ปี 2564 กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมกว่า 680,000 คน หรือร้อยละ 6 ของผู้สูงอายุทั้งประเทศในขณะนั้น (อ้างอิงข้อมูลจาก มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย)
ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2565 ระบุว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากกว่า 12 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมด) และหนึ่งในสิ่งที่มาควบคู่กันกับสังคมสูงวัย คือ ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ที่แน่นอนว่ามีแนวโน้มเพิ่มตามจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นในแต่ละปีด้วย
คำถามใหญ่ ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้นการถามหา ความพร้อมของระบบสุขภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่ยังขาดแคลน กระบวนการคัดกรองที่ไม่ครอบคลุม ไม่ทันท่วงที ยังไม่นับรวบถึงความเหนื่อยล้าทางกายใจมหาศาลที่ลูกหลานต้องเผชิญ แต่ปัญหาใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดคือ สังคมไทยยังขาดความรู้เรื่องสมองเสื่อม ไม่เว้นแม่แต่ในบุคลากรทางการแพทย์เอง
งานวิจัยล่าสุดเรื่อง “การศึกษาสถานการณ์ระบบการดูแลผู้สูงอายุภาวะสมองเสื่อม” จากหน่วยวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ (Siriraj Health Policy) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยถึงตัวเลขที่น่าตกใจว่า ยิ่งผู้ป่วยต้องเผชิญกับภาวะสมองเสื่อมในระยะที่รุนแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งมีต้นทุนในการดูและรักษามากเท่านั้น
โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 394,327 – 1,039,634 บาท/คน/ปี ทั้งหมดคือตัวเลขที่ภาครัฐและครอบครัวต้องแบบรับ ในขณะที่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกำลังแย่ลงตามระดับความรุนแรงของโรค
แต่หากผู้ป่วยถูกตรวจพบเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ จะชะลอการดำเนินของโรค และป้องกันไม่ให้พัฒนาไปเป็นโรคสมองเสื่อมได้ แต่ปัญหาคือ ไม่เพียงแต่สังคมไทยยังขาดความรู้เกี่ยวกับโรคดังกล่าวจนทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ยังรวมไปถึงอคติของผู้คนในสังคมที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจตัวโรคด้วย

ผศ.ศิราณี ศรีหาภาค วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก หนึ่งในทีมวิจัยที่ศึกษาเรื่องระบบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อม อธิบายว่า ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) เป็นสิ่งที่กำลังคลืบคลานเข้ามาในสังคมไทยอย่างเงียบ ๆ และเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าที่เราคิด ในขณะที่องค์ความรู้นี้ กลับเป็นสิ่งที่ใหม่มากในสังคมไทย แม้กระทั่งกับบุคคลากรทางการแพทย์เอง
“เราอยู่ในสายสุขภาพ และทำงานเรื่องผู้สูงอายุมาโดยตลอด แต่สมัยเรียนยังไม่รู้จัก dementia ดีด้วยซ้ำ เพิ่งมารู้จักจริง ๆ ก็ตอนทำงานวิจัยภาคสนาม และช่วงแรกเรายังมีมุมมองว่า dementia หรือ อัลไซเมอร์ เป็นอาการหลงลืม เหมือนกันด้วยซ้ำ”
ผศ.ศิราณี อธิบายว่า เกือบ 10 ปีก่อนความรู้เรื่อง dementia ในสังคมไทยมีน้อยมาก และด้วยความซับซ้อนของอาการ ทำให้ผู้ป่วยหลายรายพลาดที่จะได้รับการวินิจฉัยได้ทันท่วงที เช่น บางพื้นที่ มีรายงานว่ามีผู้ป่วย dementia เพียง 5 คนเท่านั้น แต่พอทีมวิจัยลงพื้นที่จริงกลับพบว่า มีผู้สูงอายุถึง 27 คนที่เป็น dementia ชัดเจน และยังมีอีก 113 คนที่มีความเสี่ยง
“เราเคยคุยกับผอ.รพ.แห่งหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่มา 27 ปี พบว่าไม่เคยวินิจฉัยคนไข้ว่าเป็น dementia เลย เพราะคัดกรองไม่เจอ ทั้งที่บางเคสบ้านอยู่หน้ารพ.สต.ด้วยซ้ำ นี่หมายความว่า ไม่ใช่เฉพาะชาวบ้านเท่านั้นที่ไม่รู้จัก dementia แต่บุคคลากรทางการแพทย์เองก็ยังมีความรู้เรื่องนี้ไม่มากพอ”
นอกจากการขาดความรู้เกี่ยวกับโรคแล้ว ผศ.ศิราณี ยังพาเราย้อนไปถึงประสบการณ์ลงพื้นที่วิจัยเมื่อหลายปีก่อนว่า ในครั้งนั้นเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับภาระในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ หรือโรคกลุ่มหลอดเลือด
แต่เมื่อลงในพื้นที่สนามจริง กลับพบว่า ในบรรดาโรคของผู้สูงอายุทั้งหมดแล้ว ภาวะสมองเสื่อม (dementia) เป็นปัญหาหนัก และสร้างความทุกข์ยากให้กับผู้ดูแลมากที่สุด
เพราะหากผู้สูงอายุเป็นโรคอื่น เช่น stroke ญาติยังสามารถดูแลอย่างตรงไปตรงมา ให้ยา หรือการฟื้นฟูได้ตามแผน และยังมีความหวังว่าอาการจะดีขึ้นหรือหายได้
แต่หากเป็น dementia แล้ว ผู้ป่วยอาจไม่สามารถคุยด้วยเหตุผลได้อีกต่อไป บางครั้งลูกหลานก็โดนด่าทอ และทะเลาะกันไม่สิ้นสุด แถมอาการยังมีแต่ทรุดหนักและไม่สามารถฟื้นคืนได้เลย
“ผู้ป่วย stroke อาจมีเพียงข้อจำกัดทางร่างกายที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่สภาพจิตใจยังปกติ และบ้านเรามีองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างมากแล้ว
“แต่ผู้ป่วย dementia จะมีข้อจำกัดทั้งทางร่างกาย และจิตใจ บางคนมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ปาอุจจาระทั่วบ้าน ด่าทอญาติพี่น้อง หรือวิ่งแก้ผ้าออกจากบ้าน ทำให้ญาติต้องรับภาระหนักท่ามกลางการขาดองค์ความรู้ในการดูแล” ผศ.ศิราณี อธิบาย
ฟังแล้ว ปัญหาเรื่อง dementia เป็นเรื่องใหญ่ แต่บ้านเรากลับขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ผู้ป่วยหลายคนแสดงถึงสัญญาณเตือนมานานหลายปี แต่กลับไม่ได้รับการดูแลอย่างเท่าทัน เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการ หลง ๆ ลืม ๆ ปกติของผู้สูงวัยเท่านั้น
ขี้ลืมแค่ไหน ถึงใช่สมองเสื่อม ?
คนส่วนใหญ่มักสับสนระหว่าง “อาการหลงลืมตามวัย” กับ “ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)”
หลายบ้านเริ่มกังวลเมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่ลืมกุญแจบ้าน กุญแจรถ หรือบางที ตัวเราเองที่บังเอิญไปเจอเพื่อนเก่า แล้วนึกชื่อเพื่อนไม่ออกชั่วคราว (แต่พอนึกออก ก็อ๋อทันที)
คำถามที่ตามมาคือ การหลงลืมแบบนี้ คือ เรื่องปกติของวัย หรือสัญญาณของสมองเสื่อมกันแน่?
ผศ.ศิราณี อธิบายว่า ขี้ลืม กับ หลงลืม ไม่หมือนกัน ขี้ลืมคือการที่ลืม แล้วรู้ตัวว่าลืม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คน แต่หลงลืม คือ การไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลืม
“บางคนเปิดแก๊ซทิ้งไว้แล้วออกไปข้างนอก นึกได้อีกทีตอนอยู่ที่ทำงานแล้ว แบบนี้เรียกว่าขี้ลืม แต่ถ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าลืมปิดแก๊ซ จนกระทั่งมีคนอื่นมาเจอ หรือบางคนเปิดกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วไม่รู้ว่าเงินในกระเป๋าเป็นของใคร ทั้ง ๆ ที่เป็นของตัวเองแท้ ๆ แบบนี้คืออาการหลงลืม”
แต่ก่อนวินิจฉัยว่าอาการ หลงลืม นั้น เป็นเพียงการลืมตามวัย หรือกำลังก้าวเข้าสู่ ภาวะสมองเสื่อม ได้นั้น มีเกณฑ์วินิจฉัยอยู่
WHO ให้นิยามอาการด่านแรกของผู้ป่วย (ก่อนการพัฒนาไปเป็น dementia) ว่าเป็น ภาวะที่มีความบกพร่องในด้านพุทธิปัญญา (Cognitive domains) หรือที่เรียกว่า MCI (Mild Cognitive Impairmen)
MCI มีสังเกตจุดหลัก 4 ข้อ ดังนี้
- ความจำ (Memory)
พักเรื่องการออกจากบ้านแล้วลืมกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ แล้วไปนึกได้เอาตอนอยู่ที่ทำงานไปก่อน นี่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการ “ลืมว่าเพิ่งกินข้าวไปเมื่อกี้” หรือ
“ลืมว่าเพิ่งจะโทรหาลูกไปเมื่อเช้า” เพราะนี่คือการลืมหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น (Recent events) โดยจำไม่ได้เลยว่าเคยเกิดเหตุการณ์นั้นด้วยซ้ำ หรือมีคนมาช่วยเตือนความจำแล้วก็ตาม อาจเป็นสัญญาณแรกของ MCI
- สมาธิและการจดจ่อ (Attention and Concentration)
ขาดสมาธิจดจ่อ หลุดโฟกัสได้ง่าย ลุกลี้ลุกลน จากที่เคยนั่งทำงานต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน ก็กลายเป็นต้องใช้พลังและเวลา มากกว่าที่เคยเป็น
- การจัดการและหน้าที่ระดับสูง (Executive Function)
มีปัญหาในการวางแผน (Planning) การกะระยะหรือปริมาณ (Estimation) หรือการแก้ปัญหา เช่น หากต้องทำอาหารสูตรใหม่ เพราะการทำอาหารต้องใช้การทำงานของสมองที่ซับซ้อน (Multi-tasking) เมื่อสมองส่วนนี้บกพร่องไป จะเริ่มกะสัดส่วนไม่ถูกต้อง หรือสับสนลำดับวิธีการปรุง ดูวิธีทำสักกี่รอบก็ทำไม่ได้
หรือจากเรื่องที่เคยทำได้คล่องแคล่วกลับกลายเป็นเรื่องยาก
“เราเคยลงเก็บข้อมูลที่อีสาน เวลาหม่าข้าว (แช่ข้าวสาร/ข้าวเหนียว) ค้างคืนก่อนนำมาหุง จะแช่แค่พอใช้ แต่ผู้ป่วยสมองเสื่อมเอาข้าวลงแช่ทั้งกระสอบ หรือจากคนทำอาหารอร่อย แต่กลายเป็นเค็มผิดปกติ เพราะกะปริมาณไม่ได้”
ผศ.ศิราณี เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ตอนลงพื้นที่วิจัยว่า อาการของผู้ป่วยสมองเสื่อมมีหลากหลายแบบ และบ่อยครั้งที่พฤติกรรมเปลี่ยนไปจนไม่ใช่คนเดิม
“เราเคยเจอเคสที่เคยกินหมากเป็นประจำ วันหนึ่งลุกขึ้นมาเอาครกบดหมากทิ้ง แล้วไม่เคี้ยวหมากอีกเลย หรืออยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเดินวนรอบบ้าน ทำอะไรซ้ำ ๆ”
อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ การใช้ภาษา
- ภาษาและการสื่อสาร (Language)
“บางเคสที่เราเจอ เป็นคนอีสาน พูดอีสานมาทั้งชีวิต แต่อยู่ ๆ กลับพูดอีสานไม่ได้ ใช้ภาษากลางแทน”
ผศ.ศิราณี อธิบายว่า ในหลายรายพบความผิดปกติในการพูด เช่น อยู่ ๆ ก็นึกคำที่จะพูดไม่ออกชั่วคราว (Word-finding difficulties) เช่น แทนที่จะเรียก นาฬิกา อาจคิดได้แต่คำเรียกกว้าง ๆ อย่าง “อันที่เอาไว้ดูเวลา”
อธิบายมาถึงตรงนี้ หากอยากรู้ว่าผู้ป่วยต้องเป็น MCI รุนแรงระดับไหนจึงจะก้าวข้ามมาสู่ dementia
โดยอาการที่เล่ามาข้างต้นทั้งหมดนี้ ไม่สำคัญว่าผู้ป่วยลืมอะไรบ้าง แต่สิ่งสำคัญ คือ การลืมนั้นกระทบต่อการใช้ ชีวิตประจำวัน หรือไม่
หากผู้ป่วยมีพฤติกรรมเหล่านี้ แต่ว่ายังสามารถดูแลตัวเองได้ ไปทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ นั่นหมายความว่าอาการอาจอยู่เพียงระดับ MCI เท่านั้น ยังพอที่จะดูแลรักษาได้
แต่ก็ถือว่าเป็นเหมือน สัญญาณเตือน ก่อนที่จะเป็นภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
โดยระหว่างนี้ ญาติต้องคอยสังเกต แต่หากมีจุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัด เช่น อยู่ ๆ ก็จำทางกลับบ้านไม่ได้ ลืมวิธีใช้รีโมททีวี หรือบุคคลิกภาพเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เช่น จากคนสุภาพกลายเป็นคนก้าวร้าว อาจเข้าข่ายว่าพัฒนาเป็น dementia แล้ว
แต่โดยธรรมชาติของภาวะนี้ ย่อมมีอาการที่ซับซ้อน จำเป็นต้องพิจารณาให้ดีกว่าเกิดขึ้นตอนมีสภาวะทางใจผิดปกติหรือไม่ เช่น กำลังเผชิญกับเจ็บป่วยบางอย่างหรือความสูญเสีย ทำให้มีการสับสน หรือ ซึมเศร้าเสียใจ อาจทำให้วินิจฉัยพลาดได้
อย่างไรก็ตาม MCI ไม่ได้พัฒนาไปสู่ Dementia เสมอไป บางคนอาจคงที่อยู่ในระดับเดิม และหากดูแลตัวเองอย่างดีก็สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้
จาก MCI สู่ dementia
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า หากอยากรู้ว่า MCI พัฒนาไปเป็น dementia แล้วหรือยังนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าเสียความสามารถทางความจำไปมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่า การลืมนั้น ส่งผลต่อชีวิตประจำวันแล้วหรือยัง
โดย ตามแนวทาง WHO/DSM-5 ระบุว่า มี เกณฑ์การวินิจฉัยตาม 6 ด้านหลักของสมอง (6 Cognitive Domains) ได้แก่ 1. Complex Attention (สมาธิ) 2. Executive Function (การบริหารจัดการ) 3. Learning & Memory (ความจำ) 4. Language (การใช้ภาษา) 5. Perceptual-Motor (การรับรู้และการเคลื่อนไหว) 6. Social Cognition (การเข้าสังคม)
ผู้ที่เป็น dementia จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ลดลงอย่างชัดเจน (เมื่อเทียบกับระดับเดิมที่เคยเป็น) โดยหากมีความผิดปกติเพียง 1-2 ด้าน และส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวัน ก็เป็นสัญญาณว่าอาจเข้าข่าย dementia แล้ว
ผศ.ศิราณี อธิบายว่า ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการก็ได้ เพราะขึ้นกับว่าสมองส่วนไหนเสียหายไป ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากจะมีสมองส่วน frontotemporal lobe ซึ่งทำหน้าที่หลัก เกี่ยวกับ บุคลิกภาพ พฤติกรรม การใช้ภาษา การเข้าใจความหมาย และการประมวลผลทางอารมณ์
เมื่อสมองส่วนนี้เสียหาย อาจนำไปสู่ภาวะ Frontotemporal Dementia (FTD) จึงทำให้มีปัญหาด้านพฤติกรรม คำพูด และการเข้าสังคม (แตกต่างจากโรคอัลไซเมอร์ที่เน้นปัญหาความจำ)
เพื่อให้เข้าใจระยะดำเนินโรคได้อย่างชัดเจน จึงมีการแบ่งภาวะสมองเสื่อม (dementia) ออกเป็น 4 ระดับ ตามความรุนแรง ดังนี้
- ระยะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย (MCI) ใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำงานได้ปกติทุกอย่าง แต่มีการรับรู้ที่ผิดปกติไปบ้าง
- สมองเสื่อมระยะต้น (Mild Dementia) ดูเหมือนคนปกติ ยังช่วยตัวเองได้ แต่คนใกล้ชิดเริ่มสังเกตเห็น เช่น เริ่มลืมเรื่องที่เพิ่งเกิด นึกคำไม่ออก กิจกรรมที่เคยทำได้ ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป เช่น ไปซื้อของที่ตลาดก็นับเงินทอนไม่ได้ ทำให้ไม่กล้าออกไปทำกิจกรรมทางสังคม ไม่กล้าเดินทางคนเดียว เริ่มขี้หงุดหงิดเพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำบางอย่างไม่ได้ (ที่เคยทำได้)
- ระยะกลาง (Moderate Dementia) ระยะนี้ยาวนานที่สุด และพฤติกรรมชัดเจนจนใคร ๆ ก็สังเกตได้ เช่น จำทางกลับบ้านไม่ได้ สับสนวันเวลา ขาดกาลเทศะ เช่น อาบน้ำเองไม่สะอาด หรือเดินออกจากบ้านอย่างไร้จุดหมาย หรือระแวงเห็นภาพหลอน ปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้
- ระยะสุดท้าย (Severe Dementia) ระยะนี้สมองจะถูกทำลายไปมากแล้ว ไม่รับรู้ ได้แต่นั่งเฉย เพราะกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เดินไม่ได้ กลืนไม่ได้ ขับถ่ายไม่ได้ และพูดไม่ได้ (หรือได้เป็นคำ ๆ) ต้องพึ่งพาผู้ดูแล 100% จำเป็นต้องใส่สายอาหาร
Dementia หรือ อัลไซเมอร์ ?
เราอาจคุ้นเคยกับโรคอัลไซเมอร์ มากกว่า หรือเข้าใจไปว่า ไม่ว่าจะ dementia หรือ อัลไซเมอร์ก็น่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมเหมือน ๆ กัน แท้จริงแล้ว มีรายละเอียดที่แตกต่างอยู่
ผศ.ศิราณี อธิบายว่า ภาวะสมองเสื่อม (dementia) เป็นเหมือนร่มใหญ่ ที่ภายใต้ร่มนั้นยังมีอีกอย่างน้อย 5 กลุ่มโรค โดยจำแนกตามสาเหตุการเกิด
- อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease: AD)
พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 60-80%) มีอาการเด่น คือ เสียที่ “ความจำระยะสั้น” (Learning & Memory) เช่น ถามซ้ำ ๆ ลืมนัด ลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ความจำในอดีตมักยังดีอยู่
- สมองเสื่อมจากหลอดเลือด (Vascular Dementia)
เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จากหลอดเลือดสมองตีบ แตก หรือตัน (Stroke) อาการมักจะ “ทรุดลงเป็นขั้นบันได” (Stepwise decline) คือแย่ลงกะทันหันแล้วคงที่ มีปัญหาด้าน “การคิดวางแผน” (Executive Function) และความเร็วในการประมวลผลช้าลง ฉะนั้นแล้ว หากเคย stroke จำเป็นต้องตรวจภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วยเสมอ
- สมองเสื่อมจากกลุ่มพาร์กินสัน (Lewy Body Dementia: LBD)
มีอาการทางกายคล้ายพาร์กินสัน (มือสั่น ตัวแข็ง) ร่วมกับ “เห็นภาพหลอน” (Visual Hallucinations) และระดับความรู้สึกตัวจะขึ้น ๆ ลง ๆ บางวันดูรู้เรื่อง บางวันดูสับสนมาก
- สมองเสื่อมจากการบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury: TBI) เกิดจากอุบัติเหตุกระทบกระเทือนสมอง มักมีปัญหาเรื่องความจำ สมาธิ และที่เด่นชัดคือ การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปหลังการบาดเจ็บ เหมือนที่เราเห็นในภาพยนต์หลาย ๆ เรื่อง
- สมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นๆ (Others / Secondary Dementia) เช่น มีการติดเชื้อ HIV หรือ ซิฟิลิส ติดเหล้าเรื้อรรัง หรือเนื้องอกในสมอง การหาสาเหตุเป็นสิ่งสำคััญ เพราะอาจช่วยรักษาให้หายหรือดีขึ้นได้ หากแก้ที่ต้นเหตุ
“กรณีที่สมองเสื่อมจากเหตุอื่น ๆ เป็นกลุ่มที่ซับซ้อนและน่าสนใจ เราเคยเจอเคสผู้สูงอายุสมองเสื่อมคนหนึ่งที่หาสาเหตุไปก็เรื่อย ๆ ก็พบว่ามาจากเชื้อซิฟิลิสที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่ม หรือบางเคสที่หยุดยาจิตเวช ก็อาจสัมพันธ์กับ dementia ได้เช่นกัน” ผศ.ศิราณี อธิบาย
ผีบ้า – เฒ่าตัณหากลับ: อคติในสังคมไทย เพราะไม่เข้าใจ dementia
อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะเห็นว่า กว่าคนไข้คนหนึ่งจะถูกวินิจฉัยว่าเป็น dementia ได้นั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มันค่อย ๆ แสดงอาการขึ้นอย่างช้า ๆ เกินกว่าที่จะสังเกตเห็นได้ แม้กระทั่งคนในครอบครัว
“คนไข้เกือบทุกราย ญาติให้ข้อมูลว่ามีพฤติกรรมผิดปกติมาก่อนหน้านี้อย่างน้อย 5-10 ปี แต่ไม่ได้เอะใจอะไร กว่าจะมาถึงมือหมอ อาการของโรคก็พัฒนาไปมากแล้ว”
ผศ.ศิราณีอธิบายว่า เวลาที่คนไข้ dememtia เริ่มมีความผิดปกติไปในช่วงแรก หากญาติพามาหาหมอ หมอมักจะวินิจฉัยไปเป็นโรคอย่างอื่น นั่นเพราะระบบสุขภาพของไทยเองก็แทบไม่มีความรู้เรื่อง dementia เลย ทำให้ขาดเลนส์ในการมองเห็นภาวะนี้เช่นกัน
“มีเคสหนึ่งที่ชอบแก้ผ้าวิ่งออกนอกบ้าน ชาวบ้านเรียกกันว่าผีบ้า ส่วนหมอวินิจฉัยว่าเป็น ภาวะโรคจิต (Psychosis) นานกว่า 10 ปี จนกระทั่ง 7 ปีก่อน มีแพทย์อีกคนไปเช็คประวัติใหม่ และถูกวินิจฉัยว่าเป็น dementia” ผศ.ศิราณี เล่า
นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่แพทย์เฉพาะทางก็มีโอกาสพลาดการวินิจฉัยโรคเช่นกัน เพราะการรับรู้เรื่อง dementia ในบ้านเรายังน้อยทำให้คนไข้พลาดโอกาสในการรักษาที่ถูกโรค
การขาดความรู้เกี่ยวกับอาการของ dementia นี้ ยังนำไปสู่การตีตรา (stigma) หรือ อคติ (bias) อีกหลายอย่างในสังคมไทย
“คนที่เคยสุภาพเรียบร้อย อยู่ ๆ แก่ตัวลงก็กลายเป็นเฒ่าลามก ชอบเด็กสาว หรือพูดจาหยาบคาย นี่คือกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องกาลเทศะ (Social Cognition) แต่สังคมกลับไม่เข้าใจและตีตรา”
ผศ. ศิราณี อธิบายว่า สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เรายังขาดความรู้เรื่องนี้มาก คือ การใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร เมื่อพบเจอคนที่ทำพฤติกรรมแปลกไป เช่น เฒ่าตัณหากลับ เฒ่าหัวงู หรือ ผีบ้า เพื่ออธิบายถึงคนที่มีพฤติกรรมแปลกไป ทั้งที่หลายครั้งเป็นอาการหนึ่งของ dementia อย่างชัดเจน ทำให้ญาติพี่น้องอับอาย และนำมาสู่การเข้าไม่ถึงการรักษา ดูแลอย่างถูกต้อง
สิทธิ – ข้อกฎหมาย-การจ่ายยา: คอขวดการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
แม้ในปัจจุบัน เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ของ WHO จะมีความชัดเจนจนทำให้แม้แต่ รพ.ระดับชุมชน ก็สามารถ คัดกรองและวินิจฉัยผู้ป่วยได้ตั้งแต่ต้นทาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับอุปสรรคทางระบบที่เป็นคอขวดขนาดใหญ่
ผศ.ศิรานี สะท้อนว่า นอกจากการขาดความรู้ทางการวินิจฉัยแล้ว อีกอุปสรรคหนึ่งคือ “ความพัวพันทางข้อกฎหมาย” โดยเฉพาะเรื่องนิติกรรมหรือพินัยกรรม ซึ่งหากแพทย์วินิจฉัยว่าบุคคลหนึ่งเป็นโรคสมองเสื่อม ย่อมส่งผลต่อสถานะความเป็นบุคคลโดยตรง
“ถ้าหมอวินิจฉัยว่าเป็น dementia ไปแล้ว และมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น แพทย์จะต้องตอบคำถามถึงการวินิจฉัยและตรวจยืนยัน เพราะฉะนั้น หากเป็นเคสที่ไม่ชัดเจน หมอก็จะยังไม่กล้าสรุปเช่นนั้น เพราะกลัวว่าต้องไปรับผิดชอบในด้านกฎหมายด้วย”
ผลที่ตามมา ทำให้ผู้ป่วย dementia จำนวนมาก ได้แต่อยู่ในสถานะ สงสัยว่าเป็น แต่ไม่ได้ถูกวินิจฉัยอย่างชัดเจน ทำให้เข้าไม่ถึงการตรวจรักษาที่จำเพาะเจาะจง อีกทั้งชาวบ้านทั่วไปยากจะเข้าถึงโรงพยาบาลใหญ่ได้เองหากไม่มีการส่งต่ออย่างเป็นระบบ
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ สิทธิสวัสดิการที่หล่นหายไป การที่ผู้ป่วยไม่ถูกวินิจฉัย ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เรื่องการรักษา แต่ยังลามไปถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ป่วยพึงได้รับ
“การไม่ได้รับการวินิจฉัย ทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ บางรายได้รับยาจริง แต่กลับไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้ (เช่น สิทธิคนพิการ) เพราะขาดใบรับรองและการยืนยันโรคอย่างเป็นทางการ”
และสุดท้าย คือ ความลักลั่นของการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติอย่าง Donepezil (โดเนเพซิล) แม้ปัจจุบันยาชนิดนี้จะถูกกระจายลงไปถึงโรงพยาบาลชุมชนแล้ว (ต่างจากเมื่อก่อนที่มีเฉพาะในโรงพยาบาลศูนย์หรือระดับตติยภูมิ) แต่ปัญหาใหม่ที่พบคือ การเริ่มต้นยา คือ หมอในชุมชนไม่ได้เป็นคนเริ่มให้ได้เลย ยังต้องรอให้แพทย์ระดับตติยภูมิวินิจฉัยก่อน หมอในโรงพยาบาลชุมชนถึงจะจ่ายยาต่อเนื่อง (Routine Med) ตามไปได้ คอขวดนี้เองทำให้กระบวนการรักษาล่าช้า เพราะแทนที่ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นตั้งแต่ในระดับชุมชน กลับต้องรอการส่งตัวไปยืนยันโรคในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีคิวยาวเหยียด ทั้งที่หัวใจของการรักษาโรคสมองเสื่อมคือการชะลออาการให้เร็วที่สุด
ภาวะสมองเสื่อม: เมื่อไทยก้าวสู่สังคมสูงวัย แต่ยังไร้ระบบดูแล
ภาวะสมองเสื่อม คือ “การดูแลระยะยาว” (Long-term Care) ที่ต้องอาศัยการวางแผนระดับชาติ หากย้อนกลับไปในปี 2008 ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างตระหนักถึงวิกฤตนี้ จนนำไปสู่การประกาศ “สงครามกับภาวะสมองเสื่อม” อย่างเป็นรูปธรรม
ญี่ปุ่น มีศูนย์ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมเฉพาะทางกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ ในขณะที่เกาหลีใต้ มีศูนย์หลัก 17 แห่งที่กระจายตัวเพื่อคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วย แต่ในประเทศไทย แม้เราจะมีรพ.ที่ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ แต่ยังขาด “ศูนย์เฉพาะทาง” ที่ทำหน้าที่รวบรวมชุดความรู้และความเชี่ยวชาญโดยตรง ส่งผลให้การคัดกรองและการวินิจฉัยไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร
ในขณะไทยกำลังเป็นสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด และในอนาคตอันใกล้นี้ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 80 ปี จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะสมองเสื่อมสูงถึงร้อยละ 50
แม้กระทรวงสาธารณสุขไทยจะพยายามจัดทำยุทธศาสตร์ด้านสมองเสื่อม แต่ปัญหาสำคัญคือขาดแรงผลักดันในระดับนโยบายชาติและงบประมาณที่เพียงพอ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ท้องถิ่นจำเป็นต้องเขามามีบทบาทหลัก เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมพัวพันกับหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมเชิงรุก ที่ท้องถิ่นสามารถสร้าง activity เพื่อให้คงสภาพร่างกายและสมองของผู้สูงอายุ รวมถึงควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่าง โรคความดัน เบาหวาน และหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสมองเสื่อม
รวมไปถึง การสนับสนุนผู้ดูแล ที่ปัจจุบันพบว่ามีผู้ดูแลถึงร้อยละ 4 ที่ต้องลาออกจากงานมาดูแลผู้ป่วยเต็มตัว ท้องถิ่นจึงต้องเข้ามาช่วยทั้งเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์และมาตรการช่วยเหลือผู้ดูแลด้วย
สำหรับประเทศไทยวันนี้ เราจึงจำเป็นต้องมีมากกว่าแค่ยุทธศาสตร์ แต่ต้องมี ศูนย์เฉพาะทางดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ที่ชัดเจน และการกระจายอำนาจให้ ท้องถิ่น เป็นผู้ดูแลคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้ดูแลอย่างจริงจัง เพื่อชะลอความเสื่อมและลดภาระทางสังคมในระยะยาว




