การที่ “โรงพยาบาลหาดใหญ่” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ระดับภูมิภาค และโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ตอนล่าง ถูกน้ำท่วมสูงจนระบบหลักแทบทั้งหมดต้องหยุดทำงาน นับเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้เคียง “การล่มสลายชั่วคราว” ของศูนย์กลางระบบสาธารณสุขภาคใต้ตอนล่างอย่างแท้จริง เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นหัวใจของการดูแลผู้ป่วยวิกฤตจากหลายจังหวัด ทั้งสงขลา ปัตตานี ยะลา สตูล และบางส่วนของนราธิวาส
เมื่อโรงพยาบาลหลักขนาด 700 เตียงหยุดฟังก์ชันฉุกเฉินลงอย่างกะทันหัน ผู้ป่วยอาการหนักทั้งหมด ทั้งในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ต้องถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) แห่งเดียว ส่งผลให้โรงพยาบาลม.อ.ต้องทำงานเกินขีดความสามารถอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Thai PBS Policy Watch อธิบายภาพรวม และประเมินว่าระบบกำลังเผชิญอะไรอยู่ และแนวทางคลี่คลายในระยะสั้น–กลาง
“ฟื้นให้ได้เร็วที่สุด” เป้าหมาย 7 วัน – 2 สัปดาห์ ของโรงพยาบาลหาดใหญ่
นพ.วิโรจน์ โยมเมือง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหาดใหญ่ ระบุว่า หากไม่มีเหตุซ้ำเติม คาดว่าจะ กู้ระบบบริการได้ 50% ภายใน 7 วัน และอาจเริ่ม กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติภายใน 2 สัปดาห์ ขณะที่ รมว.สธ. คาดว่าใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะกลับมาให้บริการแบบเต็มศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมากกว่าภาพที่เห็นในวันแรก ไม่เพียงน้ำท่วมอาคารและระบบไฟฟ้าชั้นล่าง แต่ยังรวมถึงเครื่องมือแพทย์ ห้องปฏิบัติการ บริการฉุกเฉิน และระบบ O2-เครื่องช่วยหายใจต่างๆ ที่จำเป็นต้องตรวจสอบใหม่ทั้งหมด
ขณะที่ในโลกออนไลน์ อาจารย์แพทย์จากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์โพสต์สั้น ๆ แต่สะเทือนใจว่า
“เจ้าหน้าที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน หลังกลายเป็นโรงพยาบาลศูนย์การรักษาแห่งเดียวที่รอดจากน้ำ”
ปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญพร้อมกันคืออะไร?
- เจ้าหน้าที่จำนวนมากไม่สามารถเดินทางมาปฏิบัติงานได้
- ผู้ป่วยวิกฤตถูกส่งมาจากทุกทิศ
- ER ล้นทะลัก ต้องเปิดจุดเสริมหน้าโรงพยาบาล
- เตียง ICU เต็มทุกจุด
- ต้องจัดการร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากไปพร้อมกัน
แม้จะอยู่ในสภาวะ “หนักเกินกำลัง” แต่บุคลากรส่วนใหญ่ยังบอกว่า “ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครถอย แต่ทุกคนไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง ภายในโรงพยาบาลหาดใหญ่ มีบุคลากรโพสต์สะท้อนว่า แม้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขบางช่วงระบุว่า “สถานการณ์โรงพยาบาลหาดใหญ่เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ” แต่บนพื้นจริง เจ้าหน้าที่กลับต้อง
“บีบเครื่องช่วยหายใจแบบใช้มือให้เด็กแรกเกิดอายุ 1–15 วัน นาน 8–10 ชั่วโมง” ในขณะที่ทีมงานหลายคนทำงานต่อเนื่องกว่า 168 ชั่วโมง มีข้อความที่ติดแฮชแท็ก #เหนื่อยกายไม่ท้อแต่เหนื่อยใจไม่ไหว สะท้อนว่า นี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ปกติ และยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก
ภาพใหญ่ที่ต้องเข้าใจ ทำไมระบบจึงโกลาหล?
ในอำเภอหาดใหญ่มี โรงพยาบาลหลัก 5 แห่ง รวมกว่า 2,000 เตียง
- โรงพยาบาลหาดใหญ่ (700 เตียง)
- โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (1,200 เตียง)
- โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่
- โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี
- โรงพยาบาลเซี่ยงตึ๊ง
แต่ 4 ใน 5 แห่งอยู่ในโซนเมืองที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมด ใช้งานไม่ได้ เหลือเพียงโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่ตั้งบนพื้นที่สูง และยังทำงานได้จริง ยังไม่รวม คลินิกเอกชนกว่า 200 แห่งในเมืองหาดใหญ่ ที่ได้รับความเสียหายจนปิดบริการ
5 รพ. ต้องรองรับผู้ป่วยเท่าไร
- ประชากรหาดใหญ่กว่า 700,000 คน
- ผู้ป่วยจากอำเภอข้างเคียง
- รวมถึงผู้ป่วยหนักจาก 5 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างที่เคยกระจายมา รพ.หาดใหญ่
เมื่อเสาหลักล้มลง ระบบจึงเกิดภาวะ “ล้นระบบทันที (System Overload)” ไม่มีทางรับความต้องการได้ทันในเวลาไม่กี่วันแรก
“วิกฤตซ้อนวิกฤต” บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ประสบภัย
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ อดีตผู้ตรวจราชการเขต 12 ให้สัมภาษณ์ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (28 พ.ย. 2568) ว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่วิกฤตธรรมดา แต่เป็น“วิกฤตซ้อนวิกฤต” เพราะบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่เองก็เป็นผู้ประสบภัย สูญเสียบ้าน รถ หรืออุปกรณ์ทำงาน แต่ก็ยังต้องออกมาดูแลประชาชนไปพร้อมกัน
เขาย้ำว่า แม้มีการเสริมทีมจากพื้นที่อื่นเข้ามาแล้ว แต่ ต้องเพิ่มให้มากกว่านี้ และต้องจัดระบบสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เพียงการอาสาเฉพาะจุด
นอกจากโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับความเสียหายหนัก ยังมี รพ.สต. , ศูนย์ปฐมภูมิ และคลินิกหมอครอบครัว อีกจำนวนมากที่ยังเปิดไม่ได้ การฟื้นฟูต้องครอบคลุมทั้งระบบ เพื่อไม่ให้เกิดคอขวดในช่วงกู้วิกฤต
ในช่วง 2–4 สัปดาห์แรก นพ.สุเทพเสนอว่า ควรตั้ง หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ในสถานที่กลางของชุมชน เช่น โรงเรียน, ศูนย์ชุมชน, ปั๊มน้ำมัน หรือ ศาลาประชาคม เพื่อให้ประชาชนสามารถรับบริการพื้นฐานได้ ทั้งตรวจโรคทั่วไป แจกยาเรื้อรัง การดูอาการเสี่ยง หรือบริการเด็กและผู้สูงอายุ ลดภาระของโรงพยาบาลม.อ.ซึ่งล้นระบบแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งจำเป็นในพื้นที่คือ การทำ “สำมะโนสุขภาพ“ ระบุว่าใครป่วยอะไร อยู่ไหน ต้องการการดูแลแบบใด เพื่อจัดทีมให้ตรงความต้องการจริง ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น
ด้านล่างนี้คือ ฉบับรีไรท์ตอนที่ 2 ให้ลื่นไหล เป็นข่าวออนไลน์อ่านง่าย คงเนื้อหาสาระครบถ้วน และเชื่อมโยงประเด็นสำคัญทั้งหมด ไม่ใช้ภาษาฉับพลันเกินไป และคงโทนข่าวสาธารณสุข–ภัยพิบัติแบบมืออาชีพ
สธ.ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วย
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรวม 7 แห่ง เพื่อรองรับการเจ็บป่วยหลังน้ำลด โดยกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ประกอบด้วย
- โรงพยาบาลสงขลา – สนามบินหาดใหญ่
- โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี – โรงเรียนเทศบาล 4 วัดคลองเรียน
