกิจเร่งด่วน เพราะเกี่ยวพันกับหลายมิติในเชิงระบบ เหตุผลแรกคือการลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ การลงทุนเชิงป้องกัน เช่น ระบบเตือนภัย โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการจัดการน้ำแบบบูรณาการ มีต้นทุนต่ำกว่าการเยียวยาหลังภัยพิบัติหลายเท่า (UN-Habitat, 2020) งานศึกษาของธนาคารโลกยังชี้ว่า การลงทุน 1 ดอลลาร์ในมาตรการป้องกันสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 4–7 ดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของการลงทุนในความยืดหยุ่นอย่างชัดเจน
นอกจากมิติทางเศรษฐกิจแล้ว เมืองยืดหยุ่นยังมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านระบบอพยพที่เข้าถึงทุกคน ที่พักพิงปลอดภัย และมาตรการด้านการประกันภัยที่ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็ว มิติทางสังคมนี้คือการสร้างความเป็นธรรมที่ทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม
อีกเหตุผลที่ไม่อาจมองข้ามคือการเสริมความมั่นคงของระบบเมืองโดยรวม เมืองคือหัวใจของเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ และการคมนาคม หากเมืองหยุดชะงัก ระบบสังคมระดับชาติก็สะดุดตามไปด้วย ความยืดหยุ่นของเมืองจึงเท่ากับการลงทุนในความมั่นคงแห่งชาติ ที่ช่วยให้ประเทศยังคงเดินหน้าพัฒนาได้แม้เผชิญภัยพิบัติหรือฝนสุดขั้ว
ท้ายที่สุด เมืองยืดหยุ่นคือการวางรากฐานสู่อนาคตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่การต่อสู้แต่คือการเรียนรู้และปรับตัว เช่น การออกแบบพื้นที่รับน้ำ (retention areas) เมืองฟองน้ำ (sponge city) และระบบนิเวศเมือง (urban ecosystem) แนวทางเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยให้เมืองรอดพ้นจากภัยพิบัติ แต่ยังสามารถเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้อย่างสมดุล
แนวทางการจัดการเชิงปฏิบัติ
แม้ว่านโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติจะเป็นกรอบใหญ่ที่กำหนดทิศทาง แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ การปฏิบัติในภาคสนาม เพราะภัยพิบัติจาก “ฝนสุดขั้ว” มักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน รวดเร็ว และสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างเป็นระบบ เมืองและชุมชนจะไม่สามารถลดความสูญเสียได้อย่างทันท่วงที
ดังนั้นการจัดการเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายจึงเป็นหัวใจสำคัญ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย ซึ่งแต่ละระยะจะมีมาตรการที่แตกต่างกัน เพื่อให้เมืองและชุมชนสามารถรับมือ ฟื้นฟู และปรับตัวได้อย่างยั่งยืน
ระยะเวลา | แนวทางปฏิบัติหลัก | รายละเอียดย่อย |
ก่อนเกิดภัย(Preparedness) | การเตรียมพร้อมและ ลดความเสี่ยง |
– จัดทำแผนที่เสี่ยงภัยและระบบเตือนภัยชุมชน – ฝึกซ้อมอพยพและกำหนดจุดปลอดภัย – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น สวนซับน้ำ แก้มลิง – จัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัคร/เยาวชน “ผู้เฝ้าฝน” |
ระหว่างเกิดภัย (Response) | การตอบสนองฉุกเฉิน | – ใช้ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ (SMS, แอป, โซเชียลมีเดีย) – เปิดศูนย์พักพิงปลอดภัยชั่วคราว – ใช้โดรน/เซนเซอร์ IoT ติดตามสถานการณ์น้ำ – ทีมกู้ภัยเคลื่อนที่เร็วดูแลกลุ่มเปราะบาง |
หลังเกิดภัย (Recovery & Adaptation) | การฟื้นฟูและการปรับตัว | – เก็บข้อมูล Big Data วิเคราะห์และวางแผนระยะยาว – ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น กองทุนหมุนเวียน – ซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานแบบยืดหยุ่น – จัดเวทีเรียนรู้หลังภัยพิบัติ (Post-Disaster Learning) |
ข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการสร้างเมืองยืดหยุ่น
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure)
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับเมืองไทย แนวทางนี้ต้องการการปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม (Grey Infrastructure) ไปสู่การใช้ระบบธรรมชาติร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวแห่งชาติ โดยมีงบประมาณเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทในระยะ 5 ปีแรก เพื่อสนับสนุนการสร้างสวนซับน้ำฝน พื้นที่ชุ่มน้ำเทียม หลังคาเขียว และระบบกรองน้ำธรรมชาติ นโยบายนี้จำเป็นต้องมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การจัดทำข้อบังคับการก่อสร้างที่กำหนดให้อาคารใหม่ต้องมีพื้นที่เขียวอย่างน้อย 30% ของพื้นที่ก่อสร้าง พร้อมกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้พัฒนาที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” ที่ทำหน้าที่วิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศไทย การถ่ายทอดความรู้แก่หน่วยงานท้องถิ่น และการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน
2. ระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบบูรณาการ (Integrated Early Warning System)
การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบบูรณาการเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่สองที่จำเป็นเร่งด่วน ระบบดังกล่าวควรเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีการจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการเตือนภัยแห่งชาติ” ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และเชื่อมโยงกับระบบเตือนภัยในระดับจังหวัด อำเภอ และชุมชน ระบบนี้ต้องสามารถให้ข้อมูลเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างน้อย 6-12 ชั่วโมงสำหรับน้ำท่วมฉับพลัน และ 24-48 ชั่วโมงสำหรับน้ำท่วมขนาดใหญ่
การดำเนินนโยบายนี้ต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซนเซอร์ IoT ที่วัดระดับน้ำและปริมาณฝนแบบเรียลไทม์ ระบบ AI สำหรับการวิเคราะห์และคาดการณ์ และแพลตฟอร์มการสื่อสารที่สามารถส่งข้อมูลไปยังประชาชนผ่านหลายช่องทาง รวมถึง SMS, แอปพลิเคชัน, โซเชียลมีเดีย, วิทยุ, และโทรทัศน์ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาแอปพลิเคชัน “Thai Disaster Alert” ที่ประชาชนสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี มีระบบแปลเป็นภาษาต่างๆ สำหรับแรงงานต่างด้าว และมีฟีเจอร์การแจ้งเตือนเฉพาะพื้นที่ตามตำแหน่ง GPS ของผู้ใช้
การสร้างเครือข่ายอาสาสมัครเตือนภัยระดับชุมชนเป็นส่วนสำคัญของระบบนี้ โดยการฝึกอบรม “อาสาสมัครเฝ้าระวังภัย” จำนวน 100,000 คนทั่วประเทศในระยะ 3 ปี พร้อมกับการจัดหาอุปกรณ์สื่อสารและเครื่องมือวัดพื้นฐานให้แก่อาสาสมัครเหล่านี้
นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกอบรมการจัดการภัยพิบัติ” ในแต่ละภาคเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
3.กองทุนภัยพิบัติท้องถิ่น (Local Disaster Fund)
ถือเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับเมืองและชุมชนไทยในยุค “ฝนสุดขั้ว” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระจายอำนาจการเงินให้ท้องถิ่นสามารถจัดการภัยพิบัติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการสนับสนุนจากส่วนกลาง กองทุนนี้ควรมีกฎหมายรองรับชัดเจน และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรายจ่ายประจำปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 3% พร้อมเงินสมทบจากรัฐบาลกลางในสัดส่วน 1:1 โดยมีเงินทุนตั้งต้นในระดับตำบล 10 ล้านบาท เทศบาล 50 ล้านบาท และจังหวัด 200 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในสามช่วงเวลา ได้แก่ การลงทุนเชิงป้องกันก่อนเกิดภัย (เช่น แก้มลิง ระบบระบายน้ำ) การช่วยเหลือฉุกเฉินระหว่างเกิดภัย (อาหาร ที่พัก ยา ขนส่ง) และการฟื้นฟูหลังภัย (ซ่อมบ้าน ธุรกิจ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ)
นอกจากนี้ เพื่อให้กองทุนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีคณะกรรมการบริหารที่มีส่วนร่วมจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน พร้อมกลไกความโปร่งใส เช่น การรายงานผลทุก 6 เดือน และการเชื่อมโยงกับระบบประกันภัยพิบัติชุมชน
นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนาศักยภาพผ่านการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมบุคลากร การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการพัฒนาฐานข้อมูลกลางเพื่อประเมินผล กองทุนภัยพิบัติท้องถิ่นจึงไม่ใช่เพียงแหล่งเงินทุนฉุกเฉิน แต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยสร้างเมืองและชุมชนที่ยืดหยุ่น ฟื้นตัวได้รวดเร็ว และพร้อมเผชิญภัยพิบัติในอนาคตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเชิงนโยบายทั้งสามข้อที่กล่าวไปข้างต้นนี้จำเป็นต้องมีการสนับสนุนจากกฎหมายที่เข้มแข็ง การจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน ประชาสังคม และประชาชนทั่วไป เพื่อให้การสร้างความยืดหยุ่นให้กับเมืองไทยประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงและยั่งยืน
การเผชิญหน้ากับ “ฝนสุดขั้ว” จึงไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นบททดสอบครั้งสำคัญของการพัฒนาเมืองและสังคมไทยทั้งระบบ ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซากในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมืองและชุมชนของเรายังขาดความยืดหยุ่น ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการบริหารจัดการ และความพร้อมของประชาชนในทุกระดับ การสร้างเมืองยืดหยุ่นจึงไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือ ความจำเป็น ที่ต้องลงมือทำอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
ฝนสุดขั้วอาจเป็นระเบิดเวลาที่กดดันชีวิตเมือง แต่เสียงฟ้าร้องครั้งนี้คือการปลุกให้เราตื่น ลุกขึ้นสร้างเมืองที่ยืดหยุ่น เข้มแข็ง และพร้อมยืนหยัดเหนือทุกสถานการณ์
อ้างอิง:
กรมส่งเสริมการเกษตร. (2565). สถิติความเสียหายพืชผลการเกษตรจากภาวะอุทกภัย ปี 2565. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
กรมอุตุนิยมวิทยา. (2565). รายงานสถานการณ์อุทกภัยภาคเหนือ ประจำปี 2565. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.
กรมอุตุนิยมวิทยา. (2566). รายงานปริมาณฝนและพยากรณ์อากาศรายวัน. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.
กรมอุตุนิยมวิทยา. (2566). รายงานสภาพภูมิอากาศประเทศไทยประจำปี 2566. กรุงเทพฯ: กรมอุตุนิยมวิทยา.
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2565). สถิติการท่องเที่ยวและผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ไตรมาสที่ 4 ปี 2565. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา.
กรุงเทพมหานคร. (2566). รายงานการจัดการภาวะฉุกเฉินจากอุทกภัย เดือนสิงหาคม 2566. สำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร.
เชาวน์วิวัฒน์, ว., ศรินนภากร, ก., & เหมืองทอง, ส. (2564). การศึกษาค่าความเป็นไปได้ของค่าดัชนีฝนสุดขั้วของประเทศไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต. การประชุมวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 26, 26, WRE-17. สืบค้นจาก https://conference.thaince.org/index.php/ncce26/article/view/1011
ไทยพีบีเอส. (2568, 17 กุมภาพันธ์). ไทยหลุดประเทศเสี่ยงสูง “อากาศสุดขั้ว” จาก 9 เป็น 30. สืบค้นจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/349376
สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร. (2566). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมประจำปี 2566. กรุงเทพมหานคร.
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2568). ประกาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2568 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมขัง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม. สำนักนายกรัฐมนตรี.
Intergovernmental Panel on Climate Change. (2021). Climate change 2021: The physical science basis. Cambridge University Press.
United Nations Human Settlements Programme. (2020). The value of sustainable urbanization. World Cities Report 2020. UN-Habitat.
World Bank. (2023). Enhancing water security: A priority for Thailand to build climate resilience. Retrieved from https://blogs.worldbank.org/en/eastasiapacific/enhancing-water-security-measures-priority-thailand-build-climate-resilience
World Bank. (2023). Thailand climate risk country profile. World Bank Group.
World Meteorological Organization. (2023). State of the climate in Asia 2022 (WMO-No. 1349). Geneva: WMO.
World Meteorological Organization. (2023). State of the global climate 2023: Extreme weather in Southeast Asia. WMO Publication.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: