สถิติผู้เสียชีวิตและบ้านเรือนที่พังทลายอาจถูกบันทึกไว้ในรายงานทางราชการ แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น คือความสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ทั้งครอบครัวที่ไร้ที่พึ่งพิง เศรษฐกิจครัวเรือนที่หยุดชะงัก และสังคมที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่ออนาคต เหตุการณ์ที่แม่แจ่มจึงไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมเฉพาะพื้นที่ แต่คือภาพแทนของความท้าทายระดับชาติ ที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามถึงแนวทางการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยที่เหมาะสมและยั่งยืน
ในบริบทเช่นนี้ การพิจารณามาตรการการย้ายชุมชน (relocation) และการเสริมสร้างระบบเฝ้าระวังภัยจึงไม่ใช่ทางเลือกที่หรูหราหรือไกลเกินจะคาดคิดไปเสียแล้ว หากแต่กลายเป็นความจำเป็นเชิงนโยบาย การออกแบบแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะอาศัยเพียงมุมมองทางวิศวกรรมหรือการจัดการภัยพิบัติที่เป็นนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้นไม่ได้ รัฐต้องเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ และกำหนดอนาคตของตนเอง เพื่อให้การปรับตัวต่อภัยธรรมชาติไม่เป็นเพียงการ “หนีตาย” ชั่วคราว แต่เป็นการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว
ภูมิหลังของเหตุการณ์
เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งใหญ่ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมานับเป็นภัยพิบัติที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรง บ้านเรือน 7 หลังถูกฝังกลบ มีผู้เสียชีวิต 7 ราย สูญหาย 2 ราย และประชาชนอีกหลายร้อยคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยในชั่วข้ามคืน
เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของชุมชนบนพื้นที่สูงที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซากและมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นที่แม่แจ่มเป็นพื้นที่ลาดชัน ป่าถูกทำลาย ประกอบกับการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์จึงมีสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักมีฝนตกหนักต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ปรากฏการณ์ฝนตกหนักสุดขั้ว (extreme rainfall) รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าเดิม
จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ประเทศไทยประสบกับอุทกภัย ดินถล่ม และน้ำป่าไหลหลากเฉลี่ยปีละหลายร้อยครั้ง กระจายทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานที่เป็นพื้นที่ลาดเชิงเขาและอยู่ริมแม่น้ำสายสำคัญ ขณะเดียวกันรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกในปี 2023 ยังชี้ชัดว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยประสบกับฝนตกหนักเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในช่วงสามทศวรรษหลัง และแนวโน้มนี้ยังคงทวีความรุนแรงต่อไป
อีกทั้งผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าวยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความเสียหายที่มองเห็นได้ แต่กระทบถึงความมั่นคงของมนุษย์หลายด้าน ตั้งแต่การสูญเสียที่อยู่อาศัย รายได้ และทรัพย์สิน รวมไปถึงปัญหาสุขภาพจิต ความไม่มั่นคงด้านอาหาร และความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์ดินสไลด์ที่แม่แจ่มจึงไม่ใช่เพียง “ภัยธรรมชาติ” หากแต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยซับซ้อนที่เชื่อมโยงกัน ทั้งลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาเกษตรเชิงเดี่ยว โครงสร้างทางสังคมที่เปราะบาง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
4 หัวใจของการรับมือกับภัยพิบัติในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่แม่แจ่มและหลายพื้นที่ในประเทศไทยทำให้เราเห็นชัดว่า การรอดูและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียวไม่พอแล้ว ความสูญเสียครั้งนี้บอกเราว่าต้องหาวิธีการที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากกว่าเดิม ทั้งการลดความเสี่ยง การเสริมความแข็งแกร่งให้ชุมชน และการวางแผนนโยบายให้ดีขึ้น
บทความนี้จะพาไปดู 4 เรื่องสำคัญที่เป็นหัวใจของการรับมือกับภัยพิบัติในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้แก่
- หลักการและวิธีการย้ายชุมชน ที่จะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงสูงไม่ต้องเจอความสูญเสียซ้ำ ๆ
- การให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดการยอมรับ รู้สึกเป็นเจ้าของ และเกิดความเชื่อใจกัน
- การฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถผ่านพ้นความสูญเสียและสร้างฐานเศรษฐกิจ-สังคมใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
- การวางแผนนโยบายและการบริหารงาน ที่รวมหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าด้วยกัน ภายใต้การจัดการภัยพิบัติที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
การดูแลทั้ง 4 เรื่องนี้ไม่เพียงช่วยลดความเปราะบางของชุมชน แต่ยังเป็นการเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่กำลังรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายที่ประเทศไทยต้องเอาจริงเอาจังแล้ว
1. หลักการและมาตรการย้ายชุมชน (Relocation)
ภัยพิบัติทางธรรมชาติมักสร้างความสูญเสียรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การย้ายชุมชนไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการป้องกันความสูญเสียซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการดังกล่าวไม่ใช่เพียงการ “โยกย้าย” ทางกายภาพ แต่ยังเป็นกระบวนการเชิงสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายที่ซับซ้อน (Nalau & Handmer, 2018)
หลักการสำคัญ
การย้ายชุมชนที่มีประสิทธิภาพควรตั้งอยู่บนหลักการ “Build Back Better” ซึ่งหมายถึงการสร้างพื้นที่ใหม่ที่ไม่เพียงปลอดภัยกว่า แต่ยังต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น ระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงบริการสาธารณะ และโอกาสทางอาชีพ การย้ายชุมชนจึงไม่ควรเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว แต่ควรเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงยั่งยืน (Iuchi, 2023) ซึ่งในทางปฏิบัติ การย้ายชุมชนมีหลายรูปแบบ ได้แก่
ข้อดีและข้อท้าทาย
ข้อดีของการย้ายชุมชน คือ การลดความเสี่ยงและความสูญเสียในระยะยาว แต่ในอีกด้านหนึ่ง การย้ายถิ่นฐานสามารถสร้างความท้าทายใหม่ เช่น การสูญเสียความผูกพันกับพื้นที่ดั้งเดิม ปัญหาการปรับตัวด้านเศรษฐกิจ และการลดทอนทุนทางสังคม (social capital) ของชุมชน หากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ชุมชนอาจเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงและความไม่พอใจในระยะยาว (Iuchi, 2023)
เงื่อนไขความสำเร็จ
การวางแผนย้ายชุมชนที่ยั่งยืนจึงต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่
- เศรษฐกิจ: การเข้าถึงงาน รายได้ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่ใหม่
- บริการสาธารณะ: โรงเรียน โรงพยาบาล และระบบสาธารณูปโภคที่เพียงพอ
- ทุนทางสังคม: การรักษาเครือข่ายชุมชน ความสัมพันธ์ทางครอบครัว และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
- การมีส่วนร่วมของชุมชน: เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ์ตัดสินใจตั้งแต่การเลือกพื้นที่ ออกแบบที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการฟื้นฟูวิถีชีวิตในพื้นที่ใหม่ เพื่อสร้างความยอมรับและความเป็นเจ้าของ (Nalau & Handmer, 2018)
กล่าวได้ว่า มาตรการย้ายชุมชนไม่ใช่คำตอบตายตัว หากแต่เป็นเครื่องมือที่ต้องถูกออกแบบและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยเน้นความสมดุลระหว่างความปลอดภัย ความยั่งยืน และความต้องการของชุมชน
2. การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Participation and Governance)
การย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงจากคำสั่งของรัฐหรือการวางแผนจากส่วนกลาง หากปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของประชาชนในพื้นที่ มาตรการ relocation มักประสบกับแรงต้าน ความไม่พอใจ และบางครั้งนำไปสู่การที่ชุมชนละทิ้งพื้นที่ใหม่เพื่อกลับไปยังที่เดิม ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการขาดการมีส่วนร่วมไม่เพียงบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ แต่ยังทำให้การย้ายชุมชนไม่ตอบโจทย์วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความต้องการทางเศรษฐกิจของผู้ได้รับผลกระทบ (Iuchi & Mutter, 2020)
ในส่วนนี้แนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจึงเป็น การจัดการภัยพิบัติบนฐานชุมชน (Community-Based Disaster Risk Management: CBDRM) ซึ่งมุ่งเน้นให้ชุมชนเป็นผู้มีบทบาทหลักในกระบวนการคิด ตัดสินใจ และออกแบบมาตรการย้ายถิ่นฐาน CBDRM ไม่เพียงสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (ownership) ต่อโครงการ แต่ยังเสริมสร้างความเข้มแข็งของทุนทางสังคมและความไว้วางใจระหว่างรัฐกับชุมชน ซึ่งในทางปฏิบัติ การมีส่วนร่วมสามารถดำเนินการได้ผ่านหลายขั้นตอนสำคัญ ได้แก่
- Risk Mapping ให้ชุมชนร่วมระบุพื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่ปลอดภัยจากมุมมองของคนในพื้นที่
- Scenario Planning การสมมติสถานการณ์ เช่น หากเกิดดินสไลด์หรือน้ำท่วม ชุมชนต้องการจัดการอย่างไร และจะย้ายไปที่ใด
- Cost–Benefit Dialogue เวทีแลกเปลี่ยนข้อดีข้อเสียของการย้ายกับการอยู่เดิม เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
- Decision-making Forum เวทีร่วมระหว่างรัฐ นักวิชาการ ผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้าน เพื่อพิจารณาและเห็นชอบในทิศทางการดำเนินงาน
- Community Monitoring หลังการย้ายแล้ว ชุมชนเป็นเจ้าของระบบเฝ้าระวังภัย เช่น การติดตั้งเครื่องวัดฝน (rain gauge) เซนเซอร์ดินสไลด์ หรือระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ขณะเดียวกันงานวิจัยของ Ngulube, Tatano, และ Samaddar (2024) ในประเทศซิมบับเวชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการมีส่วนร่วม ได้แก่ การสื่อสารที่โปร่งใส ความไว้วางใจต่อหน่วยงานรัฐ และการสร้างพื้นที่ให้เสียงของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างเท่าเทียม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมที่แท้จริงไม่ใช่เพียงการ “รับฟังความคิดเห็น” แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด การมีส่วนร่วมของชุมชนจึงเป็นหัวใจของการย้ายถิ่นฐานอย่างยั่งยืน เพราะช่วยสร้างความชอบธรรม ลดแรงต้าน และทำให้มาตรการ relocation ไม่เพียงเป็น “โครงการของรัฐ” แต่เป็น “โครงการของชุมชน” ที่ผู้คนรู้สึกผูกพันและพร้อมจะร่วมกันดูแลรักษาในระยะยาว
3. การฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายสังคม (Livelihood and Social Networks)
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติ คือการฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายสังคม เพราะการมีเพียงที่อยู่อาศัยใหม่ไม่เพียงพอต่อความมั่นคงในระยะยาว หากพื้นที่ที่ย้ายไปอยู่ห่างไกลจากศูนย์เศรษฐกิจ ชุมชนมักจะเผชิญกับความยากจนและความเครียดทางสังคม เนื่องจากขาดการเข้าถึงงาน บริการสาธารณะ และเครือข่ายเดิม (Chen, He, & Zhou, 2020) ในทางตรงกันข้าม หากพื้นที่ใหม่อยู่ใกล้แหล่งงานและได้รับการสนับสนุนด้านการปรับตัว เช่น การฝึกอาชีพ การเข้าถึงตลาด และการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีได้
ขณะเดียวกันคุณภาพชีวิตยังขึ้นอยู่กับทุนทางสังคม (Palagi & Javernick‐Will, 2020) การคงไว้หรือสร้างเครือข่ายใหม่จะช่วยให้ชุมชนมีระบบพึ่งพา การสนับสนุนทางจิตใจ และกลไกการปรับตัวร่วมกัน ซึ่ง cluster relocation แสดงให้เห็นข้อได้เปรียบในการย้ายทั้งชุมชนพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียความสัมพันธ์ทางสังคม นโยบายการฟื้นฟูจึงควรบูรณาการมาตรการส่งเสริมอาชีพ เช่น โครงการกู้ยืมขนาดเล็ก การตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และความร่วมมือกับรัฐหรือเอกชน จึงกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของการย้ายชุมชนไม่ได้วัดจากจำนวนบ้านใหม่ แต่จากความสามารถของผู้คนในการสร้างชีวิตใหม่ที่มั่นคง มีรายได้ และยังคงความเป็นชุมชนได้อย่างยั่งยืน
4. การออกแบบนโยบายและธรรมาภิบาล (Policy and Governance)
ความสำเร็จของโครงการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติขึ้นอยู่กับคุณภาพของการออกแบบนโยบายและโครงสร้างธรรมาภิบาลที่รองรับ การดำเนินการ relocation ที่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาจากการตัดสินใจแบบเร่งด่วนในภาวะวิกฤตเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากการวางแผนล่วงหน้า การกำหนดกรอบนโยบายที่ชัดเจน และการบริหารจัดการที่สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ (Palagi & Javernick‐Will, 2020)
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่นและบริบทของชุมชนเข้าสู่การออกแบบนโยบาย หากมาตรการ relocation มุ่งเน้นเพียงด้านกายภาพโดยไม่คำนึงถึงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน อาจทำให้โครงการถูกปฏิเสธหรือถูกละทิ้งในที่สุด ตรงกันข้ามการออกแบบที่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมเดิมช่วยสร้างความไว้วางใจและการยอมรับจากประชาชน
งานวิจัยของ Iuchi และ Mutter (2020) ซึ่งวิเคราะห์แนวทางการจัดการ relocation ในหลายประเทศในเอเชีย พบว่าความแตกต่างด้านธรรมาภิบาลส่งผลอย่างชัดเจนต่อผลลัพธ์ของโครงการ ยกตัวอย่างเช่น แนวทางที่รัฐมีบทบาทนำโดยไม่เปิดพื้นที่ให้ชุมชนร่วมตัดสินใจ มักสร้างแรงต้านและทำให้โครงการไม่ยั่งยืน ในทางกลับกันแนวทางที่เปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วม และมีโครงสร้างการบริหารที่โปร่งใสและรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยสร้างการยอมรับและทำให้การย้ายถิ่นฐานดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่า
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ การติดตามและประเมินผล (monitoring and evaluation: M&E) อย่างต่อเนื่อง การกำหนดกลไก M&E ไม่เพียงช่วยประเมินความก้าวหน้าและปัญหาเชิงปฏิบัติ แต่ยังเป็นช่องทางในการสร้างการเรียนรู้เชิงนโยบาย เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขในระยะยาว การมีระบบติดตามที่ครอบคลุมด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และความเข้มแข็งทางสังคม จึงเป็นหัวใจของการทำให้โครงการ relocation มีความยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป การออกแบบนโยบายและธรรมาภิบาลที่ดีต้องครอบคลุมทั้งการวางแผนล่วงหน้า ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ความสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของชุมชน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้บูรณาการเข้าด้วยกัน โครงการย้ายชุมชนจึงจะสามารถตอบสนองทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนและการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
ตัวอย่างแนวปฏิบัติ (Best Practices)
การย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศที่เผชิญภัยธรรมชาติซ้ำซากได้พัฒนาวิธีการที่แตกต่างกันไปเพื่อให้การ relocate มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของประชาชน ประสบการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน การเคารพต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น และการออกแบบเชิงบูรณาการเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ
กรณีฟิลิปปินส์ หลังไต้ฝุ่น Haiyan (2013) รัฐบาลได้จัดโครงการ Resettlement Sites เพื่อย้ายชุมชนที่สูญเสียบ้านเรือนหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังที่ตั้งใหม่ สิ่งที่โดดเด่นคือการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบผังบ้านและเลือกพื้นที่ใหม่ด้วยตนเอง ทำให้โครงการไม่เพียงตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย แต่ยังสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นคือความพึงพอใจที่สูงขึ้นและความยั่งยืนของการอยู่อาศัยในระยะยาว
กรณีอินโดนีเซีย ภายหลังเหตุการณ์สึนามิปี 2004 การ relocate ชุมชนเสี่ยงภัยชายฝั่งได้ใช้หลัก “Musyawarah” หรือการปรึกษาหารือแบบดั้งเดิมของสังคมอินโดนีเซีย การประชุมชุมชนในรูปแบบนี้ไม่เพียงเป็นการหารือเชิงนโยบาย แต่ยังทำให้เสียงของประชาชนถูกนำมาพิจารณาอย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างของการเชื่อมโยงกระบวนการสมัยใหม่เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อสร้างการยอมรับและลดแรงต้าน
กรณีประเทศไทย ในบางพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่านและแม่ฮ่องสอน มีการดำเนิน “โครงการหมู่บ้านปลอดภัย” เพื่อย้ายชุมชนจากพื้นที่ลาดชันเสี่ยงดินถล่มลงมาสู่ที่ราบต่ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือการยังคงระบบเฝ้าระวังในพื้นที่เดิม เช่น การจัดเวรยามเฝ้าระวังฝนตกหนักหรือการติดตั้งระบบเตือนภัย เพื่อให้ชุมชนที่ยังมีการทำกินในพื้นที่สูงสามารถใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติได้
ตัวอย่างจากทั้งในและต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลงทุนทางกายภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ควบคู่กับการรักษาความต่อเนื่องของชีวิตประจำวัน
การ relocate จึงไม่ใช่เพียงมาตรการเชิงวิศวกรรมเพื่อหาพื้นที่ปลอดภัยกว่า แต่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ เสียง และความไว้วางใจของชุมชน การออกแบบเชิงนโยบายที่บูรณาการทั้งสี่มิติ ได้แก่ มาตรการรอบด้าน (Relocation) การมีส่วนร่วมที่แท้จริง (Participation) การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (Livelihood) และธรรมาภิบาลที่โปร่งใส (Governance) จะช่วยให้การสร้าง “ชุมชนใหม่ที่มีชีวิต” เป็นจริงได้ และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ “ถูกย้าย” แต่ได้ “ย้ายไปสู่อนาคตที่ดีกว่า”
อ้างอิง:
luchi, K. (2023). Adaptability of low-income communities in postdisaster relocation. Journal of the American Planning Association, 90(1), 2–17. https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/01944363.2022.2133781#d1e156
Iuchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071.
Nalau, J., & Handmer, J. (2018). Improving development outcomes and reducing disaster risk through planned community relocation. Sustainability, 10(10), 3545.
Iuchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071. https://doi.org/10.1016/j.pdisas.2020.100071
Ngulube, N., Tatano, H., & Samaddar, S. (2024). Factors impacting participatory post-disaster relocation and housing reconstruction: The case of Tsholotsho District, Zimbabwe. International Journal of Disaster Risk Science, 15(1), 1–15. https://doi.org/10.1007/s13753-024-00536-y
Chen, Y., He, L., & Zhou, D. (2020). Consequences of post-disaster policies and relocation approaches: Two communities from rural China. Disaster Prevention and Management: An International Journal, 29(5), 687–703. https://doi.org/10.1108/dpm-11-2019-0347
Palagi, S., & Javernick‐Will, A. (2020). Pathways to livable relocation settlements following disaster. Sustainability, 12(8), 3474. https://doi.org/10.3390/su12083474
uchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071. https://doi.org/10.1016/j.pdisas.2020.100071
Palagi, S., & Javernick‐Will, A. (2020). Pathways to livable relocation settlements following disaster. Sustainability, 12(8), 3474. https://doi.org/10.3390/su12083474
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: