“โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เมื่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากภาวะโลกร้อน และปรากฏการณ์ “ลานีญา” ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ผิดปกติ เกิดพายุ “คัลมีแก”ในช่วงฤดูหนาว และอุทกภัยเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงมากขึ้น เช่นกรณีน้ำท่วม 9 จังหวัดภาคใต้ มหาอุทกภัยหาดใหญ่
ภัยธรรมชาติที่หนักและรุนแรงมากขึ้น ถึงเวลาที่ต้องยอมรับว่า “ระบบพยากรณ์อากาศ และการบริหารจัดการภัยพิบัติ” ในแบบเดิมๆอาจจะไม่สามารถรับมือกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
อาการที่เรียกว่า “ความผิดปกติ”ของธรรมชาติในปีนี้เริ่มส่งสัญญาณ ให้เห็นจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคกลาง โดยปี 68 สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนกิ่วลม, เขื่อนกิ่วคอหมา, เขื่อนแควน้อย และ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จุดที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 68
ความผิดปกติเบื้องต้น มาจากภาวะโลกร้อนที่อุณหภูมิโลกยังทุบสถิติสูงใหม่เรื่อยๆ การปล่อยก๊าซคาร์บอนยังพุ่งทยานอยู่ในปริมาณที่สูง จนทำให้ปรากฏ “ เอลนีโญ -ลานีญา” แปรปรวนสูง รอบการเกิดปรากฏการณ์เฉลี่ยทุกๆ 2 ปีครึ่ง จากเดิมที่เคยเกิดขึ้นในรอบ 5-7 ปี
ขณะที่ปรากฏการณ์สภาวะเป็นกลาง ENSO Neutral มีการเปลี่ยนถ่ายที่ “ถี่ขึ้น” มากขึ้น เช่นกัน ส่งผลให้ความแปรปรวนของสภาพอากาศปราการณ์ ลักษณะของฝน และภัยพิบัติเกิดถี่มากขึ้นเช่นกัน

“พายุคัลแมกี” หลงฤดู รับมืออย่างไร ?
ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ทำให้การพยากรณ์ มีความแม่นยำน้อยลงหรือไม่ ? โดยพบว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 68 กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเปลี่ยนฤดูกาล ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า ล่าช้ากว่าปกติราวหนึ่งสัปดาห์ อากาศเริ่มเย็นบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากนั้นอากาศเย็นจะขยายพื้นที่ครอบคลุมบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก ส่วนภาคใต้จะยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่
แต่ฤดูหนาวผ่านไปได้เพียงสัปดาห์ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือน เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 68 เรื่อง พายุ “คัลแมกี” และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย โดยระบุว่า พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (KALMAEGI) บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ เคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้แล้ว จากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 7 – 9 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยจะเริ่มจากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ
พายุ “คัลแมกี” ถือเป็นพายุลูกแรกที่ขึ้นตรงประเทศไทย ซึ่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยาที่กักเก็บเอาไว้ความจุเกิน 80 % มีปริมาณเข้ามาเติมเพิ่มทำให้ “เขื่อน ภูมิพล” อยู่ในระดับที่เต็มเกือบ 100 % จนทำให้ต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น
ในท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เริ่มเพิ่มการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลกระทบต่อพื้นที่รับน้ำอย่าง “บางบาล” “เสนา” อยุธยา
ความผิดปกติของพายุ “หลงฤดู” ทำให้ ปราโมทย์ ไม้กลัด ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยแห่งชาติ มองว่า ระบบบริหารจัดการน้ำที่สามารถรับมือได้ดีแล้วในช่วงฤดูฝนปกติ มีความยากมากขึ้นเมื่อมี ฝนหลงฤดู พายุหลงฤดูเข้ามา
การบริหารจัดการน้ำในรอบแรกก่อนที่จะมี “พายุคัลมีแก” หน่วยงานบริหารจัดการน้ำ สามารถบริหารจัดการได้ดี แต่เมื่อมี พายุเข้ามาทำให้พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาเฉพาะต้นเดือน พ.ย.มีปริมาณฝนสะสมท้ายเขื่อนเจ้าพระยามากถึง 170 มิลลิเมตร ซึ่งสูงค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 143 มิลลิเมตร และปริมาณฝนมากกว่าปี 65 และ ปี 54 ในช่วงเวลาเดียวกัน
“ผมมั่นใจได้ว่าฤดูกาลปีนี้มีความผิดปกติเกิดขึ้นจริง มันเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติเหนือการควบคุม ลุ่มเจ้าพระยาปีนี้ มีเหตุสุดวิสัยของธรรมชาติ มีฝนต่างฤดู มีพายุต่างฤดู เข้ามาในหน้าหนาวไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากขึ้น มีน้ำเหนือที่ จ.นครสวรรค์ ต้องเร่งระบายออก”
“บางบาล– เสนา” น้ำท่วมนานเกิน 4 เดือน
ปราโมทย์ มองว่า ความแตกต่างการบริหารจัดการน้ำในปี 68 กับมหาอุทกภัยปี 54 แตกต่างกัน เพราะ ในปี54 ไม่เคยมีเหตุการณ์ พายุหลงฤดูที่เข้ามาในช่วงหน้าหนาว มีเพียงปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องทำให้ปริมาณน้ำมาก จนทำให้มีปริมาณในเขื่อนเพิ่มขึ้น
แม้การบริหารจัดการน้ำ ที่มาจากฝนหลงฤดู พายุหลงฤดู ทำให้ต้องปล่อยน้ำในเขื่อนลุ่มเจ้าพระยาในปริมาณที่มาก จนสร้างความเดือดร้อนของชาวบ้านใน อ.บางบาล อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องอยู่กับน้ำในระยะเวลานานขึ้นซึ่งอาจจะมากกว่า 4 เดือนจึงจะสามารถระบายน้ำสู่อ่าวไทยได้ทั้งหมด
“ฝนหลงฤดู พายุหลงฤดูเกิดขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกรมชลประทานต้องเอามวลน้ำลงอ่าวไทยให้ได้ ไม่งั้นจะเกิดปัญหา แต่ก็มีอุปสรรคทางธรรมชาติ สภาพภูมิศาสตร์ เป็นคอขวด ที่พระนครศรึอยุธยา ทำให้ชาวบ้าน บางบาล เสนา อาจจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น ”
ปัญหาของการจัดการน้ำ ที่เกิดขึ้นมีความยากและซับซ้อน จากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การเจริญเติบโตของเมือง สิ่งก่อสร้างที่เพิ่มมากขึ้นทำให้การบริหารจัดการยากขึ้น และเมื่อสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงและแปรปรวนมากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องมาทบทวนระบบกาจัดการน้ำที่มีอยู่เพราะไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
“ผมฟันธงเลยว่า ระบบที่มีอยู่ จัดการปัญหาไม่ได้ เพระระบบจัดการน้ำเจ้าพระยา มันเต็มที่แล้วในช่วงปลายฤดูฝนที่ผ่านมาจะเห็นว่าเขาบีอหารจัดการได้ดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อฝนนอกฤดูมา ทำให้มีมวลมีปริมาณมาก และมีมวลน้ำใหญ่ในภาคเหนือตอนล่าง ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างก็เต็มหมดแล้ว ทำให้ต้องหาทางเลือกช่วยแม่น้ำเจ้าพระยาระบายสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด”
การเร่งระบายน้ำเพื่อช่วยแม่น้ำเจ้าพระยา คือการทลายคอขวดบริเวณ จ.อยุธยา ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการเจ้าพระยา 2 มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของแม่น้ำเจ้าพระยาและเร่งระบายน้ำออกสู่อ่าวไทย แต่โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสรางไม่เสร็จตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า
“ลานีญา” ส่งผล “มหาอุทกภัย หาดใหญ่68”
ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่มาจากโลกร้อน และ “ลานีญา” ไม่เพียงแต่ส่งผลให้การรับมือบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยายากลำบากเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนกับเหตุการณ์ มหาอุทกภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ซึ่งชัดเจนว่า วิธีคิด พยากรณ์และบริหารจัดการน้ำแบบเดิม ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
แม้ที่ผ่านมา เทศบาลนครหาดใหญ่ จะมีประชาสัมพันธ์ระบบป้องกันน้ำท่วมในทุกจุดที่คาดว่าจะมีปัญหา จนมั่นใจว่า สามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ได้ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา แต่ทุกอย่างมาเหนือความคาดหมาย
“มาเร็ว แรง เหนือความคาดหมาย” นั่นคือ เสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่อย่าง นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า Rain-bomb เขาคอหงส์ จุดเริ่มต้นน้ำท่วมหาดใหญ่ คืนวันศุกร์ 21 พ.ย.68 น้ำในคลองระบายน้ำ ร1 มีระดับน้ำต่ำกว่าขอบคลองมาก ความเชื่อมั่นน้ำไม่ท่วมจึงค่อนข้างสูง ปีที่แล้วน้ำมากก็ยังเอาอยู่ ปีนี้ฝนเพิ่งเริ่มตกแบบต่อเนื่องเอง ความรู้สึกผู้คนจึงคิดว่า “น้ำยังไม่น่าท่วม”
แต่ฝนมาเหนือความคาดหมาย เกิดการตกของฝนแบบ rain -bomb หรือ ตกต่อเนื่องในคืนเดียวกว่า 300 มิลลิเมตร ตกหนักมากในบริเวณเขาคอหงส์ อ่างแก้มลิงคอหงส์น้ำล้น น้ำจากเขาคอหงส์ตลอดแนวเขาไหลบ่าลงมาจนล้นคลองสามสิบเมตรไหลบ่าเข้าท่วมเมืองหาดใหญ่
โดยที่น้ำยังไม่ล้นคลอง ร1 (ซึ่งปกติคลอง ร1 น้ำจะเพิ่มเพราะน้ำหลากมาจากสะเดา ไม่ใช่เขาคอหงส์) การเฝ้าดูน้ำคลอง ร1 เป็นสัญญาณการเตือนภัยจึงทำให้ล่าช้า
น้ำจากเขาคอหงส์ มีทางระบายออกเมืองที่สำคัญคือคลอง ร5 และคลอง 30 เมตร ที่ดักน้ำพาออกนอกเมืองก่อนบ่าเข้าเมือง แต่ฝน rain-bomb หนักเกินไป น้ำนาหม่อมก็ไหลมาสมทบผ่านคลองเรียน เพียงฝนหนักฝนคืนแรก ถึงบ่าเข้าเมืองต่อเนื่องจนท่วมสูงในคืนศุกร์ต่อเช้าวันเสาร์
ถ้าน้ำในคลองอู่ตะเภาและคลอง ร1 ไม่ล้น น้ำในเมืองก็จะบ่าลงคลอง แต่ฝนที่หนักทั่วทุกพื้นที่ ทำให้น้ำคลองอู่ตะเภาและคลอง ร1 ปริ่มและล้น น้ำท่วมเมืองจึงทรงๆไม่ลดลง จนถึงวันอาทิตย์
วันอาทิตย์ 23 พ.ย.68 สถานการณ์ฝนตกหนักฝั่งคอหงส์เหมือนจะลดลงแล้ว แม้ยังตกสลับแล้ง ฝนหนักได้ตกลึกเข้าไปในแผ่นดิน น้ำสะเดาทุ่งลุงเริ่มลงมาแล้ว ในท่ามกลางน้ำคลองอู่ตะเภาและคลอง ร1 ที่ปริ่มล้น จึงทำให้สถานการณ์น้ำท่วมเมืองยังวิกฤต โดยเฉพาะชานเมืองฝั่งตะวันตกและตำบลรอบนอก
นพ.สุภัทร ระบุว่า สภาพอากาศรุนแรงจากภาวะโลกร้อน ทำให้แผนการป้องกันและลดความรุนแรงจากน้ำท่วมอาจต้องทบทวนใหม่ ทั้งส่วนบุคคลที่ทุกบ้านต้องเตรียมถุงยังชีพเอง และระบบของทางการที่ต้องเตรียมการรับมืออีกมาก
ความล้มเหลวของการบริหารจัดการน้ำ
ปัญหาภัยพิบัติยกระดับความรุนแรง และ ถี่มากขึ้นจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ขณะที่โครงสร้างการรับมือกลับล้มเหลวอ่อนแอ เพราะไม่ปรับตัว เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนไป
สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ชี้ว่า น้ำท่วม หาดใหญ่ สะท้อนความล้มเหลวของปัญหาเชิงโครงสร้างในทุกด้าน ตั้งแต่เเรื่องข้อมูลพยากรณ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต้นทางก็ดูจะคลาดเคลื่อนไม่แม่น ยำเพียงพอ
ที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินฝนต่ำกว่าความเป็นจริงหลายครั้ง ตั้งแต่พายุวิภาที่คาดการณ์ต่ำกว่าจริงกว่า 100 มิลลิเมตร จนทำให้จังหวัดน่านเกิดความเสียหายหนัก ต่อเนื่องถึงช่วงพายุคัลแมกี ประกาศเข้ามาสู่ฤดูหนาว โดยไม่ส่งสัญญาณว่า ลานิญา อาจทำให้เกิดความผิดปกติของฤดูกาลและมีพยุเกิดขึ้นได้
ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลส่งผลให้การบริหารจัดการน้ำผิดพลาด โดยจะเห็นว่าในลุ่มเจ้าพระยาเดิมคาดว่าน้ำจะลงเขื่อนสิริกิติ์ซึ่งมีความเสี่ยงสูง จึงเน้นการบริหารที่นั่น แต่ฝนกลับตกหนักที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งเขื่อนภูมิพล ทำให้ต้องเริ่มพร่องน้ำแบบกระชั้นชิด ทั้งที่ลุ่มเจ้าพระยาภาคกลางมีปริมาณน้ำมากอยู่แล้ว
“ปัญหาคือ เขื่อนไม่สามารถพร่องน้ำได้รวดเร็วแบบเปิดทิ้งทีเดียว ต้องค่อยๆ ปรับในหลายวัน ถ้ารู้ช้าก็แก้ไม่ทัน นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยุธยาประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก”
โยกย้ายสลับตำแหน่ง กระทบ กลไกจัดการน้ำ
ไม่เพียง พยากรณ์ต้นทางไม่แม่นยำเพียงพอ แต่กลไกในการบริหารจัดการน้ำก็กลายเป็นสูญญากาศ จากการเปลี่ยนแปลง โยกย้ายตำแหน่ง ซึ่งต้องยอมรับว่า รัฐบาลอนุทิน มีคำสั่งโยกย้ายกว่า 45 ตำแหน่ง
การโยกย้ายในสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ก่อนหน้านี้ ซึ่งมี สุรสีห์ กิตติมณฑล เป็นเลขาธิการฯ เกษียณราชการ เมื่อ 1 พ.ย. 68 ที่ประชุมครม.เมื่อ 19 ส.ค. 68 มีมติอนุมัติรับโอนนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาเป็นเลขาธิการสทนช. ต่อมาเมื่อวันที่่ 4 พ.ย. ประชุมครม.ได้มีมติแต่งตั้งนายดนุชา พิชยนันท์ กลับมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสศช.อีกครั้ง ทำให้การบริหารงานในหน่วยงานกลาง อย่าง สทนช.ขาดความต่อเนื่อง ชัดเจน
เนื่องจากในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูฝน สทนช.ภายใต้การนำของเลขาธิการสุรสีห์ กิตติมณฑล มีการประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดนโยบายพร่องน้ำจากเขื่อนเพื่อรองรับฝนล่วงหน้า แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ก็มีทิศทางชัดเจน
แต่เมื่อเลขาธิการเกษียณวันที่ 1 พฤศจิกายน ช่วงที่สถานการณ์เริ่มวิกฤต กลับเป็นช่วงรอยต่อที่ผู้นำใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนภายในหลายหน่วยงาน ทำให้ช่วงเวลาที่ควรต้องตัดสินใจเชิงระบบ กลับเต็มไปด้วยความลังเลและต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน
ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายในระดับท้องถิ่น ท่ามกลางวิกฤต ก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้การรับมือภัยพิบัติครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า โดยย้ายนาย รัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มาเป็น ผู้ว่าราชการจังหวีด สงขลา เมื่อ 12 พ.ย. 68 ห่างจากวันที่เกิดมหาอุทกภัยไม่มาก ทำให้ความต่อเนื่องการเตรียมการรับมือเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อเทียบกับปัญหาภัยพิบัติที่ใหญ่ และต้องการความเชี่ยวชาญมาบริหารเพื่อรับมือ

ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่สับสน ไร้ซิงเกิล คอมมานด์
อีกประเด็นที่น่าวิตกที่สุดคือ ความไม่เข้าใจการบริหารงานภายใต้ภาวะวิกฤตของ นายกรัฐมนตรีและฝ่ายการเมือง โดยหากไล่ย้อนไทมไลน์คำสั่ง นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี จะเห็นถึง ความสับสน ความวุ่นวายกับคำสั่งในการจัดการ
หลังจากระดับน้ำในพื้นที่หาดใหญ่ เพิ่มระดับมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. และเริ่มเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านอย่างรวดเร็วคืน 23 พ.ย. และเช้าวันที่ 24 พ.ย น้ำท่วมเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านถึงชั้น 2 ของอาคาร หรือบ้านพักอาศัย
และใน 11.05 น.วันที่ 24 พ.ย. 68 ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา มีคำสั่ง อพยพคนหาดใหญ่ 100% ขณะที่ชาวบ้านไม่สามารถออกจากบ้านได้แล้ว และไม่มีความชัดเจนเรื่องจำนวนเรือที่ขนชาวบ้าน รวมไปถึงศูนย์พักพิงมีจุดใดบ้าง
หลังจากนั้นในวันเดียวกัน นายอนุทินมีคำสั่ง ตั้ง ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า (รองนายกรัฐมนตรี)ผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)
แต่พอช่วงบ่าย 24 พ.ย. มีมติให้ตั้ง กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (ปภ.กลาง)จัดตั้งเป็น ศูนย์บัญชาการส่วนหน้า สำหรับ 5 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง: สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับผิดชอบ
ต่อมาในวันที่ 25 พ.ย. 68 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จ.สงขลา มีมติให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาดูแล แต่คำสั่งดังกล่าวสับสนมากขึ้น เพราะไม่ชัดเจนว่าใคร คือ ผู้บัญชาการเหตุการณ์กันแน่
กระทั่งวันที่ 26 พ.ย.68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 11/2568 เรื่อง มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนดังนี้
- นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และปัตตานี
- นายโสภณ ชารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดยะลา
- ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสงขลา
- นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- นายสันติ ปิยะทัต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดตรัง
- นายนภินทร ศรีสรรพาง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
- นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบการช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสตูล
- นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รมช.เกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง รับผิดชอบการกำหนดมาตรการ ด้านการเงินการคลัง เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
- นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการ ประสานงานภาคเอกชน และภาคประชาชนในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย
- น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการจัดตั้ง และปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสื่อสารมวลชนและการรับข้อมูลจากประชาชน
- รมว.สาธารณสุข รับผิดชอบการจัดระบบสาธารณสุขในการดูแลประชาชน
- รมว.กลาโหม รับผิดชอบการประสานงานฝ่ายความมั่นคงในการเข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ และ
- รมว.กลาโหม รับผิดชอบการจัดตั้งและปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวนวยการศูนย์ประสานงานรับ-ส่งต่อความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
อย่างไรก็ตามคำสั่งที่ออกมาในช่วง เหตุการณ์ มีจำนวนมาก แต่ไม่มีความชัดเจนว่า หน่วยงานไหนเป็นศูนย์กลาง ทำให้ภาพที่เห็นในพื้นที่หาดใหญ่ คือควาช่วยเหลือของหน่วยกู้ภัย และชาวบ้านที่ช่วยเหลือกันเอง
“คำสั่งเยอะ” แต่ความล้มเหลว
หลังเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี จะออกมายอมรับความผิดพลาดในการบริหารจัดการ แต่ในช่วงของการบริหารจัดการเหตุการณ์ มักจะมีคำว่า “ไม่ว่าช้า “ รัฐบาลทำงานได้มันสถานการณ์
แต่ในท่างปฏิบัติหน้างานจึงกลับไปอยู่ในสภาวะสับสน แม้จะมีคำสั่งออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รู้ว่าซิงเกิลคอมมานด์ตัวจริงคือใคร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิตางศุ์ ตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนรัฐมนตรีเข้าใจโครงสร้างการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤหรือไม่ เพราะถ้าเข้าใจคงไม่ต้องใช้กฎหมาย 3 ฉบับในการตั้งคนจำนวนมากดูแลเหตุการณ์ สุดท้ายแล้วใครคือผู้บัญชาการสูงสุด ใครคือ ซิงเกิลคอมมานด์
“เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เสียใจ มันทำให้เกิดคามสูญเสียมากมายขนาดใหญ่ มันเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ เหตุการณ์รอบนี้ให้อภัยไม่ได้ เป็นความล้มเหลวที่ให้อภัยไม่ได้ ของการบริหารจัดการน้ำ”
บทเรียนมหาอุทกภัยหาดใหญ่ ที่เกิดขึ้นทำให้เราพบว่าเราวิเคราะห์สถานการณ์ช้าเกินไป หรือ ไม่มีการวิเคราะห์สถานการณ์เลยด้วย ทั้งๆที่มีข้อมูล หน่วยงานกลาง เราไม่ได้วิเคราะห์ทำให้ไม่รู้ว่าจะข้อมูลเอาอะไรไปส่งต่อให้ท้องถิ่น
“พอให้ท้องถิ่นไปวิเคราะห์เอง อย่างเช่นที่เห็นนายกเทศมนตรีหาดใหญ่บอกว่า เอาอยู่จัดการได้ ซึ่งท้องถิ่นไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์การจัดการน้ำได้เอง เพราะเขาไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของปริมาณน้ำ เพราะฉะนั้นท้องถิ่นทำไม่ได้ต้องอาศัยส่วนกลาง แต่พอส่วนกลางล้มเหลวมันไปไม่ได้ ขณะที่ส่วนกลางก็สอบตก แม้จะบอกว่ามีแผนอยู่แล้ว แต่แผนคืออะไร เคยซ้อมหรือไม่”
5 บทเรียน มหาอุทกภัยหาดใหญ่
ขณะที่ สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ออกมาระบุถึง บทเรียนมหาอุทกภัยน้ำท่วม อ. หาดใหญ่ ปัญหาคืออะไร? และแนวทางแก้ไขควรเป็นอย่างไร?
- 1.ระบบรวมศูนย์อำนาจ การตัดสินใจและปฏิบัติการของส่วนกลางโดย ตรงจะทำให้การรับมือภัยพิบัติล่าช้า โดยหลักการแล้วจะต้องมีศูนย์บัญชา การภัยพิบัติที่ส่วนกลาง โดยมีประธานคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ(กนช) เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกที่ได้รับมอบหมาย และทำการสื่อสารกับประชาชนเพียงหน่วยเดียว ขณะที่ในพื้นที่จะต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชา การเหตุการณ์และนายกองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นผู้ช่วยเพื่อเตรียมจัดทำแผน เตรียมการ แผนสื่อสาร แผนเผชิญเหตุ แผนอพยพ แผนฟื้นฟู โดยต้องลงรายละเอียดเป็นระดับ Action plan ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร?
- 2.ขาดความเอกภาพ การประสานงานระหว่างหน่วยงานระดับต่างๆ ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน. สทนช หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำท่วมของประ เทศโดยมีกนช.เป็นคณะกรรมการระดับชาติในการตัดสินใจ รวบรวม ประ เมินสถานการณ์ต่างๆในพื้นที่ที่อาจจะประสบภัยโดยข้อมูลมาจากหน่วยงานต่างๆที่อยู่ในกรรมการ
เช่นกรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ เป็น ต้น เมื่อได้ข้อมูลจะต้องประมวลผล ว่าจะมีความเสี่ยงที่ใด ระดับไหน จะต้องแจ้งเตือนและให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยต้องตั้งทีมที่ปรึกษาลงไปช่วยเหลือ
แต่ครั้งนี้ การประเมินผลในการวิเคราะห์ปริมาณน้ำและสถานที่ที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างไม่ชัดเจน เพียงแต่บอกว่าฝนจะตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ให้ระวังจะเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงวันที่19 พ.ย. ถึง 25พย.68
ขณะที่จังหวัดก็ไม่ได้มีการเตรียมการรับมือด้วยความประมาทเลินเล่อ เพราะคิดว่าหาดใหญ่สามารถระบายได้เร็วเหมือนปีก่อนๆ จึงไม่ได้ตั้งศูนย์บัญชาการระดับจังหวัดหรือเรียกว่า EOC (Emergency Operation Center)และไม่ได้เตรียมแผนรับมือที่ชัดเจน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินรุนแรง
ขณะที่นายกรัฐมนตรีกลับตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อแก้ไขปัญหาช่วยเหลือ ประชาชนและฟื้นฟูในพื้นที่เดียวกันหลายทีมทำให้เกิดความสับสนแก่ผู้ปฏิบัติ
- 3. ระบบแจ้งเตือนภัยถึงประชาชน แต่ไม่ชัดเจน การสื่อสารข้อมูลจากหน่วยงานรัฐไม่ชัดเจนและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง Cell Broadcast ทำงานถึงโทรศัพท์มือถือของประชาชนถึง 90% แต่การแจ้งเตือน บอกแต่เพียงว่าฝนตกหนัก เก็บของขึ้นสูง เตรียมการอพยพ แต่ไม่ชัดเจนว่าอพยพที่ใด เส้นทางไหน เมื่อไหร่?
- 4.ประชาชนไม่ตื่นตัวพอ จากการแจ้งเตือนจากภาครัฐไม่ชัดเจน และไม่เน้นมากพอว่าน้ำท่วมระดับใดจึงจะให้ประชาชนต้องอพยพออกจากบ้าน ไปพักพิงที่ใด เนื่องจากไม่เคยมีการฝึกซ้อมและบอกประชาชนให้ปฏิบัติตามแผนดังกล่าว ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้มากกว่าที่เคยประสบมาทำให้หลายคนไม่เตรียมพร้อมและอพยพไม่ทัน.
- 5.การพัฒนาเมืองส่งผลกระทบ การก่อสร้างที่รุกล้ำลำน้ำทำให้น้ำไหลได้ไม่สะดวกและระดับน้ำสูงขึ้น. ผังเมือง หาดใหญ่มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเต็มเมือง รวมทั้งมีถนนที่ขวางทางน้ำ ขณะที่ไม่มีพื้นที่ซับน้ำเหลืออยู่เลย ต้องพึ่งของอู่ตะเภาและคลองร.1อย่างเดียว จึงทำให้ถูกน้ำท่วมได้โดยง่าย
ข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไข
- กระจายอำนาจให้จังหวัด ให้จังหวัดมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการจัด การภัยพิบัติโดยตรงและต้องเชื่อมโยง และประสานข้อมูลร่วมกับศูนย์ภัยพิบัติ ส่วนกลางโดยปฏิบัติตาม พ.ร.บป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย2550 หาก สถานการณ์รุนแรงมาก จังหวัดจัดการไม่ไหว ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้บัญชาการภัยพิบัติโดยตรง สามารถสั่งทุกหน่วยงานให้มาร่วมแก้ไขปัญหา
- ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ปัญหาน้ำท่วมเป็นวาระสำคัญทั้งระดับชาติและท้องถิ่นโดยบูรณาการการจัด การทั้งสองระดับ คือ ระดับบน: สั่งการที่เป็นเอกภาพและชัดเจน. และระดับล่าง : พัฒนาแผนการจัดการโดยมีที่ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและเร่วมแก้ไขปัญหา
- การแจ้งเตือนภัย สร้างองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นเพื่อเป็นช่องทางแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจนโดยต้องแจ้งข้อมูลปริมาณน้ำ ระดับน้ำ ระยะเวลาท่วมขัง และจุดเสี่ยงภัยให้ประชา ชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลเป็นระยะๆ รวมทั้งเมื่อถึงจุดวิกฤตก็ต้องบอกว่าอพ ยพไปที่ใด จุดไหน อย่างไร?
- จัดการผังเมืองควบคู่ไปกับการจัดการผังน้ำ สำรวจพื้นที่รุกล้ำลำน้ำและที่ดินเสี่ยง สร้างแก้มลิงหรือคลองผันน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ
- สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประ ชาชนในพื้นที่ ทำแผนความรู้ให้ชุมชน ร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ ,เตรียมเครื่องมือและกำหนดจุดอพยพที่ชัดเจน
- ฟื้นฟูสภาพจิตใจ เหตุการณ์กลับ มาสู่ปกติ นักจิตวิทยาควรเข้ามาช่วยเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยหลังน้ำลด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




