การบริหารการลงทุนกองทุนประกันสังคม เป็นความท้าทายสำหรับกระทรวงแรงงาน เนื่องจากมีรายจ่ายที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิของผู้ประกันตน ทั้งมาตรา 33-39 และ 40 และรายจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้ประกันตนที่เกษียณอายุ ในแต่ละปีกว่าแสนล้านบาท
กระทรวงแรงงานกำหนดเป้าหมาย การบริหารกองทุนประกันสังคม โดยตั้งเป้าให้มีผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี ภายใต้กรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนและสร้างความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงและต้องมีความมั่นคง ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่สวนทางกันในโลกการลงทุน
สำนักงานประกันสังคม กำหนดเป้าหมายและจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนกองทุนประกันสังคม ฉบับที่ 5 (ระยะที่ 1 : ปี 2567–2570) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2567 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์นี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต
ปี 67 มีผลตอบแทน 71,960 ล้านบาท
ล่าสุด สำนักงานประกันสังคม รายงานผลการดำเนินงานการบริหารการลงทุนในปี 2567 มีมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 2,657,245 ล้านบาท แบ่งออกเป็น เงินสมทบจำนวน 1,666,556 ล้านบาท และผลตอบแทนสะสมจากการลงทุนจำนวน 990,689 ล้านบาท
หากจำแนกเป็นประเภทหลักทรัพย์ แบ่งออกเป็น
- การลงทุนในหลักทรัพย์เสี่ยง 28.42% เป็นเงินจำนวน 755,179 ล้านบาท
- การลงทุนในหลักทรัพย์มั่นคงสูง 71.58% เป็นเงินจำนวน 1,902,066 ล้านบาท
หากแบ่งตามแหล่งการลงทุน แบ่งเป็นการลงทุนในประเทศมีสัดส่วน 67.74% จำนวน 1,800,064 ล้านบาท และการลงทุนในต่างประเทศ 32.26% จำนวน 857,181 ล้านบาท
ในปี 2567 กองทุนประกันสังคมมีผลตอบแทนจากการลงทุนรวมทั้งสิ้น 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนจำนวน 29,186 ล้านบาท
- ตราสารหนี้จำนวน 42,774 ล้านบาท
เงินสมทบเดือนละ 1.9 หมื่นล้าน จ่ายออก 1.17 หมื่นล้าน
ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม ยังคงสามารถจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนได้มากกว่าเงินที่จ่ายออกไป โดยในเดือน พ.ย. 2567 กองทุนประกันสังคมสามารถจัดเก็บเงินสมทบได้ 19,453 ล้านบาท ลดลงจากเดือน ต.ค. 234.72 ล้านบาท ในขณะที่ได้จ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนไปแล้วทุกรวม 11,791 ล้านบาท แบ่งเป็น มาตรา 33 และมาตรา 39 จำนวน 11,619 ล้านบาท และมาตรา 40 จำนวน 100 ล้านบาท
หากย้อนกลับไปดูการเก็บเงินสมทบและการจ่ายผลประโยชน์ ตั้งแต่เริ่มจัดเก็บในอัตราปกติ หลังจากโควิด-19 จะเห็นได้ว่ามีการจัดเก็บประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ ราว 240,000 ล้านบาท และจ่ายออกประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 130,000 ล้านบาท
เงินหมุนจากสมาชิก ผลตอบแทนเริ่มเสี่ยง
หากดูจากการจัดเก็บเงินสมทบและการจ่ายสิทธิประโยชน์ จะเห็นได้ว่าหากกองทุนประกันสังคม ยังรักษาส่วนต่างระหว่างยอดจัดเก็บเงินสมทบ และรายจ่ายสิทธิประโยชน์ได้ต่อเนื่องทุกเดือน ก็คงไม่มีปัญหาใน “ระยะสั้น”
แต่หากรายจ่ายเริ่มมีมากขึ้นและจัดเก็บเงินสมทบได้น้อยลงเรื่อย ๆ กองทุนประกันสังคมก็จำเป็นจะต้องหาแหล่งรายได้ทางอื่นเข้ามาเติมกองทุนให้ทัน ก่อนจะกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของผู้ประกันตน ทั้งสมาชิกที่อยู่ระหว่างการส่งเงินและผู้เกษียณอายุที่รับเงินบำนาญ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากผลตอบแทนในปี 2567 รวม 71,960 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับรายจ่ายปีละกว่า 130,000 ล้านบาท เท่ากับว่าผลตอบแทนการลงทุนของเงินสมาชิก “ติดลบ” เมื่อเทียบกับรายจ่ายแต่ละปี
กองทุนประกันสังคม จะเผชิญกับความเสี่ยงอย่างแท้จริง หากรายได้ของสมาชิกได้รับผลกระทบ ทั้งจาก “การว่างงาน” และ จำนวนผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ “ลดลง”อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่กองทุนมีภาระต้องจ่ายเงิน “บำนาญ” มากขึ้นจากสังคมสูงอายุขั้นสุดยอด
ทั้งนี้ คาดหมายว่าไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มตัวแล้ว และกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขี้นสุดยอดในระยะต่อไป หรือ มีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ และมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้น มากกว่า 20% ประชากรทั้งประเทศ
ในขณะที่เด็กเกิดใหม่ในไทยมีจำนวนที่ลดลงต่อเนื่องทุกปี และเมื่อเด็หกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบแรงงานในประเทศ ก็คงพออาจะจะอนุมานได้ว่าในอนาคตผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมของไทยนับจากนี้ไปก็จะมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ตามจำนวนแรงงานที่น้อยลง และเมื่อแรงงานไทยน้อยลงก็จะทำให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้น้อยลงตามไปได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากสำหรับกองทุนประกันสังคมที่กำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ และจะทำอย่างไรให้กองทุนฯ ที่มีสมาชิกกว่า 24 ล้านคนให้มีความมั่นคงและเป็นที่พึ่งพาได้
เนื่อหาที่เกี่ยวข้อง:
กองทุนประกันสังคม: ถึงเวลาปรับใหญ่ก่อนเผชิญวิกฤต