ThaiPBS Logo

ตรวจแถวระบบรับน้ำกทม. รองผู้ว่าฯลั่นน้ำเท่ามหาอุทกภัยปี 54 ก็”เอาอยู่”

2 ต.ค. 256815:21 น.
ตรวจแถวระบบรับน้ำกทม. รองผู้ว่าฯลั่นน้ำเท่ามหาอุทกภัยปี 54 ก็”เอาอยู่”
  • กทม.ยืนยันคนกรุงเทพไม่ต้องกังวล น้ำไม่ท่วมซ้ำรอยปี 54 แม้ระดับน้ำเหนือในเขื่อนเจ้าพระยาตอนบนจะใกล้เคียงกัน
  • 3 ปี “ผู้ว่าฯชัชชาติ” ขุดลอกคลองทั้งระบบ  ปิดจุดเสี่ยง 737 จุด ติดเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ 200 จุด สร้างกำแพงกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา 88 กิโลเมตร
  • เตรียมระบบพยากรณ์ล่วงหน้า 3 ชั่วโมง มั่นใจระบายน้ำไม่เกิน 2 ชั่วโมง ไม่มีน้ำท่วมรอระบายค้างคืน
สำรวจระบบระบายน้ำกทม. รองผู้ว่าฯมั่นใจ คนกรุงจะไม่เห็นภาพน้ำท่วมซ้ำรอยปี 54 หลัง 3 ปีเข้ามาบริหาร เร่ง"พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำโดยใช้ฐานข้อมูล" สร้างกำแพงกันแม่น้ำเจ้าพระยา 88 กิโลเมตร ปิดจุดเสี่ยงน้ำท่วม 737 จุด ติดเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำทั่วกรุง จับมือญี่ปุ่น พัฒนาระบบพยากรณ์ล่วงหน้า 3 ชั่วโมง

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์น้ำปี 68  ปริมาณฝนรวมของประเทศไทยมีค่าสูงกว่าปกติทุกภาค ส่งผลให้ปริมาณน้ำเขื่อนขนาดใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยามีระดับกักเก็บเกิน 80 %  โดยเขื่อนสิริกิติ์ อยู่ที่ 89 % เขื่อนภูมิพล 81 %  เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 79 %   โดยปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับระดับน้ำในปี 2554

ขณะที่สถานการณ์พายุ และปริมาณฝนยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทำให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ปลายลุ่มน้ำเจ้าพระยาทำให้หลายคนกังวลว่า ระบบบริหารจัดการน้ำของกทม.รับมือกับปริมาณจากลุ่มเจ้าพระยาได้หรือไม่ จะซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54 หรือ ปี 65 หรือไม่

Policy Watch Thai PBS” ตรวจสอบระบบบริหารจัดการน้ำกรุงเทพมหานคร กับ วิษณุ  ทรัพย์สมพล  รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ดูแลระบบระบายน้ำ กทม.ถึงการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมปี 68

“ ไม่น่าจะเห็นภาพน้ำท่วมใหญ่ แม้ปริมาณน้ำในเขื่อนลุ่มเจ้าพระยาจะมีสูงเกือบเท่ากับปี 54  แต่เราก็ไม่ได้ประมาท  และ ไม่อยากให้คนกรุงเทพกังวล”

ปริมาณฝนเดือน ก.ย.สูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี

ความมั่นใจต่อระบบบริหารจัดการน้ำของ “รองวิษณุ” ไม่ได้เกิดขึ้น โดยปราศจากหลักฐาน และข้อมูล  แต่มาจากพัฒนาการของระบบนับจากวันแรกที่ทีมผู้ว่า “ชัชชาติ  สิทธิพันธ์”  เข้ามาบริหารในปี 2565  และในปีนั้นปัญหาน้ำท่วมค่อนข้างรุนแรง  จนกลายเป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในวันนี้

การบริหารจัดการน้ำ กทม.จึงเริ่มจากการใช้ฐานข้อมูลในการบริหารจัดการเป็นหลัก ซึ่งหากประเมินสถานการณ์น้ำในปี 68  โดยแยกปัญหา 3 น้ำ ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมกรุงเทพ คือ “ น้ำฝน, น้ำทะเลหนุน และน้ำเหนือ

หากเทียบปัญหา 3 น้ำพบว่า ปริมาณน้ำฝน คือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วม กทม.โดยเฉพาะเมื่อนำปัญหาน้ำท่วมในปี65 มีสาเหตุหลักมาจากน้ำฝนเป็นหลัก โดยในเดือนกันยายน มีปริมาณฝนทั้งเดือนประมาณ 800 มิลลิเมตรมากกว่าค่าเฉลี่ยฝน 30  ปีซึ่งอยู่ที่ 320 มิลลิเมตร  ค่าเฉลี่ยฝนในปี 65 จึงเกินกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีมากเกือบ 3 เท่า ทำให้ปีนั้นมีปัญหาน้ำท่วมหลายจุด

“ถ้าจำกันได้ ปี 65 ทีมผู้ว่าชัชชาติฯ พึ่งเข้ามารับตำแหน่งทำให้การบริหารจัดการวุ่นวายพอสมควร เราจึงนำเอาข้อมูลปัญหาน้ำท่วมมาเป็นฐานในการใช้บริหารจัดการระบบจนถึงตอนนี้”

ข้อมูลน้ำท่วมในปี 65ถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาจุดเสี่ยง และนำมาลงในแผนที่จุดเสี่ยงน้ำท่วมกทม.ซึ่งพบว่ามีทั้งหมด 737 จุดเสี่ยง และมีปัญหาน้ำท่วมจากน้ำฝน  617 จุด และมาจากน้ำเหนือ ,น้ำหนุน ประมาณ 120 จุด

ฐานข้อมูลจุดเสี่ยงน้ำท่วมในปี65 ถูกนำมาวิเคราะห์ หาแนวทางป้องกัน และพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อแก้ไข ทำให้ตลอด3ปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร เริ่มทยอยปรับปรุงแก้ปัญหาที่ละจุด

“เราเริ่มจากการแก้ปัญหาระบบระบายน้ำ แบบเส้นเลือดฝอยก่อน โดยขุดลอกคลอง ในปีแรก ผู้ว่าฯชัชชาติขุดลอกคลองจำนวนมาก เพื่อทำให้ระบบระบายได้ดีขึ้น”

“วิษณุ” เห็นว่า การวางแผนบริหารจัดการจากฐานข้อมูลในปี 65 เริ่มออกดอกออกผลในปี 66 สถาการณ์ระบายน้ำดีขึ้น และปี 67 ก็ดีเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่จุดเสี่ยงน้ำท่วมก็ลดจำนวนน้อยลง  แม้จะมีบางจุดที่ก็ยังมีปัญหาน้ำท่วม เช่น ดอนเมือง  ลาดพร้าว  เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบ

“ไม่กังวล”ปัญหาน้ำท่วมปี 68

การบริหารจัดการแบบมีฐานข้อมูลทำให้ “วิษณุ” ไม่กังวลกับสถานการณ์น้ำท่วมปี 68 แม้ประเมินสถานการณ์ในปีนี้พบว่าค่าเฉลี่ยปริมาณฝนเดือนกันยายนสูงกว่า 320 มิลลิเมตร แต่ที่ผ่านมา ได้ปิดจุดเสี่ยงน้ำท่วมไปแล้ว 617 จุด  แม้จะเหลืออีกประมาณ 120 จุด แต่ก็เป็นจุดเสี่ยงที่ได้วิเคราะห์จุดอ่อน และได้เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องสูบน้ำ และกระสอบทรายเพื่อรับมือเอาไว้แล้ว

“ส่วนใหญ่จุดที่ท่วมจะเป็นจุดเดิมๆ ทำให้ข้อมูลที่เรามีอยู่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้ามีน้ำท่วมจุดใหม่ ต้องตั้งสมมุติฐานว่าเกิดอะไรขึ้น มีการก่อสร้างหรือไม่ มีอะไรไปบล็อกการระบายน้ำหรือไม่ เราจะส่งทีมลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ทันที ซึ่งการทำงานทั้งหมดอาศัยข้อมูลที่เราทำไว้ร่วมด้วย”

ความแตกต่างของการบริหารจัดการน้ำหากย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่าน ในปี65 ทีมผู้ว่าฯ ชัชชาติ พึ่งเข้ามาบริหาร ยังขาดข้อมูล ทำให้การบริหารจัดการน้ำ ขึ้นอยู่กับความชำนาญ และเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่คุ้นเคยพื้นที่แตกต่างกันไป

การบริหารจัดการน้ำจึงเป็นเรื่องยาก หากเจ้าหน้าที่ดังกล่าวถูกย้ายเขต หรือมีเจ้าหน้าใหม่ย้ายเข้ามาทำงาน แต่ขาดข้อมูล แตกต่างจากปัจจุบันที่การบริหารจัดการน้ำมีฐานข้อมูล 737 จุดเสี่ยง จุดอ่อน ปัญหา และทิศทางไหลของน้ำ โดยทุกคนเห็นข้อมูลพร้อมกันผ่านทางระบบออนไลน์ ลดการตื่นตระหนก ทำให้ตัดสินใจจัดการน้ำได้ดีขึ้น

ตั้งระบบเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำคุมพื้นที่เสี่ยง

“ตอนนี้ เราสามารถรับรู้ข้อมูลปริมาณน้ำในคลองแม่น้ำ  ผิวถนน โดยติดตั้งระบบเซนเซอร์วัดระดับน้ำ เพื่อดูทิศทางการไหลของน้ำเป็นยังไง เพื่อตัดสินใจจะระบายน้ำไปในทิศทางไหน และดูว่าจุดไหนมีปัญหาบ้าง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นเรียลไทม์ ออนไลน์ที่เจ้าหน้าที่จะเห็นพร้อมกัน”

การติดเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำท่วม ขณะนี้มีทั้งหมด 200 จุด จากเดิมมีอยู่แล้วประมาณ 100 จุด แต่เมื่อเข้ามาบริหารติดเพิ่มอรีกประมาณ 100 กว่าจุด ซึ่งเป็นจุดที่ฝนตกมาแล้วเกิดปัญหาท่วมเป็นประจำและเสี่ยงที่สุด ทำให้สามารถประเมินปัญหาในภาพรวมเพื่อตัดสินใจบริหารจัดการได้รวดเร็วมากขึ้น

“ สถานการณ์ปริมาณฝนเดือนกันยายนปีนี้อยู่ที่ 324 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าเฉลี่ยฝน 30 ปี  ประมาณ 300 มิลลิเมตร แต่อย่างไรก็ตาม เรายังรับมือได้ เพราะว่าเราเคยรับมือปริมาณน้ำที่ฝนที่มากกว่านี้”

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ยังกังวล คือ พฤติกรรมการตกของน้ำฝน หากมีลักษณะการตกแบบที่เรียกว่า Rain Bomb (เรนบอม) หรือ ปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างรุนแรงและฉับพลันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ปริมาณน้ำฝนเกินขีดจำกัดและก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน

 “น้ำเหนือ ในเขื่อนหลักเท่ากับปี 54 แต่เอาอยู่”  

ส่วนสถานการณ์น้ำเหนือ ขณะนี้ยังไม่น่ากังวลเช่นกันแม้ว่า  ความจุน้ำในเขื่อนค่อนข้างสูงเหมือนปี 54  โดยสน้ำเขื่อนภูมิพล ประมาณ 80 %  และเขื่อนสิริกิติ์ประมาณ 90 % และมีการระบายน้ำมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปีนี้แตกต่างจากปี 54 เพราะมีการจัดการน้ำร่วมกันมากขึ้น โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช) เป็นตัวกลางบริหารจัดการน้ำร่วมกับ กรมชลประทาน ปรับระบบริหารจัดการน้ำมีการประชุมประเมินสถานการณ์ร่วมกัน เพื่อรับมือ

“มีการประชุมร่มกันมีการพยากรณ์ร่วมกันว่าจะมีปริมาณน้ำเท่าไหร โดยมีข้อตกลกว่าจะไม่ระบายน้ำเกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร ต่อวินาที โดยสามารถประเมินล่วงหน้าร่วมกันได้จนสามารถวางแผนรับมือได้ทัน”

ขณะที่ระบบป้องกันของกรุงเทพมหานครมีศักยภาพในการรับมือน้ำสูงมาก เนื่องจากสามารถสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาโดยรอบรวมทั้งหมดประมาณ 80 กิโลเมตร แต่หากรวมพื้นที่เอกชนประมาณ 88  กิโลเมตร ความสูงสามารถไล่ตามลำดับตั้งแต่ 2.5 เมตร ไปจนถึง  3.5  เมตร  โดยใช้ฐานข้อมูลปี54 ในการคำนวณสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมทำให้มีระดับกำแพงสูงขึ้น

“ปัจจุบันเราสามารถสร้างเขื่อนกั้นน้ำเสร็จเกือบทั้งหมด เหลือแนวฟันหร่อบ้างประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ดินของเอกชน  โดยจุดฟันหร่อได้เตรียมกระสอบทรายเอาไว้”

ส่วนเขื่อนกั้นน้ำ จะแตกหรือไม่หากปริมาณน้ำเหนือและน้ำหนุนเข้ามาพร้อมๆกัน “วิษณุ” บอกว่า  เราตรวจสอบแล้วว่าแข็งแรงพอ แต่อาจจะมีบางจุดซึมๆ โดยข้อมูลจากปี 65 ว่ามีจุดรั่วซึมหรือ จุดฟันหลอประมาณ 20 จุด แต่ก็ได้มีการซ่อมแซมไปแล้ว

“หากประเมินน้ำเหนือตอนนี้  เราไม่ประมาท แต่ไม่อยากให้ประชาชนต้องกังวล  คงไม่มีภาพน้ำท่วมใหญ่ให้เห็น เพราะเราเตรียมรับมือเอาไว้เต็มที่แล้ว แต่เรากังวล ฝนตกแบบเรนบอม (Rain Bomb)คือ ฝนตกจุดเดียวหนักๆตั้งแต่ 120 มิลลิเมตร เป็นเรื่องที่เรากังวล เช่น ที่บริเวณลาดพร้าว ที่ฝนตกหนักจนทำให้ระบายน้ำได้ช้า แต่สิ่งที่เราคาดหวังว่าเราไม่อยากให้พื้นที่ไหนมีน้ำท่วมข้ามคืน”

ไม่มีน้ำท่วมข้ามคืน -ระบายไม่เกิน 2 ชั่วโมง

วิษณุ บอกว่า ตั้งเป้าหมายภายในร่วมกับทีมงานระบายน้ำของกทม.คือต้องไม่มีน้ำท่วมข้ามคืน และต้องระบายน้ำไม่เกิน  2 ชั่วโมง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ต้องทำให้ได้แบบนี้ แต่อาจจะมีบางพื้นที่หนัก ๆที่อาจจะมีท่วมข้ามคืน แต่เราจะระดมทีมไปลงเพื่อช่วยเร่งระบาย

“ผมว่าปีนี้ง่ายขึ้น เพราะพื้นที่น้ำท้วมหนัก เหลือไม่กี่จุด ทำให้เราสามารถจัดสรรทรัพยากรลงไประดมช่วยกันได้เต็มทีในจุดที่มีปัญหา  โดยถนนใหญ่จะไม่มีปัญหาท่วมข้ามคืน แต่ที่เจอท่วมข้ามคืนคือพื้นที่เอกชน และชุมชน ซึ่งเราจะช่วยระบายน้ำจากข้างนอก และเข้าไปช่วยเร่งสูบให้ดีขึ้น”

อุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำทำงานเต็มศักยภาพ

ส่วนศักยภาพของอุโมงค์ระบายน้ำ  “วิษณุ” อธิบายว่า คนมักจะไม่เข้าใจการทำงานของอุโมงค์ระบายน้ำว่าเข้าไปช่วยระบบระบายน้ำของ กทม.อย่างไร  โดยระบบระบายกทม.จะประกอบด้วยคลองหลัก 4 คลอง ระบายน้ำด้านเหนือลงใต้ จะมีคลองเปรมประชากร  และ คลองลาดพร้าว ส่วนการระบายน้ำตะวันออกและตะวันตก จะมีคลองแสนแสบ กับคลองประเวศ

ขณะที่อุโมงค์ระบายน้ำ ทำหน้าที่ช่วยคลองสายหลักเป็นทางด่วนให้ระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  เช่น คลองแสนแสบแทนที่จะระบายน้ำผ่านคลองไปเรื่อยๆจนออกเจ้าพระยา แต่เมื่อมีการใช้อุโมงค์แสนแสบขุดใต้ดินเป็นทางด่วนระบายน้ำออกเจ้าพระยาได้เลย ดังนั้น หน้าที่ของอุโมงค์ระบายน้ำคือทางด่วนการระบายน้ำ

ปัจจุบันการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำแล้วเสร็จ 4 อุโมงค์  ประกอบ อุโมงค์ประชาราษฏร สาย 2  ,อุโมงค์บึงมักกะสัน ,อุโมงค์คลองแสนแสบ และ อุโมงค์บางซื่อ อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่จะก่อสร้างทั้งหมด 13 อุโมงค์

“เรากำลังประเมินว่าหากสร้างอุโมงค์ 13 พระอุโมงค์ อาจต้องใช้งบประมาณสูง จึงอาจพิจารณาเลือกจุดก่อสร้างที่เหมาะสม โดยขณะนี้จุดอ่อนของเราคือ  คลองประเวศ คลองพระโขนง และ คลองลาดพร้าว ที่กำลังก่อสร้างอุโมงค์ ที่จะขยายต่อไปออกไปถึงวัดลาดพร้าวยังไม่เสร็จ และคลองลาดพร้าวยังทำเขื่อนไม่ได้เนื่องจากยังมีผู้รุกล้ำคลอง”

นอกจากอุโมงค์ยักษ์ที่ช่วยระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีคลองย่อยอีก 1,600 คลองที่เข้ามาเป็นเส้นเลือดฝอยในการช่วยระบายน้ำ แต่ระบบคลองที่ยังระบายได้ไม่เต็มศักยภาพ คือ คลองประเวศ พระโขนง ที่ยังไม่มีเขื่อน ทำให้เวลามีระดับน้ำในคลองประเวศสูงพื้นที่บริเวณนั้นยังเสี่ยงน้ำท่วม ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไข

กทม.พัฒนาระบบพยากรณ์”3ชั่วโมง”

“วิษณุ”มั่นใจว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมปัญหาวิเคราะห์จัดอ่อน และจุดเสี่ยง พร้อมทั้งพัฒนาระบบพยากรณ์อากาศต้นทาง โดยร่วมมือกับ weathernews japan ในการทำแบบจำลอง โดยใช้ข้อมูลเรดาร์ในจากกรมอุตุนิยมวิทยา มาประมวลวิเคราะห์ด้วยเอไอ เพื่อพยากรณ์อากาศใน 3 ชั่วโมง

“การคาดการณ์  3 ชั่วโมงทำให้เรามีเวลาวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะเราจะรู้พื้นที่ฝนตกหนักในจุดไหน และนำเอาทีมไปเพื่อป้องกัน หรือ เตือนประชาชนได้ทัน”

ส่วนที่สองคือ เราพัฒนาการติดเซ็นเซอร์ทั้งผิวถนน และในคลองหลัก คลองย่อย ทำให้มีข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการตัดสินใจบริหารจัดการได้ดีขึ้น

นอกจากนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาระบบเอไอที่ช่วยการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของคน แต่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เป็นโมเดลในการตัดสินใจ

“ผมว่าการบริหารเมืองด้วยข้อมูล ทำให้เราจัดการน้ำได้ดีขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น และในอนาคตใช้เทคโนโลยีมาช่วยลดการใช้ดุลพินิจของคนทำให้การบริหารจัดการน้ำดีมากขึ้น”

สร้างกำแพงกันคลื่นต้องเป็น “วาระแห่งชาติ”

ส่วนปัญหาน้ำทะเลหนุน และการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งปัจจุบันน้ำทะเลหนุนเข้ามาลึกขึ้นหลายจุด เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น จนทำให้น้ำเค็มหนุนเข้ามาในพื้นที่ กทม.ลึกขึ้นมาในเขตเมืองมากขึ้น

การสร้างกำแพงกันคลื่น จึงควรเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลควรมีแผนป้องกันระยะยาว และถือ เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศที่ต้องตัดสินใจวันนี้  เพราะผลการศึกษาพบว่าระดับน้ำทะเลสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่พื้นที่กทม.ติดชายฝั่งทะเลมีเพียงเขตบางขุนเทียนเท่านั้น

น้ำทะเลหนุนสูง 9-10 ต.ค.มั่นใจ “รับมือได้”

ส่วนสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในวันที่ 9-10 ต.ค. ขณะที่ ระดับน้ำในเขื่อนลุ่มเจ้าพระยาตอนบนมีระดับน้ำสูงเทียบเท่าปี 2554 และเตรียมปล่อยน้ำลงมา 2,500 ลบ.ม./วินาที นั้น

“วิษณุ” เชื่อว่าน่าจะรับมือได้ เนื่องจากกำแพงกั้นน้ำเจ้าพระยา ที่กทม.ก่อสร้างได้ใช้ฐานข้อมูลน้ำท่วมปี 54 ในการก่อสร้าง เพิ่มความสูงของตลิ่ง ดังนั้นจึงไม่น่ากังวล

แม้จะมีจุดรั่วซึมในแนวกำแพงได้เตรียมกระสอบทรายเอา ประมาณ 200,000 ลูก เพื่อกระจายไปยังจุดเสี่ยงต่างๆ ไว้แล้ว

นอกจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี54 มาจากสาเหตุน้ำทุ่งที่มีปริมาณมาก เนื่องจากประตูระบายน้ำบางโฉมศรีแตกน้ำไหลดเข้าทุ่ง ทำให้บริหารจัดการยาก

อย่างไรก็ตาม “วิษณุ”ค่อนข้างมั่นใจว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่เคยเกิดขึ้นในปี 54 จะไม่เกิดซ้ำรอยเนื่องจากที่ผ่านมามีการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบระบายน้ำ และการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานจัดการน้ำมากขึ้น จึงไม่อยากให้คนกรุงเทพกังวลในเรื่องนี้ เพราะ กทม.เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ  

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ทรัพยากรน้ำ

การบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำในระยะ 20 ปี

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: