เหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้เกิดการวางนโยบายและจัดการภัยพิบัติ เริ่มจากการออก พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ที่วางกรอบการการทำงาน โดยกำหนดให้ ปภ. เป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการ
โดยกำหนดขอบเขตของคำว่า “สาธารณภัย” ไว้ครอบคลุม “อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าเกิด จากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุ หรือเหตุอื่นใดซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้หมายความรวมถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรมด้วย”
ถัดมากระทรวงมหาดไทยได้ออกแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 ซึ่ง ครม. เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2565 มีมติอนุมัติแผน พร้อมทั้ง มอบหมายให้กระทรวง กรม หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ปฏิบัติการให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570
โดยแผนนี้จะเชื่อมโยงกับ แผนกระทรวง/ กรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม แผนเตรียมความพร้อมแห่งชาติ แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ.2560-2564 ) แผนยุทธศาสตร์กรม ปภ. พ.ศ. 2565-2570 ไปจนถึงแผนปฏิบัติการภายใต้แผน ปภ.ชาติ แผนแม่บทแต่ละประเภทภัย เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ แผนเผชิญเหตุแต่ละประเภทภัย แผนปฏิบัติการแต่ละประเภทภัย
และแผนสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของศูนย์ ปภ.เขต แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัด/กทม./อำเภอ/อปท./ชุมชน ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรอง ราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณี ฉุกเฉิน พ.ศ.2562
สำหรับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 กำหนดยุทธศาสตร์ ลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ โดยยุทธศาสตร์ที่ 1 การมุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย ยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพและระบบบริหารจัดการและประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านสาธารณภัย ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการภาวะฉุกเฉินแบบบูรณาการ และยุทธศาสตร์ที่ 5 การเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน
ในส่วนที่น่าสนใจคือ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ซึงมีรายละเอียดกำหนดให้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศด้านสาธารณภัย พัฒนาการจัดการองค์ความรู้ด้านการจัดการความเสี่ยงจากสาธาณภัย พัฒนาการสื่อสารความเสี่ยง จากสาธารณภัยที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการลงทุนด้านการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยแบบมีส่วนร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในทุกระดับ และ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการความเสี่ยง จากสาธารณภัย
อีกด้านหนึ่งไทยได้ลงนามใน “กรอบปฏิญญาเซนได” เป็นเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติของโลกที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากจากกรอบการดำเนินงานเฮียวโกะ (Hyogo Framework for Action 2005-2015) โดยมีประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติให้การรับรองกว่า 187 ประเทศ กรอบปฏิญญานี้เกิดขึ้นในการประชุมสหประชาชาติระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 14-18 มีนาคม 2558 ณ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น
เป้าหมายของ “กรอบปฏิญญาเซนได” คือป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงใหม่และลดความเสี่ยงที่มีอยู่โดยแบ่งแบ่งการดำเนินงานออกเป็น
“ลด 4 อย่าง เพิ่ม 3 อย่าง” โดยการลด 4 อย่าง คือ 1) ลดอัตราการเสียชีวิต 2) ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ 3) ลดความสูญเสียด้านเศรษฐกิจ และ
4) ลดความเสียหายต่อสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการพื้นฐาน และเพิ่ม 3 อย่าง คือ 1) เพิ่มแผนยุทธศาสตร์ ลดความเสี่ยงระดับชาติ และระดับท้องถิ่น 2) เพิ่มการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และ 3) เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าและข้อมูลความเสี่ยง
สุดท้ายนำมาสู่นโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
- มุ่งเน้นลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยด้วยการสร้างความตระหนักรู้ ประเมินความเสี่ยง ใช้ข้อมูล การวางแผน การลงทุน
- ส่งสริมการวิจัย ประยุกต์ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และภูมิปัญญา โดยการยกระดับการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย
- เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ให้ครอบคลุมทุกมิติ
- เสริมสร้างความเข้มแข็งการบูรณาการ ยกระดับมาตรฐานระบบ การจัดการในภาวะฉุกเฉิน การบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และทันต่อเหตุการณ์
- พัฒนาระบบการฟื้นฟูยั่งยืน ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว หรือให้ดีกว่าและปลอดภัยกว่าเดิม เพื่อลดความเสี่ยงเดิมและป้องกันความเสี่ยงใหม่
ล่าสุด นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา “เพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการสิ่งแวดล้อม
และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจะสร้างมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ ที่จะต้องได้รับความร่วมมือระหว่งประเทศ 12 ก.ย. 2567