- โรงพยาบาลตรัง – หอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่
- โรงพยาบาลพัทลุง – พื้นที่โรงพยาบาลรัตภูมิ
- โรงพยาบาลยะลา – โรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์
- โรงพยาบาลระโนด – โรงเรียนเทศบาลวัดคลองแห
- โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ – บริษัทหาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)
พร้อมกันนี้ได้จัดรถฟอกไตเคลื่อนที่ และสำรวจจุดให้บริการไว้ล่วงหน้า เพื่อดูแลผู้ป่วยโรคไตที่ต้องเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ศูนย์พักพิงทุกแห่งจะมีทีมแพทย์ลงพื้นที่ดูแลแบบครบวงจร รวมถึงหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ถูกส่งกระจายไปตามชุมชน เพื่อให้บริการได้อย่างครอบคลุมที่สุด
จัดกำลังเสริมบุคลากรสาธารณสุข
ด้านกำลังเสริมบุคลากรในพื้นที่หาดใหญ่ กระทรวงสาธารณสุขส่งทีมแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขแล้ว 2 ผลัด รวม 280 คน ประกอบด้วย
ผลัดที่ 1 (25 พ.ย.) รวม 82 คน – ทีม MERT จากโรงพยาบาลระนอง, ทีม MCATT และหน่วยจิตเวช, ทีมกรมการแพทย์ และทีมจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
ผลัดที่ 2 (27 พ.ย.) รวม 198 คน – ทีม MERT–Mini MERT จากหลายเขตสุขภาพ, ทีมกรมการแพทย์, ทีมกรมสุขภาพจิต, ทีมกรมควบคุมโรค, ทีม Sky Doctor โรงพยาบาลนครพิงค์ และพยาบาลเฉพาะทางจากหลายจังหวัด
เร่งฟื้นฟู ‘รพ.หาดใหญ่’ ป้องกันระบบสาธารณสุขใต้ล่ม
ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ประธานหลักสูตรสาขาวิชาระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดหลังน้ำลดคือ การเร่งฟื้นฟูระบบบริการที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องถูกดันเข้าสู่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์เพียงแห่งเดียวในพื้นที่ที่ยังให้บริการได้ตามปกติ
เขาอธิบายว่า ในช่วงเฉพาะหน้า ผู้ป่วยอาการหนักจำนวนมากจำเป็นต้องส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลที่ยังมีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบออกซิเจน ระบบสื่อสาร และเวชภัณฑ์พื้นฐาน ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่ยังคงฟังก์ชันได้เต็มที่
“ระบบสาธารณูปโภคทุกอย่างต้องรีบฟื้น ทั้งน้ำ ไฟ ระบบออกซิเจน และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ต้องกลับมาเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลจะรับผู้ป่วยของตัวเองไม่ได้”
ศ.นพ.วีระศักดิ์ ระบุว่า การฟื้นฟูครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งวิศวกร บุคลากรแพทย์ หน่วยงานราชการ และภาคเอกชน เนื่องจากบุคลากรในพื้นที่เหนื่อยล้ามานาน—บางส่วนติดค้างอยู่ในน้ำ อีกส่วนหนึ่งต้องทำงานยาวหลายวันโดยแทบไม่ได้พัก อีกทั้งโรงพยาบาลหาดใหญ่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ อาหาร น้ำ และกำลังคน จึงจำเป็นต้องมีทีมเสริมจากจังหวัดอื่นเข้ามาช่วย
ไม่จำเป็นต้องตั้งโรงพยาบาลสนามแบบช่วงโควิด-19
เมื่อถามถึงแนวคิดจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในช่วงฟื้นฟู ศ.นพ.วีระศักดิ์กล่าวว่า สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่โรคระบาด จึงไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วยออกไปหลายจุด เพราะจะกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้บุคลากรและทรัพยากร
“ครั้งนี้ไม่ใช่โรคระบาด ไม่จำเป็นต้องตั้งโรงพยาบาลสนาม การกระจายบุคลากรไปหลายจุดจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง ที่สำคัญโรงพยาบาลในพื้นที่ควรฟื้นตัวให้เร็วที่สุด”
เขายังให้ความมั่นใจว่า ระบบประสานงานระหว่างโรงพยาบาลในพื้นที่ยังดำเนินได้ดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่าง ๆ เดินหน้าช่วยเหลือกันแม้อยู่ต่างสังกัด เพื่อให้การคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยเป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
เตือน 3 โรคหลังน้ำท่วมลด
หลังจากน้ำท่วมลดลง สิ่งที่ต้องระวัง คือ 3 โรคหลังน้ำลด – ท้องร่วง / ฉี่หนู / ไข้เลือดออก และ สุขภาพจิตผู้ประสบภัย
ศ.นพ.วีระศักดิ์เตือนว่า หากระบบประปาและไฟฟ้ายังกลับมาไม่เต็มที่ โรคทางเดินอาหารจะเป็นปัญหาแรกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะชาวบ้านไม่สามารถรักษาความสะอาดพื้นฐาน ทั้งด้านการขับถ่าย การประกอบอาหาร และการเก็บรักษาอาหารได้ดีพอ
อาหารที่แจกในพื้นที่ก็มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูง หากไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค ทำให้มีโอกาสเกิดอาการท้องเสียหรืออุจจาระร่วงในวงกว้าง
โรคฉี่หนูยังเป็นโรคที่พบได้บ่อยหลังน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเริ่มพบผู้ป่วยมากขึ้นในช่วง 1–2 สัปดาห์หลังน้ำลด โดยเฉพาะผู้ที่แช่น้ำท่วมเป็นเวลานาน หรือมีบาดแผลเปิด ขณะนี้โรงพยาบาลได้แจกยาป้องกันเบื้องต้นให้กลุ่มเสี่ยงแล้ว
อีกโรคที่คาดว่าจะตามมาคือ ไข้เลือดออก ซึ่งจะเพิ่มขึ้นหลังอากาศเริ่มร้อนและมีน้ำขัง เหมาะต่อการเพาะพันธุ์ของยุงลาย ทั้งขยะ อุปกรณ์ และภาชนะต่าง ๆ ที่ถูกน้ำท่วม
ภายในศูนย์พักพิงซึ่งมีประชาชนจำนวนมากรวมตัวกัน ยังมีความเสี่ยงโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด รวมถึงโควิด-19 โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในกรุงเทพฯ แม้ภาคใต้ยังไม่พบ แต่ต้องระวังเป็นพิเศษ
เมื่อถามว่าโรงพยาบาลจะล้นผู้ป่วยหรือไม่หลังน้ำลด ศ.นพ.วีระศักดิ์ระบุว่า ต้อง “ประเมินวันต่อวัน” โดยหากระบบประปา–ไฟฟ้ากลับมาได้ทันเวลา สุขาภิบาลจะดีขึ้นและโรคต่าง ๆ จะไม่ระบาดหนัก แต่หากกลับมาช้า ความเสี่ยงต่อโรคท้องร่วงและโรคทางเดินหายใจจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะ “เชื้อเพียงเล็กน้อยก็แพร่ได้เร็วในสภาพแวดล้อมแบบนี้”
ฟื้นฟู รพ.หาดใหญ่ คาดอย่างน้อย 1 เดือน
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ระบบสำคัญของโรงพยาบาลหาดใหญ่ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และก๊าซทางการแพทย์เริ่มกลับมาใช้งานได้แล้ว ขณะเดียวกันได้ทยอยเปิดให้บริการผู้ป่วยในบางส่วน ทั้งแผนกผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่ชั่วคราวใกล้อาคารหลัก
พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่าการกลับมาเปิดให้บริการเต็มศักยภาพยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน โดยหน่วยงานด้านวิศวกรรมการแพทย์กำหนดโรดแมปฟื้นฟูไว้ดังนี้
- สัปดาห์แรก เปิดห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอก และห้องปฏิบัติการบางส่วน
- สัปดาห์ที่ 1–2 ขยายบริการผู้ป่วยใน ผู้ป่วยวิกฤติ ห้องผ่าตัด และคลินิกเฉพาะทาง
- สัปดาห์ที่ 3–4 เดินหน้าสู่การเปิดให้บริการเต็มระบบ
ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่เอง ยังมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 16 แห่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ขณะนี้เหลือเพียง รพ.สต.คลองแห แห่งเดียวที่ปิดให้บริการชั่วคราว
เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างรอการฟื้นฟูโรงพยาบาลหลัก กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มอีก 2 จุด ได้แก่
- ศูนย์บริการสาธารณสุข เทศบาลเมืองคลองแห โดยมีโรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ รับผิดชอบการปฏิบัติงาน
- โรงพยาบาลค่ายเสนาณรงค์ โดยโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชเป็นผู้รับผิดชอบ เริ่มให้บริการวันที่ 1 ธันวาคม
นอกจากนี้ ยังจัดจุดบริการผู้ป่วยนอกชั่วคราวภายใน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผู้ป่วยจิตเวช วัณโรค รวมถึงผู้ป่วยทั่วไป เริ่มเปิดให้บริการวันที่ 1 ธันวาคมเช่นกัน
ข้อมูล (30 พ.ย. 68) สะท้อนภาระงานที่เพิ่มสูงขึ้น โรงพยาบาลสนามทั้ง 8 จุด ที่เปิดให้บริการก่อนหน้า
- ดูแลผู้ป่วยใน 160 ราย
- ผู้ป่วยนอกกว่า 1,000 ราย
- ส่งต่อผู้ป่วยแล้ว 116 ราย
ขณะที่ทีมแพทย์เคลื่อนที่และทีมเดินเท้าลงพื้นที่ ให้บริการรวมกว่า 9,500 ครั้ง ส่วนการประเมินสุขภาพจิตผู้ประสบภัยสะสม 2,430 ราย พบภาวะเครียดสูง 140 ราย และพบผู้มีความเสี่ยงต่ออันตราย 1 ราย ซึ่งได้รับการส่งต่อเข้าสู่ระบบดูแลอย่างเร่งด่วน
ทีม MCATT และคลินิกสุขภาพใจประจำโรงพยาบาลสนาม ถูกระดมกำลังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก และครอบครัวที่สูญเสียที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์สิน
วิกฤตครั้งนี้บททดสอบระบบสุขภาพไทย
อุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ปี 2568 ไม่เพียงสร้างความเสียหายเชิงกายภาพแก่สถานพยาบาล แต่ยังเผย “จุดเปราะบางเชิงระบบ” ของสาธารณสุขไทยอย่างชัดเจน ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ทนทานต่อภัยพิบัติ การพึ่งพาโรงพยาบาลศูนย์เพียงไม่กี่แห่ง ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำด้านศักยภาพของหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม
การเร่งตั้งโรงพยาบาลสนาม การขยายจุดบริการชั่วคราว และการกระจายภาระผู้ป่วยไปยังจังหวัดใกล้เคียง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการตอบสนองฉุกเฉินของระบบสุขภาพไทยที่ยังเดินหน้าได้ในภาวะวิกฤต แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนความจำเป็นของการลงทุนระยะยาว ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางแพทย์ ระบบบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรที่สามารถหมุนเวียนรับมือสถานการณ์ได้อย่างยืดหยุ่น
วิกฤตโรงพยาบาลหาดใหญ่ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่คือ “คำเตือนสำคัญ” ว่าระบบสาธารณสุขไทยต้องปรับตัวรับโลกที่ความเสี่ยงรุนแรงขึ้น ทั้งจากภัยธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความต้องการบริการสุขภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภารกิจฟื้นฟูอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ภารกิจสร้างระบบที่เข้มแข็ง ทนทาน และเป็นธรรม คือโจทย์ระยะยาวที่ทั้งรัฐและสังคมต้องร่วมกันผลักดัน เพื่อให้โรงพยาบาลทุกแห่งสามารถยืนหยัดได้แม้ในวันที่ยากที่สุดของผู้คนในพื้นที่ .
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




