อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รู้จักกันดีในฐานะ “ทุ่งรับน้ำ” แห่งลุ่มเจ้าพระยา ทุกครั้งที่น้ำเหนือไหลบ่า ทุกปีที่พายุฝนสาดซัดลงมา ชาวบ้านในบางบาลแทบจะกลายเป็นด่านแรกที่ต้องน้ำท่วมบ้าน ท่วมถนน ท่วมชีวิต
ความจริงที่ว่า “บางบาลท่วมทุกปี” ไม่ใช่เพียงคำบ่น หากแต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างการจัดการน้ำของประเทศที่ยังหาคำตอบที่ยั่งยืนไม่ได้
ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่บางหลวง บางบาล และชุมชนโดยรอบ บางครอบครัวต้องย้ายขึ้นมาอยู่บนเต็นท์พักชั่วคราวริมคันกั้นน้ำ บางครอบครัวเลือกที่จะอยู่เฝ้าบ้าน แม้จะต้องพายเรือเข้าออกทุกวัน ความคุ้นชินกับน้ำท่วมที่ชาวบ้านเอ่ยปากว่า “อยู่กับน้ำจนชิน” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเต็มใจรับ หากแต่เป็นการยอมจำนนต่อสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก
“บางบาล “ทุ่งรับน้ำ” ของประเทศ?
นางทองเจือ ไม้อบเชย อายุ 87 ปี ชาวบ้าน ต.บางหลวง อ.บางบาล เล่าว่าปีน้ำเริ่มท่วมตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2568 และขยับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปีนี้แม้จะยังไม่หนักเท่าปี 2554 หรือปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงพีคของฤดูน้ำหลาก สถานการณ์จะรุนแรงกว่านี้หรือไม่
“ท่วมทุกปี ปีไหนมากปีไหนน้อย แต่ไม่เคยหายไปเลย… ถ้าปล่อยมาเกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเมื่อไหร่ น้ำก็จะท่วมหนัก” เธอกล่าว ถึงแม้จะเคยชิน แต่ก็ยังรู้สึกเบื่อ เพราะน้ำท่วมหมายถึงความลำบาก ทั้งการอยู่ การกิน และการซ่อมแซมบ้าน
ด้าน นางแสวง จันทรพิทักษ์ อายุ 77 ปี จากชุมชนบางหลวง ที่อาศัยอยู่กับเหลนวัย 6 ขวบ เล่าว่า บ้านของเธอถูกน้ำท่วมมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ บางครั้งต้องพายเรือเข้าออก ส่งหลานไปโรงเรียนซึ่งเพิ่งปิดไปหนึ่งสัปดาห์เพราะน้ำท่วม
“อยุธยาท่วมทุกปี ไม่เคยเว้น…น้ำจะมากจะน้อยก็ท่วมทุกปี” ยายแสวงบอก และตั้งคำถามว่าทำไมปัญหาการจัดการน้ำที่พูดกันมายาวนานจึงยังแก้ไม่ได้เสียที แม้จะอยู่กับน้ำมานานจนชิน แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ท่วมอีก “ไม่ท่วมดีกว่า อยู่สบายกว่าลูกหลานไม่ต้องลำบาก”
ขณะที่เงินชดเชยเยียวยาน้ำท่วมที่ชาวบ้านได้รับในแต่ละปีได้ไม่เท่ากัน ปีที่แล้วชาวบ้านบอกว่าได้เยอะหลังละ 9,000 บาทเท่ากันทุกหลัง แต่ปีนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด และกว่าจะได้รับเงินก็มักจะล่าช้ามาโดยตลอด จึงมองว่าไม่คุ้ม อยากให้น้ำไม่ท่วมเลยจะดีกว่า
แนวโน้มน้ำท่วมภาคกลางปี 2568
อำเภอบางบาล เป็นหนึ่งใน 6 อำเภอของพระนครศรีอยุธยา ที่ต้องรับน้ำจากตอนบน เพื่อไม่ให้ปริมาณมหาศาลไหลเข้ากรุงเทพฯ บ้านหลายหลังจึงถูกออกแบบยกใต้ถุนสูง หรือ “ดีดบ้าน” ให้พ้นระดับน้ำ แต่ก็ยังไม่สามารถรับมือได้ทั้งหมด หากปีใดน้ำมากเกินไป บ้านเรือนและวิถีชีวิตก็ยังคงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่สะท้อนจากบางบาลจึงไม่ใช่เพียงเรื่อง ความเคยชินกับน้ำท่วม แต่คือคำถามเชิงนโยบายว่า ประเทศไทยจะสามารถจัดการน้ำได้จริงหรือไม่ เพื่อให้พื้นที่รับน้ำเช่นนี้ไม่ต้องตกอยู่ในวังวนความเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะ “การอยู่ในพื้นที่รับน้ำ” ไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านจะต้องยอมรับสภาพเสมอไป หากรัฐยังไม่มีระบบการชดเชยและเยียวยาที่เพียงพอ แม้จะมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ประชาชนต้องสูญเสีย
ขณะที่ “แนวโน้มสถานการณ์น้ำ” แม้ขณะนี้ฝนจะทิ้งช่วงไปบ้าง 1–2 วัน แต่ต้องเฝ้าจับตาว่าภายในไม่กี่วันข้างหน้ามีโอกาสเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะปัจจัยหลายอย่างยังคงกดดัน โดยเฉพาะน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่กำลังปล่อยน้ำลงมาเติมแม่น้ำเจ้าพระยา
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนภูมิพลมีน้ำราว 70% ระบายวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์มีน้ำเก็บกักอยู่ถึง 80% และระบายวันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เขื่อนใหญ่กำลังทำหน้าที่ชะลอและทยอยระบายน้ำเพื่อไม่ให้พื้นที่ลุ่มต่ำได้รับผลกระทบในทันที
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ หากร่องมรสุมเคลื่อนผ่านภาคกลางและมีฝนตกลงมาเพิ่มเติม ระดับน้ำเจ้าพระยาจะยกตัวสูงขึ้น แม้การระบายที่เขื่อนเจ้าพระยาจะอยู่ที่ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่หากฝนตกหนักเติมน้ำลงมาในพื้นที่อย่างสิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี ระดับน้ำก็อาจควบคุมได้ยาก
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงกันยายน–ตุลาคมยังเป็นฤดูที่พายุมีโอกาสเข้าสู่ประเทศไทย หากพายุเคลื่อนเข้ามาเสริมกับร่องฝนเหมือนกรณี “วิภา” หรือ “คาจิกิ” ในอดีต จะทำให้ฝนตกหนักเฉลี่ยมากกว่า 100 มิลลิเมตรในหลายพื้นที่ ทั้งตอนบนและตอนล่างของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งอาจก่อให้เกิดวิกฤตซ้ำเติมได้
อีกปัจจัยสำคัญคือ “น้ำทะเลหนุนสูง” ระหว่างวันที่ 18–23 กันยายน 2568 ระดับน้ำทะเลจะดันกลับเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้น้ำสูงตั้งแต่ปากอ่าวขึ้นมาถึงกรุงเทพฯ ปทุมธานี และบางครั้งอาจถึงพื้นที่ริมตลิ่งในอยุธยา หากทั้ง 4 ปัจจัย คือ น้ำเหนือ, ร่องฝน, พายุ และน้ำทะเลหนุน เกิดขึ้นพร้อมกัน ความเสียหายอาจรุนแรงกว่าที่ผ่านมา
แม้จะมีการบริหารจัดการน้ำดีขึ้นกว่าวิกฤตปี 2554 แต่ข้อมูลปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนใหญ่ปีนี้ก็ใกล้เคียงกับสถิติปีนั้น โดยปี 2554 มีน้ำรวมกว่า 22,300 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนปี 2568 อยู่ที่ราว 25,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือว่าไม่ต่างกันมากนัก ต่างเพียง 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการรับมือไม่ให้ทั้ง 4 ปัจจัยเข้ามาพร้อมกัน
“อ.ศศิน” วอนเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำ ไม่เกิน 1,900 ลบ.ม.
ล่าสุดวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมชลประทานประกาศปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเป็น 2,000–2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อลดความเสี่ยงต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ แต่ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำท้ายเขื่อนสูงขึ้น 40–60 เซนติเมตร ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะ อ.บางบาล อ.เสนา อ.ผักไห่ อ.บางไทร และ อ.บางปะอิน ต้องเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก บ้านเรือนกว่า 25,000 ครัวเรือนได้รับผลกระทบ
ทุ่งรับน้ำบางบาลและป่าโมก ซึ่งกรมชลประทานเปิดประตูระบายน้ำและท่อลอดเกือบทั้งหมดแล้ว กลายเป็นจุดรองรับมวลน้ำหลัก โดยมีการทยอยระบายเข้าทุ่งเพื่อควบคุมไม่ให้ท่วมถนนและบ้านเรือนในทุ่งรับน้ำโดยตรง
นายศศิน เฉลิมลาภ นักวิชาการอิสระด้านการจัดการน้ำ แสดงความกังวลว่า การระบายน้ำเกินกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที กำลังสร้างความเดือดร้อนรุนแรงต่อชาวบ้านในพื้นที่รับน้ำ เช่น คลองบางหลวง บางบาล และหัวเวียง ที่น้ำเอ่อล้นจนท่วมถึงชั้นสองของบ้าน ทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตามปกติ
“หากยังปล่อยเกิน 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาทีต่อไป จะทำให้ชาวบ้านที่ตอนนี้ต้องอาศัยอยู่ชั้นสองของบ้านไม่สามารถอยู่ได้อีก อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่” นายศศินกล่าว
เขาเรียกเรียกร้องให้กรมชลประทานพิจารณาลดอัตราการระบายน้ำลงมาอยู่ที่ 1,900 ลบ.ม.ต่อวินาทีหรือต่ำกว่า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเปิดโอกาสให้ชาวบ้านยังคงพอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของตนเองได้
ขณะเดียวกัน การตัดสินใจ “เอาน้ำเข้าทุ่ง” ยังไม่สามารถทำได้ทันที ต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพราะเกี่ยวพันกับปฏิทินการทำนาของเกษตรกร ปีนี้การเกี่ยวข้าวล่าช้ากว่ากำหนด ชาวนาหลายพื้นที่ยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จ หากรีบปล่อยน้ำเข้าทุ่งอาจทำให้ผลผลิตเสียหาย จึงต้องรอจังหวะที่เหมาะสม
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การจัดการน้ำไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคการระบายน้ำ แต่เป็นเรื่องความเป็นธรรมและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ชุมชน และภาครัฐ
น้ำท่วมอยุธยา จัดการไม่เป็นระบบ หรือความไม่เป็นธรรม
ผศ.ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อธิบายว่า ในเชิงพื้นที่ อยุธยามี “ทุ่งรับน้ำ” ซึ่งออกแบบไว้เพื่อหน่วงและระบายน้ำ โดยมีคันกั้นน้ำ (ที่ส่วนใหญ่เป็นถนนชลประทาน) แบ่งเขตระหว่างพื้นที่รับน้ำและพื้นที่นอกทุ่งรับน้ำ ปกติแล้วน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาจะระบายผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย แต่เมื่อมีปริมาณมาก มักเอ่อล้นเข้าพื้นที่ชุมชนนอกคันกั้นน้ำ
“คำถามคือ ทำไมไม่ระบายเข้าทุ่งรับน้ำที่เตรียมไว้ แต่ปัญหาก็คือเมื่อระบายเข้าไปแล้ว ระบบการเปิด-ปิดประตูน้ำกลับไม่ทำงานตามแผนที่วางไว้ น้ำจึงค้างอยู่และไม่สามารถผ่องถ่ายต่อได้”
ชาวบ้านมองน้ำท่วมไม่ใช่ธรรมชาติ แต่คือการจัดการ
ดร.อาทิตย์ ชี้ว่า ชาวบ้านริมน้ำจำนวนมากยอมรับว่าพื้นที่ลุ่มต่ำย่อมท่วมเป็นปกติ หลายครัวเรือนยกบ้านหนีน้ำไว้แล้วตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งเป็นปีที่น้ำท่วมใหญ่ที่สุดตามธรรมชาติ แต่ระดับและระยะเวลาน้ำท่วมปัจจุบันกลับสูงและนานกว่าที่ควรจะเป็น “ตรงนี้ชาวบ้านสะท้อนชัดว่าเป็นผลจากการจัดการน้ำ ไม่ใช่เพียงธรรมชาติ”
สิ่งที่ประชาชนต้องการ ระบบที่สอดประสานและเยียวยาที่เป็นธรรม โดยข้อเรียกร้องหลัก ๆ ที่ชาวบ้านต้องการคือ
- การเปิด-ปิดประตูน้ำอย่างสัมพันธ์กัน ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ลงมาถึงอยุธยา เพื่อกระจายน้ำไปยังพื้นที่การเกษตรที่ต้องการน้ำ ไม่ใช่ปล่อยให้ขังอยู่เฉพาะบางพื้นที่
- การชดเชยเยียวยาที่เป็นธรรม ปัจจุบันการช่วยเหลือยังล่าช้า ไม่ครอบคลุม และเน้นเพียงค่าซ่อมบ้านตามระเบียบกระทรวงการคลัง ขณะที่ชาวบ้านเสียโอกาสทั้งในด้านอาชีพและการศึกษา ซึ่งไม่ถูกนับรวม
“รัฐพูดเองว่า น้ำท่วมทุกปี แต่กลับไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า เช่น เต็นท์ เรือ หรือศูนย์อพยพสำหรับกลุ่มเปราะบาง นี่สะท้อนว่าระบบยังไม่พร้อมจริง”
ช่องว่างเชิงนโยบาย “สทนช.” กับอำนาจที่ยังไม่ถูกใช้
ตามกฎหมายทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) มีอำนาจสั่งการบูรณาการทุกหน่วยงาน แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกปล่อยให้กรมชลประทานรับผิดชอบเกือบฝ่ายเดียว
“จริง ๆ แล้ว สทนช.ขึ้นตรงต่อนายกฯ และควรใช้กลไกคณะกรรมการลุ่มน้ำเชื่อมโยงการจัดการระดับพื้นที่ แต่ทุกวันนี้เหมือนอำนาจไม่ถูกนำมาใช้จริง”
อีกประเด็นคือ การมีส่วนร่วมของชุมชน ปัจจุบันการทำประชาคมในทุ่งรับน้ำยังจำกัดแค่กลุ่มผู้ใช้น้ำจำนวนหลักร้อย ขณะที่ประชาชนในพื้นที่จริงมีเป็นหมื่น “นี่คือความไม่สมดุลที่เสี่ยงจะสร้างความขัดแย้ง”
ปัจจุบันมีแผนงานแก้ไขน้ำท่วมทั้งสิ้น 8–9 โครงการ แต่ที่เดินหน้าเพียงโครงการคลองบางไทร หรือ “เจ้าพระยาสายที่ 2” ซึ่งเน้นปกป้องพระนครศรีอยุธยาและนิคมอุตสาหกรรม ไม่ได้ช่วยบรรเทาปัญหาทุ่งบางบาลหรือเสนา–ผักไหโดยตรง
“โครงการที่ควรช่วยจริง เช่น โครงการป่าสัก หรือโครงการผันน้ำไปอ่าวไทย กลับยังไม่คืบหน้า”
เสนอโมเดล “กองทุนแบ่งปันภาระ”
มีข้อเสนอจากนักวิชาการบางส่วนว่า ควรตั้ง กองทุนจากภาคเมืองและเอกชน ที่ไม่ต้องรับน้ำ เพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายของชุมชนที่ต้องเป็นพื้นที่รับน้ำแทน
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมเองหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ก็ได้ลงทุนสร้างกำแพงและระบบป้องกันน้ำท่วมของตน ทำให้พวกเขามองว่า “ไม่ใช่รัฐจัดการ แต่เป็นความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐานที่ป้องกันตนเองได้” จึงยังไม่เข้ามามีส่วนร่วมในกองทุนลักษณะนี้
“การบริหารจัดการน้ำในปัจจุบันยังมุ่งเน้นปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและเมืองสำคัญ ขณะที่พื้นที่รับน้ำถูกเพิกเฉยทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐาน การจัดการ และการเยียวยา ความเป็นธรรมจึงยังไม่เกิดขึ้นจริง” ดร.อาทิตย์ ทิ้งท้าย

Screenshot
Google Map เผยทุ่งบางบาลพื้นที่เกษตรลด-บ่อทรายเพิ่ม กระทบศักยภาพรับน้ำ
นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด คือการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์พื้นที่ใน ชาวบ้านบอกว่าเดิมทีพื้นที่ส่วนใหญ่ของทุ่งบางบาลเป็นเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันกลับถูกแทนที่ด้วยธุรกิจบ่อทรายในอัตราที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างก้าวกระโดด โดยหลายบ่อมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
หากตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศ หรือแม้แต่ดูผ่าน Google Map ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่า พื้นที่ทุ่งบางบาลถูกบ่อทรายและโครงการก่อสร้างต่าง ๆ เข้ามาเบียดแทนที่พื้นที่เกษตรกรรมเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขกว่าในอดีต
การขยายตัวของบ่อทรายไม่เพียงทำให้การจัดการน้ำเพื่อเข้าทุ่งบางบาลทำได้ยากขึ้น แต่ยังสร้างปัญหาตามมา ทั้ง ดินเค็ม ดินเสื่อมสภาพ และการแพร่กระจายของตะกอน ไปยังพื้นที่นาข้าวและเกษตรกรรมโดยรอบ ทำให้เกษตรกรเผชิญความเสี่ยงซ้ำซ้อนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในยุครัฐบาล คสช. ยังมีคำสั่งให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พระนครศรีอยุธยา สร้าง บ่อขยะขนาดใหญ่ ในพื้นที่ทุ่งรับน้ำบางบาลอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งลดทอนศักยภาพของทุ่งในการทำหน้าที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำตามธรรมชาติ

Screenshot
คำถามใหญ่ไม่ใช่แค่ “ปีนี้จะท่วมแค่ไหน”
คำถามใหญ่เวลานี้ จึงไม่ใช่แค่ “ปีนี้จะท่วมแค่ไหน” แต่คือ “เราจะทำให้การจัดการน้ำเป็นธรรมและเท่าเทียมได้หรือไม่” เพราะในขณะที่คนเมืองอย่างกรุงเทพฯ ได้รับประโยชน์จากการที่พื้นที่ลุ่มน้ำรับภาระแทน แต่ชาวบ้านกลับต้องแบกรับความเสียหาย โดยไม่ได้รับการดูแลที่คุ้มค่า หากจะให้ระบบนี้อยู่ได้อย่างยั่งยืน
รัฐต้องสร้างความสมดุลระหว่าง “คนในเมือง” กับ “ชุมชนรับน้ำ” เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการวางนโยบาย และจัดสรรการชดเชยเยียวยาอย่างเป็นธรรมไปพร้อมๆกัน ขณะที่นักวิชาการยังตั้งข้อสังเกตว่า การชดเชยที่รัฐจัดให้มักไม่ครอบคลุม ทั้งช้าและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะค่าเสียโอกาสในการทำมาหากินและการศึกษาของเด็กๆ ในพื้นที่
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง