ชัดเจนแล้วว่าทั่วโลก ไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับปี 1850 หรือยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรม ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ผลที่ตามมาคือ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นในหลายทวีปทั่วโลก
“Thai PBS Policy watch” ประเมินสถานการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก กับ“พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช “อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมโลกร้อน บอกว่า ต้องยอมรับข้อเท็จจริง จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น)รายงานสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปว่า มีแนวโน้มความรุนแรงที่มากยิ่งขึ้น ตามทิศทางของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังสูงขึ้นไม่สามารถที่จะลดลงได้รวดเร็ว
ในปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C ซึ่งเกินกว่าข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายหลัก คือการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2°C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม หรือ พยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5°C.
แต่วันนี้โลกเข้าสู่ภาวะโลกเดือด ตามที่ “อันโตนิโอ กูเตอร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศว่า เราเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) แทน “โลกร้อน” (Global Warming) ซึ่งหมายความโลกด่านจุดพลิกผัน หรือ tipping point เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ อุณหภูมิโลกมันเริ่มเกินแล้ว พอมันเกินไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการเกินแบบต่อเนื่อง มันก็จะหยุดยั้งไม่ได้ พอหยุดยั้งไม่ได้ เพื่อกระตุ้นการดําเนินการ และความพยายามของทุกประเทศทั่วโลก ว่าตอนนี้โลกเดือด ถ้าคุณไม่เร่งในการทำงานในทุกรูปแบบ คุณอาจจะไม่สามารถที่จะปกป้องโลกนี้ได้นะครับ แล้วการดํารงอยู่ของมนุษย์ก็อาจจะมีปัญหาในอนาคต”
“ร้อนขึ้น 1องศา” ฝนเปลี่ยน -น้ำท่วมฉับพลัน
อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น เริ่มส่งผลกระทบแล้ว โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล โดย “พิรุณ” บอกว่า ถ้าเทียบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกับเมื่อ 40 ปีที่แล้วเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมาพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 2 เท่า
หากทุกประเทศยังไม่ลดก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายข้อตกลงของ Nationally Determined Contribution หรือ NDC จึงมีแนวโน้มกว่า 90% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นไป 3.6° C ภาย ในปี 2100
หากอุณหภูมิ 3.6° C ผลกระทบที่ติดตามมาคือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการละลายของน้ำแข็ง โดยอาจจะเพิ่มขึ้น 1 เมตร หรือ 2.5 เมตร ซึ่งหมายถึง ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยอาจจะสูงขึ้น 2.5 เมตร ส่งผลให้น้ำท่วม โดยรอบของอ่าวไทยรอบนอกตัว ก . กว่า 8 จังหวัด โดยระดับน้ำอาจจะท่วมถึง จ.อยุธยา
ในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเริ่มส่งผลกระทบเกิดขึ้นในไทยแล้ว โดยเฉพาะรูปแบบการตกของ“ฝน”เปลี่ยนไปมีลักษณะการตกแบบกระจุกตัว รวดเร็ว หรือที่เรียกว่า Rain Bomb จนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม จนทำให้มีหมู่บ้านที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาดินสไลด์มากขึ้น
เผชิญภาวะอากาศสุดขั้ว ต้องบริหารความเสี่ยง
โลกร้อนไม่เพียงทำให้ รูปแบบของฝนเปลี่ยนไป แต่ยังทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Extreme Climate Event” หรือ ภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว ที่เริ่มส่งผลกระทบเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ที่พบว่ามีความรุนแรงมากขึ้น มีระยะเวลานานขึ้น และมีความถี่มากขึ้น
“ ไทยบางพื้นที่เคยหนาวมาก ตอนนี้ไม่หนาว หรือ บางพื้นที่อากาศร้อนมาก ขณะที่ฝนตกในปริมาณมาก แต่ทีเคยตกเหนือเขื่อน ไปตกบริเวณใต้เขื่อน ทำให้การบริหารจัดการน้ำ ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น”
ภาวะอากาศสุดขั้ว ที่มีภัยพิบัติ น้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้การบริหาจัดการในอนาคต ต้องมีรูปแบบของข้อมูลและการคาดการณ์ที่แม่นยำ เพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ที่ผ่านมาไทยสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น “พิรุณ” บอกว่า จะเห็นได้จากองค์กร”เยอรมันวอช” (German watch) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร ปรับระดับความเสี่ยงของไทยจากปีจัดอันดับประเทศเสี่ยงต่อภัยพิบัติจากเดิมในปี 2019 ไทยอยู่อันดับที่ 34 ลดลงในปี 2022 ลงไปอยู่อันดับที่ 72 ซึ่งถือว่าแนวทางการดำเนินการของไทย อยู่ในทิศทางการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบได้ดีขึ้น
ทั่วโลก “ล้มเหลว”ลดปล่อยคาร์บอนไม่ได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่อุณหภูมิโลกทะลุ 1.5°C แต่การลดก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีสของประเทศทั่วโลกยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย โดยเป้าหมายในปี 2030 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40 % แต่ประเทศทั่วโลกสามารถลดลงได้เพียงแค่ 10 % ซึ่งห่างไกลเป้าหมายที่กำหนดไว้
“ตัวเลขภาพรวมการลดก๊าซเรือนกระจกของทั่วโลกลดลง แต่มันต้องลดลงมากกว่านั้นประมาณ 30-40 % แต่มันยังไปไม่ถึง ถ้าถามว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายหรือยัง ต้องบอกว่ายังต้องลดลงไปมาก ยังต้องทำกันอีกมาก เพราะประเทศทั่วโลกรวมกันปล่อย 55 กิกะตัน (Gigaton) ก็คือ 55,000ล้านตันต่อปี โอ้โห นี่มันมันเยอะมาก”
“พิรุณ” บอกว่า ที่ผ่านมา 197 ประเทศทั่วโลกช่วยกันลดก๊าซเรือนกระจกลง ให้ได้ 30-40 % แต่สามารถลดลงได้น้อยมาก จาก 55 กิกะตัน เหลือ 53 กิกะตัน ทําให้ทุกประเทศยังต้องพยายามในการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากขึ้นก่อนที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
ปี 65 ไทย”ลดคาร์บอน”ได้ทะลุเป้าหมาย
กลับมาสู่ประเทศไทยในปี 2565 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 385 ล้านตันคาร์บอนแบ่งเป็นภาคพลังงานมากสุดประมาณ 65% หรือประมาณ 254 ล้านตัน , ภาคเกษตร 17 % หรือประมาณ 69 ล้านตัน ,ภาคอุตสาหกรรม 10.50 % หรือ 40 ล้านตัน ,ภาคของเสีย 5.75 % หรือ 22 ล้านตัน
แต่ไทยมีภาคป่าไม้ในการดูดกลับคาร์บอนจำนวน 107 ล้านตันคาร์บอน ทำให้ยอดรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาพรวมทั้งประเทศเหลือเพียง 250 ล้านตันคาร์บอน
อย่างไรก็ตามเพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามเป้าหมายที่ประกาศในเวทีโลก โดยในปี 2030 หรือ ปี 2573 ต้องลด 30 – 40% ไทยมีแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกปี 2566-2580 โดยมีทั้งหมด 26 มาตรการในช่วงแรก โฟกัสการลดก๊าซเรือนกระจกใน ภาคพลังงาน และภาคขนส่ง
ผลจากการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย ในปี 2565 ลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 65 ล้านตันคาร์บอน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 60 ล้านตัน
สาขาที่ลดก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุดคือ สาขาพลังงานที่หันไปใช้พลังงานทดแทนได้มากขึ้นทำให้ลดได้มากถึง 54.6 %กว่าล้านตัน ส่วนรองลงมาคือภาคขนส่งลดได้น้อยกว่าประมาณ 8-9 แสนตันคาร์บอน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้มีแผนการใช้รถ Ev และการขนส่งทางรางยังไม่เต็มระบบ
กล่าวโดยสรุปภาพที่ใหญ่ในการลดก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นภาคพลังงาน ซึ่งแผนดำเนินการที่ผ่านมาไทยมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลด
ขณะที่การใช้พลังงานจากถ่านหิน แม้จะยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีการอนุมัติโรงงานที่ใช้ถ่านหินใหม่อีกต่อไป โดยโรงงานถ่านหินเดิมอนุญาตให้ใช้จนหมดใบอนุญาติ และจะไม่มีการต้อใบอนุญาตอีกต่อไป
“โรงงานถ่านหินเดิมที่มีอยู่ เรายังให้ใช้จนหมดอายุการใช้งาน เพราะต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้ราคาไฟฟ้าจากถ่านหิน ยังถูกกว่าไฟฟ้าแก๊ส และไฟฟ้าที่เป็นพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือก แต่ภายในปี 2050 ซึ่งเราตั้งความเป็นกลางทางคาร์บอน มันจะไม่มีการเพิ่มโรงงานถ่านหิน แต่จะหมดไปตามอายุการใช้งานแล้วมันมีแต่ทยอยลดถ่านหินลงไปตามอายุการใช้งาน แล้วก็เลิกไปในที่สุด”
ยกระดับแผนลดก๊าซเรือนกระจกไปให้ถึงเป้า 2030
หลังดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกตามแผน 26 มาตรการ ไทยได้ยกระดับแผนปฏิบัติการเพิ่มความเข้มขนในการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยแผนดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ในเดือน 11 ธันวาคม 2567
แผนการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ Thailand NDC Action Plan 2030 โดยจะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40 % ตามที่ประกาศในเวทีโลก
สำหรับแผนปฏิบัติการลดก๊าศเรือนกระจกจะแบ่งเป็นการดำเนินการในประเทศ 30 % รวม 184.8 หรือ 33.3 % ประกอบด้วย
- ภาคพลังงาน 124.6 ล้านตันคาร์บอน หรือ 22.5 %
- คมนาคมขนส่ง 45.6 ล้านตันคาร์บอน 8.2 %
- การจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม 9.1 ล้านตันคาร์บอน 1.6 %
- ภาคเกษตร 4.1 ล้านตันคาร์บอน 0.7 %
ส่วนสนับสนุนจากต่างประเทศอีก 10 % ประกอบด้วย
- พลังงาน 3.2 ล้านตันคาร์บอน 5.8 %
- คมนาคมขนส่ง 2.5 ล้านตันคาร์บอน 0.4 %
- กระบวนการทางอุตสาหกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์ 1.1 ล้านตันคาร์บอน 0.02 %
- ภาคเกษตร 1.1 ล้านตันคาร์บอน 0.2 %
รวมการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 จำนวน 222.3 ล้านตันคาร์บอน หริอ 40 %
ปรับแผนใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2030 “พิรุณ”บอกว่า ยังต้องลดก๊าซในภาคพลังงานจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นในแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ โดยกรมโลกร้อนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภาคพลังงาน โดยกระทรวงพลังงานต้องนำแผนดังกล่าฯไปจัดทำแผนจัดหาพลังงานซึ่งต้องมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก
“มาตรการที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. ที่เป็นแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก เราก็จะมีมาตรการใหม่ ๆ เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้า แบบระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ หรือ BESS (Battery Energy Storage System) หรือภาคเกษตรต้องปรับวิธีการทำนา แบบเปียกสลับแห้งที่สามารถลดการปล่อยมีเทนได้ หรือการจัดการมูลสัตว์ที่ดีขึ้น”
ส่วนเรื่องการคมนาคมขนส่ง จะมีการขยายระบบเครือข่ายของขนส่งทางรางเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของการขนส่งทางรถที่ใช้น้ำมันน้อยลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีแผนในการเข้าไปสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน หรือการใช้นวัตกรรมในการผลิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น เช่นการปรับปรุงกระบวนการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์
“ เราทำงานร่วมกับสมาคมคอนกรีต เพื่อพัฒนาซีเมนต์ลดโลกร้อน โดยการเอาวัสดุทดแทนการเผาตัวหินปูนมาใช้ แต่ขณะนี้ยังมีต้นทุนที่สูง ซึ่งต้องหาแหล่งทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อให้อุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้”
คาดปี 2030 ไทยลดคาร์บอนได้ตามเป้าหมาย
การดำเนินการเรือนกระจกตามแผนปฏิบัติของไทย “พิรุณ” เชื่อว่า สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งผลการดำเนินงานต้องส่งรายงานผลการดำเนินไปยังสหประชาชาติเพื่อให้มีการตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง
“ เราต้องส่งรายงานให้ยูเอ็น ทุก2 ปีว่าดำเนินการอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นทุกอย่างเนี่ยมันจะมีขั้นมีตอนมีข้อมูลที่ชัดเจนที่ตรวจสอบ เปิดเผยให้กับทุกภาคส่วนได้เห็นขณะเดียวกัน กรมโลกร้อนได้จัดทำข้อมูลนี้เป็นฉบับประชาชนเพื่อให้ประชาชนรับรู้ได้”
ทั้งนี้การดำเนินการเผื่อลดก๊าซเรือนกระจกจะบรรลุเป้าหมายได้ ต้องมี พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็น และเตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณา คาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในปี 2569
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง