การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลให้สภาพอากาศ “รุนแรงขึ้น” กว่าเดิม แม้วัฏจักรจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งหากติดตามสภาพอากาศตั้งแต่ปลายปี 67 จนถึงปี 68 จะพบว่า จะพบว่าคล้ายกับในปีที่เกิดมหาอุทกภัยปี 54
ในปี 54 สถานการณ์ “ลานีญา” เริ่มมาในช่วงปลายปี จากนั้นก็หายไป แต่ทำให้เกิดฝนตกชุกในไทย แต่ “ลานีญา” ก็กลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง เช่นเดียวกับสถานการณ์ปี 68 ปรากฏการณ์ “ลานีญา” เกิดขึ้นปลายปี 67 จากนั้นก็หายไป และเริ่มมาอีกครั้งในเดือนก.ย.
จากสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เอง ทำให้เกิดพายุและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณน้ำในเขื่อน ซึ่งพบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนในภาคเหนืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 54
ปริมาณน้ำในเขื่อนปี 68 ใกล้เคียงปี 54
ปี 68 เป็นปีที่ฝนมาเร็วตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. ก่อนเริ่มต้นฤดูฝนอย่างเป็นทางการตามวันที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศคือ 15 พ.ค. 68 และยังเป็นปีที่ประเทศไทยเจอพายุเข้าหลายลูก โดยพายุลูกล่าสุด “ปาหะฮ์” นับว่าเป็นพายุลุกที่ 16 ของปี จากฝนที่ตกหนักมาตลอดทั้งปีส่งผลให้หลายพื้นที่เผชิญกับน้ำทวม โดยเฉพาะจากพายุวิภาเมื่อเดือนก.ค. ที่ทำให้หลายจังหวัดประสบปัญหาน้ำท่วมขัง ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นวงกว้าง
สภาพอากาศที่ใกล้เคียงกับปี 54 ทั้งพายุที่เข้าหลายลูก บวกกับปรากฏการณ์เอ็นโซ่(ENSO) ทำให้ชวนตั้งคำถามว่า เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ปี 54 ว่าปีนี้น้ำจะมามากแค่ไหน
จากการเปรียบเทียบ จะเห็นได้ชัดเจนว่าปริมาณน้ำในเขื่อนโดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ในภาคเหนือมีความใกล้เคียงกันมาก ในขณะที่เขื่อนขนาดใหญ่ในภาคกลางอาจจะยังไม่มีปริมาณน้ำที่สูงเท่ากับช่วงปี 54 มากนัก ฉะนั้นแล้ว ควรจับตาดูช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เขื่อนจากภาคเหนืออาจจะต้องปล่อยน้ำมากขึ้นหากมีพายุลูกใหม่เข้ามา หรือมีฝนตกหนัก
ถ้ามองที่จำนวนพายุที่เกิดขึ้นในปีนี้และที่มีผลกระทบต่อไทย จะช่วยให้เห็นภาพว่าทำไมฝนจึกตกเยอะในปีนี้ พายุที่มีอิทธิพลต่อไทยยังส่งผลให้มรสุมจากมหาสมุทรอินเดียที่มาในช่วงหน้าฝนรุนแรงขึ้นอีกด้วย
จาก ENSO เข้าสู่ “ลานีญา”
กรมอุตุนิยมวิทยาโลกประกาศว่า เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนปี 68 ไปจนถึงปลายปีจะเป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่ลานีญา(La Nina) สิ่งที่ตามมาคือฝน กรมอุตุโลกฯ คาดการณ์ว่าเดือนก.ย. มีแนวโน้มของลานีญา ที่ 55% ส่วนแนวโน้มของสภาวะเป็นกลาง ENSO-Neutral คือ 45% และเมื่อเข้าเดือนต.ค. แนวโน้มของปรากฏการณ์ลานีญา จะขยับเป็น 60%
กรมอุตุโลกฯ ชี้ว่าการเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาจะทำให้สภาพอากาศในบริเวณซีกโลกใต้มีอุณหภูมิร้อนกว่าปกติและปริมาณน้ำฝนจะอยู่ในเกณปกติของช่วงเวลาลสนีญา
การเปลี่ยนผันในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 54 ในปีนั้นปรากฏการณ์ลานีญา เริ่มต้นตั้งแต่ปี 53 ข้ามปีมายัง 54 ก่อนจะกลายเป็นสภาวะเป็นกลาง ENSO-neutral ในช่วงเดือนมิ.ย.- ก.ค. หลังจากนั้นปรากฏการณ์ลานีญากลับมาและอยู่ยาวจนถึงเดือนมี.ค. ของปี 55 ส่งผลให้มีฝนตกเยอะ
ย้อนรอย 5 พายุปี 54
นอกจากปรากฏการณ์ ENSO ที่เพิ่มความแปรปรวนให้สภาพอากาศในปี 54 แล้ว ประเทศไทยยังเจอพายุหลายลูกที่เข้ามาทวีคูณสภาพอากาศของฤดูฝน ถึงแม้พายุอาจจะไม่ได้เข้าไทยหรือศูนย์กลางไม่อยู่ที่ไทย แต่อิทธิพลของพายุส่งผลให้ฝนตกหนักและน้ำท่วมสาหัส
เดือนมิถุนายน “พายุโซนร้อนไหหม่า” เริ่มที่ทะเลจีนใต้ เข้ามาฝั่งเวียดนาม และอ่อนกำลังลงก่อนที่จะลดกำลงก่อให้เกิดหย่อยมความกดอากาศต่ำ และเคลื่อนปกคุลมที่จังหวัดน่าน ถึงแม้พายุไหหม่าจะสลายตัวไปในวันเดียว แต่พายุลูกนี้ส่งผลให้ภาคเหนือหลายจังหวัดเจอฝนตกหนักต่อเนื่อง และเกิดน้ำท่วมเฉียบพลันจากน้ำป่าไหลหลาก
ปลายเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยเจอกับ “พายุโซนร้อนนกเต็น” จากทะเลจีนใต้เข้าสู่ชายฝั่งเวียดน้ำก่อนที่จะลดระดับความรุนแรง เข้าสู้ประเทศไทยที่จังหวัดน่านเช่นเดิม ทำให้เกิดฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งเดือน ส่งผลปริมาณน้ำฝนเยอะ
เดือนสิงหาคม ร่องมรสุมกำลังแรงพัดผ่านประเทศไทยตอนบนเกือบทั้งเดือน มรสุมปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยตลอดเดือน ส่งผลให้ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออดเฉียงเหนือมีฝนตกหนักเป็นระยะๆ ก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่
เดือนกันยายน “พายุไห่ถาง” ได้เข้าฝั่งบริเวณเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังกลายเป็นพายุดีเปรสชั่น ก่อนเคลื่อนตัวไปยังประเทศลาวและอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ เข้าสู้ประเทศไทยบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
นอกจากนี้สิ้นเดือนก.ย. ยังมี “พายุไต้ฝุ่นเนสาด” ที่อยู่จนถึงต้นเดือนต.ค. พายุลูกนี้ส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกหนาแน่นตลอดเดือน เกิดน้ำท่วมในบริเวณกว้าง
เดือนตุลาคม ช่วงต้นเดือนเจอกับ “พายุไต้ฝุ่นเนสาด” ก่อนที่พายุโซนร้อนลูกใหม่ “พายุนาลแก” จะตามมาติดๆ บวกกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เข้าปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนัก-หนักมากกระจายทั่วเป็นบริเวณกว้าง
บทเรียนหลังปี 54
โครงการนี้จัดทำเพื่อปรับปรุงคลองและอาคารชลประทานในพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง จุดเริ่มต้นตั้งแต่ใต้แม่น้ำป่าสักบริเวณเขื่อนพระรามหก ผ่านคลองระพีพัฒน์ จนถึงชายทะเลอ่าวไทย เป็นการปรับปรุงโครงสร้างคลองชลประทานเดิม จำนวน 24 คลอง ความยาวรวม 505.18 กม. และมีการสร้างและปรับปรุงอาคารบังคับน้ำอีก 21 แห่ง
เจ้าหน้าที่เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำได้จากเดิม 210 เป็น 400 ลบ.ม./วินาที โดยระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา 100 ลบ.ม./วินาที แม่น้ำนครนายกและแม่น้ำบางปะกง 156 ลบ.ม./วินาที และระบายน้ำสู่ทะเลบริเวณอ่าวไทย 144 ลบ.ม./วินาที
โครงการนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง สามารถช่วยพื้นที่ได้ 7 จังหวัด พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร
ที่มา: ข้อมูลจากกรมชลประทาน และ รายงานสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 จัดทำโดยหน่วยงานปฏิบัติการวิจัยระบบจัดการแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: