ThaiPBS Logo

แม่แจ่มกระจกนโยบาย ย้ายถิ่นอย่างยั่งยืน–เตือนอย่างทันเวลา

24 ก.ย. 256810:38 น.
แม่แจ่มกระจกนโยบาย ย้ายถิ่นอย่างยั่งยืน–เตือนอย่างทันเวลา
  • การ relocate จึงไม่ใช่เพียงมาตรการเชิงวิศวกรรมเพื่อหาพื้นที่ปลอดภัยกว่า แต่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ เสียง และความไว้วางใจของชุมชน และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ ถูกย้ายแต่ได้ ย้ายไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
เมื่อดินสไลด์ยักษ์ที่แม่แจ่มพรากชีวิตและบ้านเรือนในชั่วพริบตา เราได้เห็นภาพสะท้อนของ “ความเปราะบาง”ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ชนบทของไทย เสียงฝนตกที่ดังก้องในค่ำคืนมิได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่คือสัญญาณเตือนว่าความรุนแรงของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติในยุคปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนโฉมไปแล้ว

สถิติผู้เสียชีวิตและบ้านเรือนที่พังทลายอาจถูกบันทึกไว้ในรายงานทางราชการ แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น คือความสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ทั้งครอบครัวที่ไร้ที่พึ่งพิง เศรษฐกิจครัวเรือนที่หยุดชะงัก และสังคมที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่ออนาคต เหตุการณ์ที่แม่แจ่มจึงไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมเฉพาะพื้นที่ แต่คือภาพแทนของความท้าทายระดับชาติ ที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามถึงแนวทางการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยที่เหมาะสมและยั่งยืน

ในบริบทเช่นนี้ การพิจารณามาตรการการย้ายชุมชน (relocation) และการเสริมสร้างระบบเฝ้าระวังภัยจึงไม่ใช่ทางเลือกที่หรูหราหรือไกลเกินจะคาคิดไปเสียแล้ว  หากแต่กลายเป็นความจำเป็นเชิงนโยบาย การออกแบบแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะอาศัยเพียงมุมมองทางวิศวกรรมหรือการจัดการภัยพิบัติที่เป็นนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้นไม่ได้  รัฐต้องเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ และกำหนดอนาคตของตนเอง เพื่อให้การปรับตัวต่อภัยธรรมชาติไม่เป็นเพียงการ “หนีตาย” ชั่วคราว แต่เป็นการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว

ภูมิหลังของเหตุการณ์

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งใหญ่ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมานับเป็นภัยพิบัติที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรง บ้านเรือน 7 หลังถูกฝังกลบ มีผู้เสียชีวิต 7 ราย สูญหาย 2 ราย และประชาชนอีกหลายร้อยคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยในชั่วข้ามคืน

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของชุมชนบนพื้นที่สูงที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซากและมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นที่แม่แจ่มเป็นพื้นที่ลาดชัน ป่าถูกทำลาย ประกอบกับการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์จึงมีสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักมีฝนตกหนักต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ปรากฏการณ์ฝนตกหนักสุดขั้ว (extreme rainfall) รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าเดิม

จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ประเทศไทยประสบกับอุทกภัย ดินถล่ม และน้ำป่าไหลหลากเฉลี่ยปีละหลายร้อยครั้ง กระจายทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานที่เป็นพื้นที่ลาดเชิงเขาและอยู่ริมแม่น้ำสายสำคัญ ขณะเดียวกันรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกในปี 2023 ยังชี้ชัดว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยประสบกับฝนตกหนักเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในช่วงสามทศวรรษหลัง และแนวโน้มนี้ยังคงทวีความรุนแรงต่อไป

อีกทั้งผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าวยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความเสียหายที่มองเห็นได้ แต่กระทบถึงความมั่นคงของมนุษย์หลายด้าน ตั้งแต่การสูญเสียที่อยู่อาศัย รายได้ และทรัพย์สิน รวมไปถึงปัญหาสุขภาพจิต ความไม่มั่นคงด้านอาหาร และความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์ดินสไลด์ที่แม่แจ่มจึงไม่ใช่เพียง ภัยธรรมชาติ หากแต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยซับซ้อนที่เชื่อมโยงกัน ทั้งลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาเกษตรเชิงเดี่ยว โครงสร้างทางสังคมที่เปราะบาง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก

4 หัวใจของการรับมือกับภัยพิบัติในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่แม่แจ่มและหลายพื้นที่ในประเทศไทยทำให้เราเห็นชัดว่า การรอดูและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียวไม่พอแล้ว ความสูญเสียครั้งนี้บอกเราว่าต้องหาวิธีการที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากกว่าเดิม ทั้งการลดความเสี่ยง การเสริมความแข็งแกร่งให้ชุมชน และการวางแผนนโยบายให้ดีขึ้น

บทความนี้จะพาไปดู 4 เรื่องสำคัญที่เป็นหัวใจของการรับมือกับภัยพิบัติในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้แก่

  1. หลักการและวิธีการย้ายชุมชน ที่จะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงสูงไม่ต้องเจอความสูญเสียซ้ำ
  2. การให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดการยอมรับ รู้สึกเป็นเจ้าของ และเกิดความเชื่อใจกัน
  3. การฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถผ่านพ้นความสูญเสียและสร้างฐานเศรษฐกิจ-สังคมใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
  4. การวางแผนนโยบายและการบริหารงาน ที่รวมหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าด้วยกัน ภายใต้การจัดการภัยพิบัติที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน

การดูแลทั้ง 4 เรื่องนี้ไม่เพียงช่วยลดความเปราะบางของชุมชน แต่ยังเป็นการเตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่กำลังรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายที่ประเทศไทยต้องเอาจริงเอาจังแล้ว

1. หลักการและมาตรการย้ายชุมชน (Relocation)

ภัยพิบัติทางธรรมชาติมักสร้างความสูญเสียรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การย้ายชุมชนไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการป้องกันความสูญเสียซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการดังกล่าวไม่ใช่เพียงการ “โยกย้าย” ทางกายภาพ แต่ยังเป็นกระบวนการเชิงสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายที่ซับซ้อน (Nalau & Handmer, 2018)

หลักการสำคัญ

การย้ายชุมชนที่มีประสิทธิภาพควรตั้งอยู่บนหลักการBuild Back Better” ซึ่งหมายถึงการสร้างพื้นที่ใหม่ที่ไม่เพียงปลอดภัยกว่า แต่ยังต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น ระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงบริการสาธารณะ และโอกาสทางอาชีพ การย้ายชุมชนจึงไม่ควรเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว แต่ควรเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงยั่งยืน (Iuchi, 2023) ซึ่งในทางปฏิบัติ การย้ายชุมชนมีหลายรูปแบบ ได้แก่

การย้ายถาวร เช่น ชุมชนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ลาดชันและเสี่ยงดินสไลด์อย่างต่อเนื่อง การย้ายถาวรจะเป็นมาตรการจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย
การย้ายชั่วคราว เช่น ศูนย์อพยพที่จัดขึ้นในฤดูฝนหรือช่วงพายุ เมื่อพ้นวิกฤตแล้วชุมชนสามารถกลับไปอยู่อาศัยได้
มาตรการผสม เช่น “cluster relocation” ที่สร้างชุมชนใหม่เป็นกลุ่มในพื้นที่ปลอดภัย แต่ยังเปิดโอกาสให้ชุมชนรักษาที่ดินทำกินเดิม วิธีนี้ช่วยลดแรงต้านจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และคงไว้ซึ่งความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ (Iuchi & Mutter, 2020)

ข้อดีและข้อท้าทาย

ข้อดีของการย้ายชุมชน คือ การลดความเสี่ยงและความสูญเสียในระยะยาว แต่ในอีกด้านหนึ่ง การย้ายถิ่นฐานสามารถสร้างความท้าทายใหม่ เช่น การสูญเสียความผูกพันกับพื้นที่ดั้งเดิม ปัญหาการปรับตัวด้านเศรษฐกิจ และการลดทอนทุนทางสังคม (social capital) ของชุมชน หากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ ชุมชนอาจเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงและความไม่พอใจในระยะยาว (Iuchi, 2023)

เงื่อนไขความสำเร็จ

การวางแผนย้ายชุมชนที่ยั่งยืนจึงต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่

  1. เศรษฐกิจ: การเข้าถึงงาน รายได้ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่ใหม่
  2. บริการสาธารณะ: โรงเรียน โรงพยาบาล และระบบสาธารณูปโภคที่เพียงพอ
  3. ทุนทางสังคม: การรักษาเครือข่ายชุมชน ความสัมพันธ์ทางครอบครัว และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน: เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ์ตัดสินใจตั้งแต่การเลือกพื้นที่ ออกแบบที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการฟื้นฟูวิถีชีวิตในพื้นที่ใหม่ เพื่อสร้างความยอมรับและความเป็นเจ้าของ (Nalau & Handmer, 2018)

กล่าวได้ว่า มาตรการย้ายชุมชนไม่ใช่คำตอบตายตัว หากแต่เป็นเครื่องมือที่ต้องถูกออกแบบและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยเน้นความสมดุลระหว่างความปลอดภัย ความยั่งยืน และความต้องการของชุมชน

2. การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Participation and Governance)

การย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงจากคำสั่งของรัฐหรือการวางแผนจากส่วนกลาง หากปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของประชาชนในพื้นที่ มาตรการ relocation มักประสบกับแรงต้าน ความไม่พอใจ และบางครั้งนำไปสู่การที่ชุมชนละทิ้งพื้นที่ใหม่เพื่อกลับไปยังที่เดิม ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการขาดการมีส่วนร่วมไม่เพียงบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ แต่ยังทำให้การย้ายชุมชนไม่ตอบโจทย์วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความต้องการทางเศรษฐกิจของผู้ได้รับผลกระทบ (Iuchi & Mutter, 2020)

ในส่วนนี้แนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจึงเป็น การจัดการภัยพิบัติบนฐานชุมชน (Community-Based Disaster Risk Management: CBDRM) ซึ่งมุ่งเน้นให้ชุมชนเป็นผู้มีบทบาทหลักในกระบวนการคิด ตัดสินใจ และออกแบบมาตรการย้ายถิ่นฐาน CBDRM ไม่เพียงสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (ownership) ต่อโครงการ แต่ยังเสริมสร้างความเข้มแข็งของทุนทางสังคมและความไว้วางใจระหว่างรัฐกับชุมชน ซึ่งในทางปฏิบัติ การมีส่วนร่วมสามารถดำเนินการได้ผ่านหลายขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

  1. Risk Mapping ให้ชุมชนร่วมระบุพื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่ปลอดภัยจากมุมมองของคนในพื้นที่
  2. Scenario Planning การสมมติสถานการณ์ เช่น หากเกิดดินสไลด์หรือน้ำท่วม ชุมชนต้องการจัดการอย่างไร และจะย้ายไปที่ใด
  3. Cost–Benefit Dialogue เวทีแลกเปลี่ยนข้อดีข้อเสียของการย้ายกับการอยู่เดิม เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
  4. Decision-making Forum เวทีร่วมระหว่างรัฐ นักวิชาการ ผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้าน เพื่อพิจารณาและเห็นชอบในทิศทางการดำเนินงาน
  5. Community Monitoring หลังการย้ายแล้ว ชุมชนเป็นเจ้าของระบบเฝ้าระวังภัย เช่น การติดตั้งเครื่องวัดฝน (rain gauge) เซนเซอร์ดินสไลด์ หรือระบบเตือนภัยล่วงหน้า

ขณะเดียวกันงานวิจัยของ Ngulube, Tatano, และ Samaddar (2024) ในประเทศซิมบับเวชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการมีส่วนร่วม ได้แก่ การสื่อสารที่โปร่งใส ความไว้วางใจต่อหน่วยงานรัฐ และการสร้างพื้นที่ให้เสียงของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างเท่าเทียม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมที่แท้จริงไม่ใช่เพียงการ “รับฟังความคิดเห็น” แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด การมีส่วนร่วมของชุมชนจึงเป็นหัวใจของการย้ายถิ่นฐานอย่างยั่งยืน เพราะช่วยสร้างความชอบธรรม ลดแรงต้าน และทำให้มาตรการ relocation ไม่เพียงเป็น “โครงการของรัฐ” แต่เป็น “โครงการของชุมชน” ที่ผู้คนรู้สึกผูกพันและพร้อมจะร่วมกันดูแลรักษาในระยะยาว

3. การฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายสังคม (Livelihood and Social Networks)

หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติ คือการฟื้นฟูอาชีพและเครือข่ายสังคม เพราะการมีเพียงที่อยู่อาศัยใหม่ไม่เพียงพอต่อความมั่นคงในระยะยาว หากพื้นที่ที่ย้ายไปอยู่ห่างไกลจากศูนย์เศรษฐกิจ ชุมชนมักจะเผชิญกับความยากจนและความเครียดทางสังคม เนื่องจากขาดการเข้าถึงงาน บริการสาธารณะ และเครือข่ายเดิม (Chen, He, & Zhou, 2020) ในทางตรงกันข้าม หากพื้นที่ใหม่อยู่ใกล้แหล่งงานและได้รับการสนับสนุนด้านการปรับตัว เช่น การฝึกอาชีพ การเข้าถึงตลาด และการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีได้

ขณะเดียวกันคุณภาพชีวิตยังขึ้นอยู่กับทุนทางสังคม (Palagi & JavernickWill, 2020) การคงไว้หรือสร้างเครือข่ายใหม่จะช่วยให้ชุมชนมีระบบพึ่งพา การสนับสนุนทางจิตใจ และกลไกการปรับตัวร่วมกัน ซึ่ง cluster relocation แสดงให้เห็นข้อได้เปรียบในการย้ายทั้งชุมชนพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียความสัมพันธ์ทางสังคม นโยบายการฟื้นฟูจึงควรบูรณาการมาตรการส่งเสริมอาชีพ เช่น โครงการกู้ยืมขนาดเล็ก การตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และความร่วมมือกับรัฐหรือเอกชน จึงกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของการย้ายชุมชนไม่ได้วัดจากจำนวนบ้านใหม่ แต่จากความสามารถของผู้คนในการสร้างชีวิตใหม่ที่มั่นคง มีรายได้ และยังคงความเป็นชุมชนได้อย่างยั่งยืน

4. การออกแบบนโยบายและธรรมาภิบาล (Policy and Governance)

ความสำเร็จของโครงการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติขึ้นอยู่กับคุณภาพของการออกแบบนโยบายและโครงสร้างธรรมาภิบาลที่รองรับ การดำเนินการ relocation ที่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาจากการตัดสินใจแบบเร่งด่วนในภาวะวิกฤตเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากการวางแผนล่วงหน้า การกำหนดกรอบนโยบายที่ชัดเจน และการบริหารจัดการที่สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ (Palagi & JavernickWill, 2020)

หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่นและบริบทของชุมชนเข้าสู่การออกแบบนโยบาย หากมาตรการ relocation มุ่งเน้นเพียงด้านกายภาพโดยไม่คำนึงถงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน อาจทำให้โครงการถูกปฏิเสธหรือถูกละทิ้งในที่สุด ตรงกันข้ามการออกแบบที่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมเดิมช่วยสร้างความไว้วางใจและการยอมรับจากประชาชน

งานวิจัยของ Iuchi และ Mutter (2020) ซึ่งวิเคราะห์แนวทางการจัดการ relocation ในหลายประเทศในเอเชีย พบว่าความแตกต่างด้านธรรมาภิบาลส่งผลอย่างชัดเจนต่อผลลัพธ์ของโครงการ ยกตัวอย่างเช่น แนวทางที่รัฐมีบทบาทนำโดยไม่เปิดพื้นที่ให้ชุมชนร่วมตัดสินใจ มักสร้างแรงต้านและทำให้โครงการไม่ยั่งยืน ในทางกลับกันแนวทางที่เปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วม และมีโครงสร้างการบริหารที่โปร่งใสและรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยสร้างการยอมรับและทำให้การย้ายถิ่นฐานดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่า

อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ การติดตามและประเมินผล (monitoring and evaluation: M&E) อย่างต่อเนื่อง การกำหนดกลไก M&E ไม่เพียงช่วยประเมินความก้าวหน้าและปัญหาเชิงปฏิบัติ แต่ยังเป็นช่องทางในการสร้างการเรียนรู้เชิงนโยบาย เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขในระยะยาว การมีระบบติดตามที่ครอบคลุมด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และความเข้มแข็งทางสังคม จึงเป็นหัวใจของการทำให้โครงการ relocation มีความยั่งยืน

กล่าวโดยสรุป การออกแบบนโยบายและธรรมาภิบาลที่ดีต้องครอบคลุมทั้งการวางแผนล่วงหน้า ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ความสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของชุมชน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้บูรณาการเข้าด้วยกัน โครงการย้ายชุมชนจึงจะสามารถตอบสนองทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนและการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

ตัวอย่างแนวปฏิบัติ (Best Practices)

การย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศที่เผชิญภัยธรรมชาติซ้ำซากได้พัฒนาวิธีการที่แตกต่างกันไปเพื่อให้การ relocate มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของประชาชน ประสบการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน การเคารพต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น และการออกแบบเชิงบูรณาการเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ

กรณีฟิลิปปินส์ หลังไต้ฝุ่น Haiyan (2013) รัฐบาลได้จัดโครงการ Resettlement Sites เพื่อย้ายชุมชนที่สูญเสียบ้านเรือนหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังที่ตั้งใหม่ สิ่งที่โดดเด่นคือการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบผังบ้านและเลือกพื้นที่ใหม่ด้วยตนเอง ทำให้โครงการไม่เพียงตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย แต่ยังสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นคือความพึงพอใจที่สูงขึ้นและความยั่งยืนของการอยู่อาศัยในระยะยาว

กรณีอินโดนีเซีย ภายหลังเหตุการณ์สึนามิปี 2004 การ relocate ชุมชนเสี่ยงภัยชายฝั่งได้ใช้หลัก “Musyawarah” หรือการปรึกษาหารือแบบดั้งเดิมของสังคมอินโดนีเซีย การประชุมชุมชนในรูปแบบนี้ไม่เพียงเป็นการหารือเชิงนโยบาย แต่ยังทำให้เสียงของประชาชนถูกนำมาพิจารณาอย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างของการเชื่อมโยงกระบวนการสมัยใหม่เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อสร้างการยอมรับและลดแรงต้าน

กรณีประเทศไทย ในบางพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่านและแม่ฮ่องสอน มีการดำเนิน “โครงการหมู่บ้านปลอดภัย” เพื่อย้ายชุมชนจากพื้นที่ลาดชันเสี่ยงดินถล่มลงมาสู่ที่ราบต่ำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือการยังคงระบบเฝ้าระวังในพื้นที่เดิม เช่น การจัดเวรยามเฝ้าระวังฝนตกหนักหรือการติดตั้งระบบเตือนภัย เพื่อให้ชุมชนที่ยังมีการทำกินในพื้นที่สูงสามารถใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติได้

ตัวอย่างจากทั้งในและต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของการย้ายชุมชนหลังภัยพิบัติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลงทุนทางกายภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ควบคู่กับการรักษาความต่อเนื่องของชีวิตประจำวัน

การ relocate จึงไม่ใช่เพียงมาตรการเชิงวิศวกรรมเพื่อหาพื้นที่ปลอดภัยกว่า แต่คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ เสียง และความไว้วางใจของชุมชน การออกแบบเชิงนโยบายที่บูรณาการทั้งสี่มิติ ได้แก่ มาตรการรอบด้าน (Relocation) การมีส่วนร่วมที่แท้จริง (Participation) การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (Livelihood) และธรรมาภิบาลที่โปร่งใส (Governance) จะช่วยให้การสร้าง ชุมชนใหม่ที่มีชีวิต เป็นจริงได้ และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เพียงแค่ ถูกย้ายแต่ได้ ย้ายไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

อ้างอิง:

luchi, K. (2023). Adaptability of low-income communities in postdisaster relocation. Journal of the American Planning Association, 90(1), 217. https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/01944363.2022.2133781#d1e156

Iuchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071.

Nalau, J., & Handmer, J. (2018). Improving development outcomes and reducing disaster risk through planned community relocation. Sustainability, 10(10), 3545.

Iuchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071. https://doi.org/10.1016/j.pdisas.2020.100071

Ngulube, N., Tatano, H., & Samaddar, S. (2024). Factors impacting participatory post-disaster relocation and housing reconstruction: The case of Tsholotsho District, Zimbabwe. International Journal of Disaster Risk Science, 15(1), 115. https://doi.org/10.1007/s13753-024-00536-y

Chen, Y., He, L., & Zhou, D. (2020). Consequences of post-disaster policies and relocation approaches: Two communities from rural China. Disaster Prevention and Management: An International Journal, 29(5), 687703. https://doi.org/10.1108/dpm-11-2019-0347

Palagi, S., & JavernickWill, A. (2020). Pathways to livable relocation settlements following disaster. Sustainability, 12(8), 3474. https://doi.org/10.3390/su12083474

uchi, K., & Mutter, J. (2020). Governing community relocation after major disasters: An analysis of three different approaches and its outcomes in Asia. Progress in Disaster Science, 6, 100071. https://doi.org/10.1016/j.pdisas.2020.100071

Palagi, S., & JavernickWill, A. (2020). Pathways to livable relocation settlements following disaster. Sustainability, 12(8), 3474. https://doi.org/10.3390/su12083474

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ ปัญหาที่ไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามหาทางรับมือแก้ไข โดยรัฐบาลประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในปี 2567 ได้เข้าร่วมประชุม COP29 เพื่อแสดงบทบาทความร่วมมือกับประชาคมโลก

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ  

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: