“กุญแจรถอยู่ในบ้าน แต่กุญแจบ้านดันอยู่ในรถ” … สถานการณ์จากเพลงคุ้นหู ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่เรื่องหลงลืมตามวัย แต่ในโลกของความจริง “การลืม” มีเส้นแบ่งบาง ๆ ที่น่ากังวลซ่อนอยู่
หากการลืมนั้นไม่ใช่แค่การลืมของ แต่เป็นการลืมทางกลับบ้าน หรือแม้กระทั่งว่าลืมว่าตัวเองกำลังลืมอะไรอยู่ นี่อาจไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป แต่เป็นสัญญาณของ “ภาวะสมองเสื่อม” หรือ “Dementia” ภัยเงียบที่ไม่ใช่แค่พรากความทรงจำและตัวตนของผู้ป่วย แต่ยังส่งผลกระทบถึงคนในครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระการดูแล ทั้งต้นทุนที่เป็นเงินมหาศาลและสภาพจิตใจ
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ชวนมามองให้ไกลกว่า “อาการป่วย” และค้นหาทางรับมือและป้องกันไปด้วยกันใน “Policy Forum : ภาวะสมองเสื่อม รับมือได้ด้วยนโยบายและชุมชน”

หลงลืมตามวัย หรือสมองเสื่อม ?
การมีอาการ “ช้าลง” หรือ “หลงลืม” บ้างเล็กน้อย อาจเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุทั่วไปที่ยังสามารถประคองการใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่จุดที่น่ากังวลและถือเป็น “รอยต่อ” สำคัญคือ เมื่ออาการลืมนั้นเริ่มก้าวเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “ความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย” หรือ “MCI” ซึ่งผู้สูงอายุจะเริ่มสูญเสียความสามารถบางอย่างไปอย่างชัดเจน แม้จะยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้น แต่ในทางสถิติพบว่ากลุ่ม MCI นี้มีโอกาสพัฒนาไปสู่โรคสมองเสื่อมเต็มตัวได้สูงถึง 10% ต่อปี
เมื่อก้าวข้ามเส้นแบ่งเข้าสู่ “ภาวะสมองเสื่อม” ความรุนแรงจะเริ่มเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ ระยะต้น (MILD) ที่เริ่มกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน ขยับไปสู่ ระยะกลาง (MODERATE) ที่ตัวตนและบุคลิกเดิมเริ่มสูญหายไป และท้ายที่สุดคือ ระยะรุนแรง (SEVERE) ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้อื่น
“การหลงลืมตามวัย ยังสามารถเรียนรู้และมีกลไกเตือนตัวเองได้ เช่น จดบันทึก หรือติดป้ายเตือน แต่หากสมองเสื่อม แม้จะเตือนไปเมื่อครู่ หรือหยิบของมาแล้วก็ยังจำไม่ได้”
ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนของอาการหลงลืมตามวัยและภาวะสมองเสื่อม อย่างไรก็ตามภาวะสมองเสื่อมไม่ได้มีแค่เรื่องความจำ ในทางการแพทย์ยังสามารถวินิจฉัยจาก 6 ด้าน ดังนี้
- ความจำ ลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ลืมรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิต
- สมาธิและการจดจ่อ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้ แม้จะมีสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย
- การใช้ภาษา นึกคำพูดไม่ออก หรือไม่สามารถเรียบเรียงประโยคเพื่อบอกความต้องการของตัวเองได้เหมือนเดิม
- การบริหารจัดการ สูญเสียทักษะการวางแผนและลำดับขั้นตอนในสิ่งที่เคยทำเป็นประจำ เช่น แม่ค้าที่เคยทำอาหารอร่อย แต่อยู่ ๆ ก็ลืมปอกเปลือกไข่ก่อนทำพะโล้
- การรับรู้ทิศทาง เดินออกไปแล้วหาทางกลับไม่ได้ จำทิศทางห้องน้ำหรือเส้นทางที่คุ้นเคยไม่ได้
- การรู้คิดทางสังคม เริ่มสูญเสียการยับยั้งชั่งใจและกาลเทศะ ไม่รู้ว่าพฤติกรรมใดที่เหมาะสมในที่สาธารณะ กลายเป็นคนเอาแต่ใจผิดปกติ จนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น “มนุษย์ป้า-มนุษย์ลุง” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผลจากการที่สมองส่วนหน้าทำงานผิดปกติ

ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
“อัลไซเมอร์” กับ “สมองเสื่อม” เรื่องเดียวกันหรือแตกต่าง?
หลายคนมักสับสนว่า “สมองเสื่อม” กับ “อัลไซเมอร์” คือเรื่องเดียวกัน แต่ที่จริงแล้ว “สมองเสื่อม” ไม่ใช่ชื่อโรค แต่เป็นคำเรียก “กลุ่มอาการ” ที่เกิดจากการเสื่อมถอยของสมองจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
เพื่อให้เรื่องยากในห้องตรวจกลายเป็นเรื่องง่าย ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ขอเปรียบเทียบภาวะสมองเสื่อมกับ “ผลมะม่วง” ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“หากเดินเข้าไปในตลาด เราจะเห็นมะม่วงมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ‘ภาวะสมองเสื่อม’ ก็เช่นกัน ‘อัลไซเมอร์’ เปรียบได้กับมะม่วงเขียวเสวย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่คนรู้จักมากที่สุด ส่วน ‘สมองเสื่อมจากหลอดเลือด’ เปรียบได้กับมะม่วงน้ำดอกไม้ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ”
ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
คำอธิบายนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า “อัลไซเมอร์” เป็นเพียงซับเซต (Subset) ของ “ภาวะสมองเสื่อม” และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นมะม่วงแปลกตาไปจากที่เราเคยรู้จัก เหมือนอย่างที่สมัยนี้เราพบเจอในตลาด
หน้าที่ของเราทุกคนในวันนี้ จึงไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อโรค แต่คือการมองให้เห็น “ว่านี่คือมะม่วง” หรือรู้ถึงความเสี่ยง เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
ความท้าทายของสมองเสื่อม คือการรู้เรื่องนี้ช้าเกินไป
“ความท้าทายของภาวะสมองเสื่อม คือญาติมักเข้าใจว่า ‘ผู้สูงอายุคงลืมได้เป็นปกติ’ จึงไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของความจำที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตจริง ทำให้หลายครั้ง เรารู้เรื่องนี้ช้าเกินไป”
รศ.พญ.วราลักษณ์ ศรีนนท์ประเสริฐ หน่วยวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ราคาของความล่าช้านี้ไม่ได้จ่ายแค่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แต่คือต้นทุนมหาศาลที่ครอบครัวต้องแบกรับ ซึ่งการศึกษาระบบบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ในกลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อม ชี้ชัดว่า ยิ่งภาวะสมองเสื่อมรุนแรงมากเท่าไร ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาจะยิ่งพุ่งขึ้นด้วย โดยมีค่าเฉลี่ย ตั้งแต่ 394,327 – 1,039,634 บาท/คน/ปี ตามระดับความรุนแรง
ดังนั้นแล้วการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงสำคัญ เพื่อรักษาตัวตนของผู้สูงอายุ และป้องกันไม่ให้ความมั่นคงของครอบครัวต้องสั่นคลอนไปพร้อมกับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกินกำลังแบกรับ

รศ.พญ.วราลักษณ์ ศรีนนท์ประเสริฐ หน่วยวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
สถิติผู้ป่วย 7 แสนคน แต่กระทบจริงกว่า 3 ล้านชีวิต
ภาวะสมองเสื่อมไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วจบ แต่คือการวิ่งมาราธอน ที่ทำให้คนที่อยู่รายรอบต้องออกตัววิ่งไปพร้อมกัน เพราะเมื่อคนหนึ่งเริ่มสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิต ผลกระทบนั้นไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวผู้ป่วย แต่พุ่งตรงเข้าใส่คนที่อยู่รายรอบด้วย
ศ.นภดล ร่มโพธิ์ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า แม้ตัวเลขผู้ป่วยสมองเสื่อมในปัจจุบันอยู่ที่ 6.8 แสนคน แต่ในความเป็นจริงเราอาจต้องคูณตัวเลขนั้นเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 เท่า เพราะนั่นคือจำนวนสมาชิกคนในครอบครัวที่อาจต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเพื่อดูแลผู้ป่วย ซึ่งคาดว่ามีจำนวนรวมสูงถึง 3.4 ล้านคน
“เราเป็นห่วงคุณพ่อ แต่พอเข้าไปใกล้ชิดมาก ๆ ผมรู้เลยว่าคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคุณแม่ ท่านแทบจะไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าทางกาย แต่คือความท้อใจเมื่อคนที่เราดูแลบอกว่าเราขโมยเงิน หรือโกรธเคืองเราอย่างไร้สาเหตุ หากไม่เข้าใจว่านี่คือตัวโรค ไม่ใช่ตัวตนของท่าน จิตใจของผู้ดูแลเองนั่นแหละที่จะพังทลายจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าตามไป”
ศ.นภดล ร่มโพธิ์ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ศ.นภดล ร่มโพธิ์ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชุมชนช่วยดูแล แต่ส่วนใหญ่กว่าจะรู้ก็ระยะรุนแรงแล้ว
ในขณะที่แพทย์วินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมผ่านผลการตรวจทางแพทย์ แต่สำหรับ “ท้องถิ่น” พวกเขาเห็นภาวะนี้ผ่านวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในชุมชน ตั้งแต่ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านที่เริ่มไม่เข้าใจกัน ไปจนถึงเหตุฉุกเฉินที่ต้องระดมความช่วยเหลือ
“พ่อหายไปไหนไม่รู้ เทศบาลช่วยตามหาหน่อย” … นี่คือประโยคที่ พิชชานันท์ ดำรงทิพย์รัตน์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ เทศบาลตำบลทับมา จ.ระยอง มักได้ยินอยู่เสมอ ซึ่งสะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่า กว่าที่ท้องถิ่นจะรับรู้ ส่วนใหญ่มักเป็นช่วงที่ผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะรุนแรงไปแล้ว
ความท้าทายของท้องถิ่นจึงไม่ใช่แค่การตามหาคนหาย หรือการเข้าไปช่วยปรับความเข้าใจกับเพื่อนบ้านในกรณีที่พฤติกรรมของผู้สูงอายุเปลี่ยนไปชอบเก็บขยะ จนส่งกลิ่นเหม็นรบกวนรอบข้าง แค่คือการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราเจอกรณีแบบนี้ในชุมชน … เราจะร่วมมือกันดูแลพวกเขาอย่างไร?
แม้ปัจจุบันจะมี “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน” (อสม.) หรือ “Caregiver” ลงพื้นที่เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนอยู่แล้ว แต่ปัญหาใหญ่คือการค้นพบที่ช้าเกินไป โดยมีสาเหตุหลักมาจาก “การขาดทักษะเฉพาะทาง” เพราะการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมไม่เหมือนโรคทั่วไป แบบประเมินมาตรฐานที่ใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมง อาจไม่เพียงพอที่จะตรวจพบความผิดปกติได้
ต้องอาศัยการคลุกคลีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจริง ๆ การขาดทักษะในการ “เอ๊ะ” หรือสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นช่องว่างสำคัญที่ทำให้เราพบผู้ป่วยเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ซึ่งส่งผลให้การดูแลทำได้ยากและเผชิญกับภาวะงบประมาณรวมถึงทรัพยากรที่บานปลาย เนื่องจากต้องใช้การดูแลเฉพาะทางที่ซับซ้อนและอุปกรณ์ที่มีราคาสูง ซึ่งเกินกว่าที่ชุมชนทั่วไปจะบริหารจัดการได้เองเพียงลำพัง

พิชชานันท์ ดำรงทิพย์รัตน์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ เทศบาลตำบลทับมา จ.ระยอง
มีผู้ป่วยเพียง 10% ที่เข้าถึงและได้รับบริการ
“จำนวนผู้ป่วยที่เข้าถึงระบบบริการการแพทย์ จริง ๆ มีเพียง 7.7 หมื่นคน หรือคิดเป็น 10% จากผู้ป่วยทั้งหมด 7 แสนคน”
นพ.อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์
ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับประชาชนยุคเบบี้บูมเมอร์ส (เกิดปี พ.ศ.2506 – 2526) กว่า 1.2 ล้านคน ที่กำลังทยอยก้าวเข้าสู่ภาวะสูงวัย นั่นหมายความว่าเรากำลังจะเจอผู้ป่วยจำนวนมหาศาลที่ระบบการรักษาปัจจุบันอาจรองรับไม่ทั่วถึง
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นโจทย์ใหญ่คือ “ความพร้อมของระบบ” ที่ต้องเร่งจัดการ โดยเฉพาะระดับท้องถิ่นที่พบว่ามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพียง 42% เท่านั้นที่สามารถจัดกิจกรรมกระตุ้นกลุ่มผู้ที่มีภาวะความรู้คิดบกพร่อง (MCI) เพื่อไม่ให้เสื่อมถอยลง ขณะที่อีกกว่า 43% ยังไม่สามารถดำเนินการได้
สะท้อนให้เห็นช่องว่างของระบบที่เน้น “การรักษา” มากกว่า “การป้องกันและเตรียมความพร้อม” ซึ่งรองอธิบดีกรมการแพทย์ มองว่า หากเราสามารถดึงภาคีเครือข่ายอย่างสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เข้ามาร่วมบูรณาการอย่างเต็มตัว จะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายครอบคลุมทั้ง 13 เขตสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะหากย้อนดูแผนการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมที่ผ่านมา จะพบว่าการรักษาผู้ป่วยนั้นมีความซับซ้อนและต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนาน เริ่มตั้งแต่การ คัดกรองเบื้องต้น ในระดับชุมชนโดย อสม.หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จากนั้นจึงส่งต่อเข้าสู่ โรงพยาบาลระดับปฐมภูมิ (โรงพยาบาลชุมชน) เพื่อวินิจฉัยภาวะ MCI หรือความจำเสื่อมระยะแรกเริ่ม
หากพบความเสี่ยง ผู้ป่วยจะต้องถูกส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ (โรงพยาบาลจังหวัด) เพื่อยืนยันภาวะสมองเสื่อมให้ชัดเจน และท้ายที่สุดจึงจะถูกส่งต่อไปถึง โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านเครื่องมือวินิจฉัยขั้นสูงและยาเฉพาะทาง ซึ่งกระบวนการส่งต่อที่หลายขั้นตอนเช่นนี้ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเข้าไม่ถึงการรักษาที่ทันท่วงที
อย่างไรก็ตามปัญหาที่วิกฤตที่สุดในขณะนี้คือ “กำลังคน” ที่ไม่มีทางเพียงพอต่อจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นพ.อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์
“ท้องถิ่น” ต้องเป็นจุดคานงัดสำคัญ
ความจริงที่ระบบสาธารณสุขไทยต้องเผชิญคือ “แพทย์อาจรักษาโรคได้ แต่ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยในระยะยาวได้” เมื่อโรงพยาบาลเข้าสู่ภาวะคอขวด ภารกิจประคองคุณภาพชีวิตจึงต้องถูกส่งไม้ต่อมายัง “ท้องถิ่น” ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุด
“จุดแตกหักของบ้านเราคือ ‘Policy’ จะต้องมองท้องถิ่นเป็นจุดคานงัดสำคัญในการขับเคลื่อนการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมในประเทศไทย”
วีระชัย ก้อนมณี ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สปสช. ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดบริการ จึงปรับเกณฑ์ใหม่ หวังลดภาระทางระบบสาธารณสุข ด้วยการเปลี่ยนมาตรวจค้น ให้พบตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยวันนี้ผู้ป่วยไม่ต้องรอให้ป่วยหนักจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (ADL ต่ำ) อีกต่อไป เพียงเริ่มมีสัญญาณภาวะสมองเสื่อม (เกณฑ์ GDS 5 ขึ้นไป) ก็สามารถเข้าสู่ระบบการดูแลระยะยาว (Long Term Care) ของท้องถิ่นได้ทันที
นอกจากนี้ยังเร่งเติมงบกองทุนท้องถิ่น ในระดับกองทุนฟื้นฟูจังหวัดและกองทุนตำบล เพื่อขับเคลื่อนการคัดกรองเชิงรุก และในปี 2569 จะแยกค่าแรง Care Giver ออกมา เปลี่ยนจาก “จิตอาสา” ให้เป็น “อาชีพ” เพื่อให้คนเหล่านี้ช่วย “ดูแลร่วมกับญาติ” ได้อย่างยั่งยืน ไม่ปล่อยให้ครอบครัวต้องแบกรับวิกฤตนี้เพียงลำพัง

วีระชัย ก้อนมณี ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สช. พร้อมเป็น “โซ่ข้อกลาง” ดันนโยบายกินได้จริง
เมื่อโรงพยาบาลไม่มีทางรับภาระการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ไหว การนำนโยบายลงสู่ “ชุมชน” จึงเป็นทางออกเดียวที่ยั่งยืน
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ระบุว่า สช. ยินดีทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนนโยบายที่ “กินได้จริง” ผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพ ดังนี้
- แพลตฟอร์มกลางในการประสานงาน (Stakeholder Engagement) ระหว่างกรมการแพทย์ ภาคีเครือข่ายวิจัย และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยกร่างนโยบายที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม และพร้อมจะผลักดันให้กลายเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ หรือข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดการบังคับใช้เชิงโครงสร้างที่ไม่ใช่แค่ “นโยบายบนแผ่นกระดาษ”
- นโยบายโอบอุ้ม “ลูกกตัญญู” ให้ดูแลพ่อแม่ได้โดยไม่เสียงาน เช่น Work from Home
- ดึงผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงและมีศักยภาพ (Active Aging) มาเป็นอาสาสมัครดูแลกันเอง
“ในชุมชนมีทรัพยากรอยู่มาก เรามีผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรง (Active Aging) ซึ่งสามารถมาร่วมกันเป็นชมรมดูแลกันเองได้ ฝึกสมองผ่านกิจกรรมที่สนุกและทำได้จริง เช่น การเล่นหมากรุก ร้องเพลง หรือเกมฝึกสมองที่ได้ผลจริงในต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือพลังที่จะช่วยชะลอไม่ให้คนกลุ่มนี้ต้องเดินไปสู่ภาวะสมองเสื่อม”
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
อย่างไรก็ตามการป้องกันและรับมือ “ภาวะสมองเสื่อม” ไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณหรือการแพทย์ แต่คือการทำให้ทุกคนในสังคมเข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่วมกัน
“เราต้องทำให้สมองเสื่อมไม่ใช่แค่ Health Policy ที่เป็นเรื่องของหมอและพยาบาล แต่ต้องเป็น Public Policy ที่ทุกคนในสังคมมองเห็นร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยยังคงมีตัวตน มีศักดิ์ศรี และมีความสุขได้ท่ามกลางความทรงจำที่เลือนลาง”
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
ข้อเสนอนโยบาย “ภาวะสมองเสื่อม”
ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องขยับจากการตั้งรับมาเป็นการทำงานเชิงรุกร่วมกัน ภาคีเครือข่ายจึงได้ร่วมกันออกแบบข้อเสนอเพื่อเป็นพิมพ์เขียวในการดำเนินงาน และพร้อมจะผลักดันเรื่องนี้ให้กลายเป็นนโยบายสาธารณะที่โอบอุ้มทุกคน
โดยเริ่มต้นจากการ ผลักดัน “ภาวะสมองเสื่อม” ให้กลายเป็นวาระสำคัญของชาติ เพื่อให้สังคมตระหนักรู้และเข้าใจปัญหา โดยต้องมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน
ควบคู่ไปกับ สร้างฐานข้อมูลกลาง และแผนที่สุขภาพ ที่จะแสดงผลให้เห็นแบบเรียลไทม์ (Real-time) ว่าในแต่ละพื้นที่ กลุ่มเสี่ยงอยู่ตรงไหน มีจำนวนผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด อยู่ในระยะใดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เห็นภาพร่วมกันและวางแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตามการรักษาให้หายขาดเป็นเรื่องยาก เป้าหมายหลักจึงต้องอยู่ที่ “การเข้าถึง” ตั้งแต่การคัดกรอง วินิจฉัย และส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษาที่รวดเร็ว จึงต้องเร่งพัฒนา Flow of Care ผ่านการอบรม Care Manager และ Care Giver เพื่อให้พวกเขาสามารถจัดทำแผนดูแลรายบุคคล (Specific Care Plan) และเป็นพี่เลี้ยงร่วมดูแลกับญาติได้
นอกจากมิติบุคลากรแล้ว เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยังเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อดึงผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการดูแลที่เหมาะสมได้ทันเวลา และอุปกรณ์ระบุตำแหน่งหรือ GPS (Tracking Device) เพื่อให้ญาติหรือคนในชุมชนสามารถติดตามตัวผู้ป่วยได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุหลงลืมทิศทาง
ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านจิตใจอย่างละเอียดอ่อนด้วย เพราะในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ การเร่งวินิจฉัยเพื่อรับรู้ผลล่วงหน้า จึงอาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผู้ป่วยต้องแบกรับความทุกข์ทางใจไปยาวนานนับสิบปี
มาตรการนี้จึงอาจต้องพิจารณาความเหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่มีอาการชัดเจน เพื่อให้พวกเขารับรู้และเข้าสู่การดูแลในวันที่พร้อมรับมือและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการช่วยเหลือ
ส่วนการจะผลักดันอย่างไรให้ยั่งยืนนั้น ? ภาคีเครือข่ายเห็นสอดคล้องกันว่า “ท้องถิ่น” จะต้องเป็นจุดคานงัดสำคัญ โดยภาครัฐจะต้องผลักดันให้ อบต. หรือ อบจ. สามารถยกระดับ “ศูนย์ดูแลกลางวัน” (Day Care) ให้กลายเป็นพื้นที่กระตุ้นสมองและที่พักหายใจของผู้ดูแลผู้ป่วย
พร้อมไปกับการสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงบ้านตามหลัก Universal Design เพื่อให้ที่พักอาศัยปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นตัวเร่งให้อาการสมองเสื่อมทรุดหนักอย่างรวดเร็ว
ไปจนถึงสร้างเครือข่าย “อาสาสมัครตัวน้อย” ปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้เข้าใจภาวะสมองเสื่อม เพื่อให้พวกเขาเป็นหูเป็นตาดูแลผู้สูงอายุในละแวกบ้าน รวมถึง “เปลี่ยนผู้สูงอายุที่แข็งแรงให้เป็นอาสาสมัครดูแลเพื่อนบ้าน” ซึ่งนอกจากจะช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเขาไปในตัว
บทสรุปจาก Policy Forum ครั้งนี้สะท้อนชัดว่า “ภาวะสมองเสื่อม” ไม่ใช่เพียงโจทย์ทางการแพทย์ แต่คือความท้าทายระดับโครงสร้าง ที่ต้องอาศัยนโยบายและชุมชนที่เข้มแข็ง เราทุกคนจึงต้องร่วมมือกันติดตามและผลักดันข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง




