ความเคลื่อนไหวล่าสุด
24 ก.ค. 68 มารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า กองทุนประกันสังคมยังมีเสถียรภาพที่มั่นคงถึงแม้ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ แต่กองทุนประกันสังคม ยังเป็นกองทุนที่มีเสถียรภาพด้วย 3 เหตุผล คือ 1. มีเงินสำรอง ณ ปัจจุบันอยู่ 2.76 ล้านล้านบาท 2. เป็นกองทุนที่มีรายรับมากกว่ารายจ่าย ใน 1 ปี มีการเก็บเงินสมทบจาก 3 ฝ่าย ประมาณ 235,059 ล้านบาท จ่ายสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ประมาณ 141,588 ล้านบาท คิดเป็น 60.2% 3.วินัยทางการเงิน กรอบที่สำนักงานประกันสังคม สามารถใช้บริหารได้ตามกฎหมายคือ 10% แต่ใช้เพียง 2.3 % หรือประมาณ 5,288 ล้านบาท โดย 3,419 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของพนักงานประกันสังคมประมาณ 4,699 คน รวมถึงค่าใช้สอยของสำนักงาน มีประมาณ 1,869 ล้านบาท ที่ใช้เป็นงบในยุทธศาสตร์
ส่วนที่คาดการว่าสถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้นในอีก 10 ปี คือ ในปี 2579 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มีผู้สูงวัยที่ไม่อยู่ในวัยทำงานคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากร เงินสมทบที่จัดเก็บได้จะเท่ากับรายจ่าย แต่ขณะนั้นกองทุนประกันสังคมจะมีเงินสำรองอยู่ประมาณ 5.512 ล้านล้านบาทจะสามารถยืดอายุกองทุนและสามารถดูแลสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนต่อไปได้ไม่น้อยกว่า 30 ปี ถึงแม้ว่าการจ่ายสิทธิประโยชน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง แต่สถานะกองทุนในปัจจุบันยังคงมีเสถียรภาพ
เมื่อวิเคราะห์ความท้าทายของกองทุนประกันสังคมมีอะไรบ้าง 1. กองทุนประกันสังคมเงินอาจหมดเร็วกว่า 30 ปี หากเกิดเหตุการณ์แบบ Covid อีก เพราะใน 2 ปี ได้ลดเงินสมทบลงเป็นมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท จ่ายค่าว่างงาน 75,000 ล้านบาท และจ่ายค่าดูแลรักษาผู้ประกันตนที่เป็น Covid เกือบ 4 ล้านคน เป็นเงิน 12,000 ล้านบาท รวมเงินที่จ่ายไปเกือบ 300,000 ล้านบาท 2. การเข้าสู่สังคมสูงวัย ค่าเฉลี่ยอายุของคนไทยคือ 79 ปี ดังนั้นต้องจ่ายเงินบำนาญชราภาพ 25 ปี ถ้าผู้ประกันตนส่งเงินสมทบมา 5% ระยะเวลา 25 ปี เท่ากันแต่ต้องจ่ายบำนาญ 35% ลองคิดดูว่ากองทุนประกันสังคมจะอยู่ได้อย่างไร 3.ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกับกองทุนหลักด้านสุขภาพของประเทศไทย ต้องเน้นการป้องกัน การรักษาสุขภาพของคนไทยมากกว่าการจ่ายเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น 2 ครั้ง ในปี 2567 และได้แนวทางที่สามารถทำได้ในการปฏิบัติและแนวทางที่ยอมรับได้ในไตรภาคี หลังการประชุมได้ตั้งหมุดหมายไว้ 3 ข้อ
1. มีสิทธิประโยชน์ที่คลอบคลุมหรือยังเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
2. จะพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้เหมาะสม เพียงพอต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
- การปรับเพดานค่าจ้าง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ เช่น กรณีว่างงาน
- การปรับสูตรบำนาญ เดิมใช้สูตร 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งไม่สะท้อนเงินสมทบตลอดการทำงานของผู้ประกันตน จึงเป็นที่มาของการปรับสูตรบำนาญ และเป็นแก่นที่ผู้ประกันตนยังไม่ได้รับทราบจริงๆ คือการ revalue ที่จะแสดงให้เห็นว่าเงินวันนี้กับเงินเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีมูลค่าไม่เท่ากัน จำเป็นต้อง revalue มูลค่าเงิน เป็นแก่นที่จะทำให้สิทธิประโยชน์เพียงพอต่อสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ทำอย่างไรให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืนในระยะยาว
- ปรับตัวเองโดยการตั้งเป้าเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุน
- ศึกษาเรื่องการขยายอายุบำนาญออกไป จากข้อมูลกลุ่มแรงงานที่มี high skill ส่วนใหญ่จะเกษียณอายุการทำงานในช่วงอายุใกล้ 60 ปี ต่างกับกลุ่มที่เน้นใช้แรงงานเป็นหลักที่เกษียณตอนอายุ 55 ปี จึงนำข้อมูลมาศึกษาต่อไปว่าจะขยายอายุเกษียณอย่างไร
- ขยายกลุ่มความคุ้มครองเพื่อเพิ่มรายรับใน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเพาะปลูก กลุ่มทำงานที่บ้าน และหาบเร่แผงลอย เมื่อมองข้อมูลเชิงลึก แรงงานส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ อาจจะมีรายรับจากแรงงานต่างชาติตรงนี้ประมาณ 2 ล้านคน
- ความยุติธรรมของเงินสมทบทั้ง 3 ฝ่าย ที่จะต้องสมทบเท่ากันที่ฝ่ายละ 5%
ทั้งนี้จากนโยบายดังกล่าวทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถยืดอายุจาก 30 ปีที่กล่าวในตอนต้น เป็น 55 ปี
ประกันสังคม เป็นการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มสมาชิกเพื่อรับผิดชอบการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยมีคุณลักษณะ ดังนี้
- 1. เฉลี่ยทุกข์-เฉลี่ยสุข ซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก
- 2. เงินสมทบที่เก็บไปจะสะสมเป็นกองทุน ให้สิทธิพิเศษเฉพาะผู้ส่งเงินสมทบ (ผู้ประกันตน) เท่านั้น
- 3. การเก็บเงินสมทบถือเป็นภาษีพิเศษ เก็บจากบุคคลที่กำหมายกำหนดเท่านั้น
มีเป้าหมายหลักที่จะทำให้ประกันสังคมสามารถครอบคลุมทุกตัวบุคคลของประชาชนในชาติ (Universal Coverage) ได้ในอนาคต
ประเทศไทยดำเนินการระบบประกันสังคมออกเป็น 2 กองทุน ได้แก่
1. กองทุนประกันสังคม
เป็นกองทุนที่ให้หลักประกันแก่ผู้ประกันตนให้ได้รับประโยชน์ทดแทน เมื่อต้องประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย ซึ่งไม่เนื่องจากการทำงาน รวมถึง คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน
โดยมีสิทธิประโยชน์ 7 กรณี (ไม่เนื่องจากการทำงาน) ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ว่างงาน คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
โดยแบ่งผู้ประกันตนออกเป็น 3 มาตรา ได้แก่
1. ผู้ประกันตน (มาตรา 33) ลูกจ้างผู้ซึ่งทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ได้รับความคุ้มครองทั้ง 7 กรณี
2. ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 39) เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จ่ายเงินสมทบก่อนออกจากงานไม่น้อยกว่า 12 เดือน แล้วออกจากงานไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันที่ออกจากงาน และต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมต่อ ได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี (ไม่ได้รับกรณีว่างงาน)
3. ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 40) ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบไม่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 หรือ 39 ได้รับความคุ้มครอง 3 – 5 กรณี ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่จ่าย
2. กองทุนเงินทดแทน
เป็นกองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย ตายหรือสูญหาย อันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โดยไม่คำนึงถึงวัน เวลา และสถานที่ แต่ดูจากสาเหตุ
มีสิทธิประโยชน์ 4 กรณี (เนื่องจากการทำงาน) ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน (รวม 4 กรณี ได้แก่ หยุดงาน สูญเสียสมรรถภาพในการทำงาน ทุพพลภาพ และตายหรือสูญหาย) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพ