“เราไม่ได้เผชิญหน้ากับคนจนเพียง 4 ล้านคนอีกต่อไปแล้ว แต่ขอบเขตของปัญหาได้ขยายตัว อีก 24 ล้านคนกำลังเสี่ยงตกอยู่ในสภาวะยากจน แม้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เข้าถึงงานและหารายได้เลี้ยงชีพ แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินกว่านโยบายที่มีอยู่จะตามทัน หลายคนจึงติดอยู่ใน ‘กับดักความจน’”
อรวรรณ สุขโข ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสารธณะ
ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาความยากจนไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นประเด็นระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจใกล้ตัวกว่าที่คิด และไม่แน่ว่าเราเองก็อาจเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงนี้
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ถอดรหัสความยากจน พร้อมค้นหาเครื่องมือและกลไกการจัดการความเหลื่อมล้ำใน “Policy Forum ครั้งที่ 45 : แก้ให้ได้ ไล่ให้ทัน ‘ความจน’”
คนจนต้องยึดโยงกับพื้นที่เมือง เพื่อความอยู่รอด
“คนจนต้องอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ เพราะอย่างน้อยจะมีงาน หาเงินได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืองานแบบวันต่อวันก็ได้ ซึ่งจะมีงานไม่เคยขาด”
ศรินพร พุ่มมณี บริษัท ปั้นเมือง จำกัด
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มเปราะบางทางสังคมจำนวนมากยังต้องยึดโยงอยู่กับพื้นที่เมืองเพื่อความอยู่รอด โดยข้อมูลจากการสำรวจห้องเช่าในเขตสัมพันธวงศ์ ระหว่างปี 2567-2568 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ย่านเศรษฐกิจเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ซึ่งครอบคลุมทั้งแขวงจักรวรรดิ แขวงสัมพันธวงศ์ และแขวงตลาดน้อย ได้โอบอุ้มคนจนเมืองเอาไว้มากถึง 201 จุด
แม้ขอบเขตพื้นที่และอาคารจะยังคงเดิม แต่แรงงานจำนวนมากยังคงหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแม้สภาพที่อยู่อาศัยจะแออัดและทรุดโทรมก็ตาม เช่น ห้องเช่าเก่าในบ้าน อาคารแถวไม้ สร้างมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 – 6 หรือห้องเช่าขนาด 2×2 เมตรในแขวงตลาดน้อยที่มีผู้อยู่อาศัยในห้องเดียวถึง 4 คน
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วและการลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่ กำลังเบียดขับแรงงานเหล่านี้ทางอ้อม ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาไร้ที่อยู่ ค่าห้องเช่าแพง หรือค่าเดินทางที่ต้องจ่ายเพิ่มจากการถูกผลักให้ไปอยู่ชานเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “กับดัก” ที่ฉุดรั้งไม่ให้พวกเขาก้าวพ้นจากความยากจนได้

ข้อมูลสำรวจห้องเช่าในเขตสัมพันธวงศ์ปี 2567-2568
คนจนไม่ว่าอยู่เมืองใด ก็เผชิญสภาวะเดียวกัน
ภาพที่คุ้นชินของคนจนเมืองอาจอยู่ใน “สลัม” แต่วันนี้แนวคิดนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เพราะพวกเขากระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ของเมือง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ “ชุมชนแออัด” ยังคงเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยราคาถูก ซึ่งเป็นทางเลือกของคนเหล่านี้
“หลังสถานการณ์โควิด มีการสำรวจข้อมูลใน 5 หัวเมืองใหญ่ ได้แก่ อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ปัตตานี และนราธิวาส พบว่าภาพของคนจนในหัวเมืองเหล่านี้ ไม่ได้แตกต่างจากกรณีศึกษาในกรุงเทพฯ คือคนจนยังคงเผชิญกับสภาวะเดียวกัน”
มณีรัตน์ มิตรปราสาท สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
จากการสำรวจครัวเรือนกว่า 1,000 หลังคาเรือน หรือกว่า 3,000 คน โดยกระบวนการที่ให้ชาวบ้านร่วมออกแบบและเก็บข้อมูลเอง พบประมาณ 20% ของกลุ่มตัวอย่างจัดอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยงเปราะบาง” คือมีรายได้น้อยและส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านเช่าหรือบ้านที่บุกรุกที่ดินเอกชน เมื่อตกงานหรือถูกขอพื้นที่คืน พวกเขาจะกลายเป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่ในทันที
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการไร้บ้าน ไม่ได้มาจากแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังมีเงื่อนไขภายในครอบครัวที่ทำให้หลายคนไม่สามารถอยู่ในบ้านได้ เช่น
- การเจ็บป่วย/การถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะ “ผู้สูงอายุ” เพราะเมื่อขาดคนดูแลและรายได้ ก็อาจสูญเสียที่อยู่อาศัย
- ปัญหาสุขภาพจิต อาจเป็นอุปสรรคในการทำงาน ส่งผลให้รายรับน้อยลง หรืออาจขาดรายได้ จนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยได้
- โครงสร้างครอบครัวเปราะบาง เช่น ครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกหลานหลายคน ด้วยรายได้ที่มีจำกัด และสามารถส่งลูกหลานเรียนได้เพียงคนเดียว ทำให้พวกเขาติดอยู่ในวังวนความยากจนที่ยากจะหลุดพ้น และอาจถึงขั้นไม่สามารถแบกรับค่าที่พักได้
- การเข้าไม่ถึงสิทธิ์ การไม่มีบัตรประชาชน ทำให้ขาดสวัสดิการรัฐที่เป็นตาข่ายรองรับเมื่อเกิดวิกฤต ทั้งสุขภาพ อาชีพ หรือการถูกไล่ที่
- การว่างงาน การไร้รายได้โดยตรง ทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ และค่าไฟได้ ซึ่งนำไปสู่การต้องออกจากที่อยู่อาศัย
ขณะเดียวกัน สมพร หารพรหม มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เปิดเผยสถานการณ์ปัจจุบันด้วยว่า แรงงานย้ายถิ่นมีโอกาสสูงถึง 30% ที่จะกลายเป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงสูงอายุ ซึ่งมีโอกาสได้งานน้อยมากไม่ถึง 40% ด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า เมื่อชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน หรือมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบอย่างไม่คาดฝัน กลุ่มเสี่ยงเปราะบางไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองใด ก็อาจตกอยู่ในภาวะความยากจนได้
ความท้าทายของ “คนจนเมือง” ต้องการการบูรณาการทุกมิติ
หากสังเกตเรื่องเล่าของ “คนจนเมือง” ที่วิทยากรหลายคนได้พูดถึง อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า “ความท้าทายในเมือง” แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นคือ
- บ้านส่วนมากมีกรรมสิทธิ์ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเปราะบางส่วนมากเป็น “คนเช่า” เมื่อเจอปัจจัยภายนอกมากระทบ ย่อมกลายเป็นคนยากจนในทันที
- อาชีพของคนจน มักทำอาชีพรับจ้าง ค้าขาย ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป และยังไม่มีสวัสดิการรองรับ หากเจ็บป่วยหรือต้องแบกรับภาระของครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะการเป็นค่าใช้จ่ายราคาแพงที่แบกรับแทบไม่ไหว
นี่สะท้อนให้เห็นว่า ความท้าทายของพวกเขา ไม่ใช่แค่มีต้นทุนชีวิตสูงและมีความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตที่มาก ยังเผชิญกับ “ความยากจนที่มีลักษณะเป็นภาวะ” คือคนที่ไม่เคยจน ก็อาจจนได้อย่างฉับพลัน
โดยสาเหตุของความยากจนฉับพลันมาจาก 1.) ภาวะที่ต้องพึ่งพิง 2.) โครงสร้างงานเปลี่ยน แต่ปรับตัวไม่ได้ 3.) การเข้าไม่ถึงระบบช่วยเหลือ 4.) เข้าไม่ถึงดิจิทัล และ 5.) ไม่มีทุนทางสังคมหรือเครือข่าย
ยิ่งไปกว่านั้นในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “การศึกษา” ที่เคยเป็นใบเบิกทางสำคัญในการขยับฐานะ กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป หลายคนยังไม่สามารถหางานที่เหมาะสม และตรงกับศักยภาพของตัวเองได้ นี่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นปัญหาความยากจนในเมือง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้ ยังมีมิติซับซ้อน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย อาชีพ สวัสดิการ สุขภาพ และการปรับตัวในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ
หน่วยงานรัฐยังติดข้อจำกัดที่ยังต้องเร่งให้ทัน “ความจน”
ข้อมูลทั้งหมดที่ภาคประชาสังคมและนักวิชาการสะท้อนมานั้น แม้จะมีกระทรวงต่าง ๆ ดูแลอยู่แทบจะทุกเรื่อง แต่หลายกระทรวงยอมรับว่า ก็ยังคงต้องเร่งเครื่องตาม “ความยากจน” ให้ทัน
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดูแลความเปราะบางทางสังคม ผ่านสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เบี้ยคนพิการ และเบี้ยผู้สูงอายุ แม้จะตระหนักว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ แต่ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ จึงไม่สามารถปรับเพิ่มวงเงินและทำให้เป็นสวัสดิการถ้วนหน้าได้
พม.จึงหันมาเน้นการส่งเสริมอาชีพ และสร้างระบบเคสเมเนเจอร์ (Case Manager) ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับคนรายได้น้อย ที่จะคอยให้คำปรึกษาและประสานงานแก้ปัญหาที่ซับซ้อน โดยปีที่ผ่านมา มีคนโทรเข้ามาขอความช่วยเหลือกว่า 70,000 กรณี
โดยปัญหาหลัก ๆ คือเรื่อง “ที่อยู่อาศัย” ซึ่ง พม. มีการเคหะแห่งชาติคอยดูแลเรื่องนี้อยู่ และได้ทำโครงการ “เคหะสุขประชา” ขึ้นมา แต่เรื่องนี้ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้ต้องอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ
“กระทรวงฯ ทำหลายเรื่อง แต่ถ้าจะถามว่าไล่ทันความจนไหม อาจยังไม่ทัน เพราะทั้งหมดนี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องเร่งแก้ไข”
สุนีย์ ศรีสง่าตระกูลเลิศ รองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) อีกหน่วยงานที่ทำงานกับ “ชุมชน” โดยเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและขีดความสามารถของพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด และเข้าใจปัญหา ความต้องการของคนในพื้นที่ได้ดีที่สุด จึงสนับสนุนชุมชนใน 2 เรื่องสำคัญ
- การสำรวจข้อมูลเมือง : สนับสนุนให้คนในชุมชนสำรวจข้อมูลปัญหาในพื้นที่ของตัวเอง เพื่อให้เจ้าของปัญหาเห็นข้อมูลและนำไปแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง
- สร้างการมีส่วนร่วม : ผ่านแคมเปญการออมของชุมชน ที่ทำให้คนในพื้นที่ได้มาเจอกันและสามารถปรึกษากันได้ว่าแต่ละคนแก้หนี้สินกันอย่างไร และหากประสบวิกฤติทางการเงินแล้วแต่ละคนแก้กันอย่างไร ซึ่งจะเป็นพลังจากข้างใน
“ไม่ว่าจะยากจนหรือเป็นคนเล็กคนน้อย หากพวกเขารวมกลุ่มกันได้ ก็จะเกิดการยอมรับภาคประชาชนมากขึ้น การสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐก็จะไปที่ประชาชนมากขึ้น เป็นโอกาสให้พวกเขาได้ทดลอง ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ”
เฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
นอกจากนี้ “โครงการบ้านมั่นคง” ของ พอช. ยังได้ขยายขอบเขตการทำงานจากเดิมที่เน้น “ชุมชนแออัด” ไปสู่ “พื้นที่นอกชุมชนแออัด” โดยมีเมนูใหม่คือ “บ้านเช่าราคาถูก” ซึ่งไม่ใช่แค่การทำให้คนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น แต่ยังเป็นกระบวนการที่สร้างคุณภาพชีวิตครอบครัวให้ดีขึ้น
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประสบความสำเร็จในการ “ปลดล็อกค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ” ให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ แต่ก็ยังมี “ช่องว่าง” ในการส่งต่อผู้ป่วย และการให้บริการที่ทำให้ประชาชนหลายคนยังต้องไปต่อคิวแต่เช้ามืด รวมถึงการเข้าถึงการรักษาของ “คนไทยไร้สิทธิ์”
“เราเชื่อว่าการขับเคลื่อนระบบหลักประกันมาจากหัวใจและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน หน่วยบริการ ผู้ให้บริการ นี่คือการทำงานและสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกัน เพียงแต่วันนี้อาจจะมีข้อจำกัด ที่เราต้องทะลุไปถึงเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจต้องเริ่มทีละเล็กละน้อย จนครอบคลุมมากขึ้น”
รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ปัญหาจาก “กติกาที่ไม่แฟร์” ต้องการกระจายอำนาจถึงระดับเขต-แขวง
ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความยากจน” ของประเทศไทยกำลังอยู่ใน “เกมของทุน” ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างในระบบนี้จะมีผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ปัญหาคือเกมนี้กำลังสร้างผู้แพ้มากเกินไปและพ่ายแพ้ในหลาย ๆ มิติ
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น” โดยเสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.กทม. เพื่อกระจายอำนาจลงไปให้ถึงระดับเขตและแขวง ซึ่งต้องมีตัวแทนที่มาจากประชาชนโดยตรงเข้ามามีส่วนร่วม เพราะบริบทของกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ชุมชนแออัด แต่ยังรวมถึงคนในรั้วบ้าน คอนโดมิเนียม หรือหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งปัจจุบันยากที่จะเข้าถึง
“ที่สำคัญต้อง แก้ที่ ‘กติกา’ ไม่ใช่แค่ ‘รายบุคคล’ เพราะแก้ปัญหารายคนคงไม่ไหว ต้องหันมาพิจารณาว่ากติกาใดบ้างที่สร้างผู้แพ้มากเกินไป เช่น เรื่องที่ดินในกรุงเทพฯที่มีอีกจำนวนมาก ทั้งใต้ทางด่วน, ที่รถไฟ หรือ ที่ธนารักษ์ แต่ กทม.กลับไม่ได้เป็นเจ้าของ หากสามารถมีแผนที่ชัดเจน สร้างการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น และนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้แก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ ความยากจะถูกแก้ไขได้อย่างแท้จริง”
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
เสนอทางไปต่อ ไล่ให้ทัน “ความจน”
การจะไล่ให้ทัน “ความจน” ที่เปลี่ยนแปลงไป วงเสวนามองว่า ก่อนอื่นอาจต้องปรับวิธีคิดและการมองปัญหาให้ชัดขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมและลักษณะของ “คนจน” ได้เปลี่ยนไปแล้ว วิธีการแก้ไขปัญหาจึงต้องปรับตาม
โดยอาจเริ่มต้นที่การ “นิยามกลุ่มเป้าหมายใหม่” ให้ชัดเจนว่าคนจนเมือง รวมถึงกลุ่มเสี่ยงเปราะบางคือใครบ้าง เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างตอบโจทย์ ไม่ใช่การแก้ไขแบบเหมารวมที่อาจไม่ได้ผล
นอกจากนี้ควรทำงานเชิงบุคคลไปพร้อมกับโครงสร้าง เพราะคนกลุ่มนี้เปราะบาง เมื่อเผชิญวิกฤตอาจรอไม่ไหว จึงต้องมีแผนรับมือฉุกเฉินทำควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว
อย่างไรก็ตามการทำงานกับความยากจน หัวใจสำคัญคือ “การบูรณาการทุกภาคส่วนในทุกมิติ” ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะปัญหาของคนจนนั้นซับซ้อน
โดย “ชุมชน” คือพลังสำคัญ ถ้าคนในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถรวมตัวกันได้ จะทำให้เป็นที่ยอมรับและหน่วยงานอื่น ๆ สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ไปจนถึงการของบประมาณจากรัฐ ตรงนี้จะสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกัน เกิดระบบทางสังคมที่โอบรับคนทุกกลุ่ม
สุดท้ายนี้วงเสวนาฝากให้ภาครัฐทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์การทำงานเชิงโครงสร้างใน 3 ด้าน ดังนี้
- ด้านที่อยู่อาศัย : ตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันถูกควบคุมโดยภาคเอกชนเป็นหลัก ซึ่งทำให้ภาครัฐยากที่จะแข่งขันในการจัดหาที่ดินหรือสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูกได้ การหาแนวทาง ควบคุมราคาที่อยู่อาศัยไม่ให้เกิดความเฟ้อ และการ จัดผังเมืองให้เป็นธรรมมากขึ้น อาจเป็นทางออกที่ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ “คนซื้อไม่ได้อยู่ คนอยู่ไม่ได้ซื้อ”
- ด้านสุขภาพ : แม้ สปสช.กำลังเดินหน้าเรื่อง “คนไทยไร้สิทธิ์” แต่คนเหล่านี้อาจรอไม่ไหว การทำงาน เชิงรุก ร่วมมือกับภาคเอกชนหรือภาคประชาสังคม เพื่อจัด การตรวจสุขภาพในพื้นที่ ในบริเวณที่พวกเขาอยู่อาศัยหรือทำงาน อาจช่วยให้พวกเขาเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องเสียรายได้จากการหยุดงาน ให้พวกเขาเข้าถึงง่าย โดยไม่ต้องเสียรายได้จากการหยุดงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็น
- ด้านอาชีพ : ควรมีมาตรการที่ช่วยให้คนเข้าถึง งานที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้จริง โดยเฉพาะแรงงานรายวัน ซึ่งการเปิดให้ลงทะเบียนของกระทรวงแรงงานอาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขาเสมอไป จึงควรปิดช่องว่างตรงนี้ด้วยการออกแบบแนวทางที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่ายกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่เราทุกคนต้องร่วมกันทำ เพื่อเปลี่ยน “กติกา” ให้เป็น “ธรรม” สร้างโอกาสให้ทุกคนได้มีอนาคตและคุณภาพชีวิตที่ดี
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
- ‘กระจายอำนาจ’ เปิดโอกาสให้ ‘คนจนเมือง’ มีส่วนร่วมแก้ปัญหาของตนเอง
- ทางออกเชิงนโยบายแก้ปัญหา ‘คนจนเมือง’
- รื้อกับดักความไม่มั่นคงที่อยู่อาศัย ‘คนจนเมือง’
- มองลึกปัญหา “คนจนเมือง” สู่ “นวัตกรรมแก้จน”
- ชวนทุกฝ่ายร่วมลงทุน ระดมทรัพยากร หยุดส่งต่อความจน สู่ คนรุ่นลูก-หลาน
- ส่องสูตรแก้จนด้วยมาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง สานพลังลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความเท่าเทียม