คำถามสำคัญในการพิจารณาถึง “ทางเลือก” ในการดำเนินชีวิตของประชาชนเมื่อประสบเหตุภัยพิบัติหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาคือ “ทำไมถึงไม่อพยพ”
งานวิจัยในประเทศไทยที่ผ่านมาพบว่า การตัดสินใจอพยพของแต่ละครัวเรือนมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ ข้อมูลข่าวสาร และข้อจำกัดส่วนบุคคล กล่าวคือ ในกรณีศึกษาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 งานวิจัยของ รัตติยา ภูละออ และคณะ (2563) พบว่า กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ มักไม่อพยพเนื่องจากขาดศักยภาพหรือทรัพยากรในการเคลื่อนย้าย
นอกจากนี้ บุคคลที่มีงานมั่นคงหรือมีทรัพย์สินในพื้นที่ก็มักเลือกที่จะอยู่กับบ้านเพื่อปกป้องทรัพย์สินและลดความเสียหาย แม้จะมีความเสี่ยงสูงก็ตาม อีกทั้งยังพบว่าคนในพื้นที่เสี่ยงมักมีทักษะในการประเมินความเสี่ยงต่ำ (moral hazard) และขาดข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอหรือทันเวลา ส่งผลให้ตัดสินใจอพยพช้าหรือไม่อพยพเลย (รัตติยา ภูละออ และคณะ, 2563)
ขณะเดียวกันข้อมูลข่าวสารและระบบเตือนภัยก็มีบทบาทสำคัญ งานวิจัยของกรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ (2556) ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับข้อมูลเตือนภัยน้ำท่วมแบบเรียลไทม์และรู้จุดนัดพบในชุมชนจะมีแนวโน้มอพยพมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีเด็กเล็กหรือสมาชิกที่เป็นผู้หญิง นอกจากนี้ การเข้าถึงช่องทางเตือนภัย เช่น วิทยุสองทาง โทรศัพท์มือถือ หรือโทรทัศน์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจอพยพได้อย่างทันท่วงที (กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์, 2556)
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผนเส้นทางอพยพ เห็นได้จากงานวิจัยของ ปิยะพงศ์ สุวรรณโณ และคณะ (2566) ที่พบว่า เมื่อเกิดน้ำท่วมเวลาที่ใช้ในการเดินทางเพื่ออพยพจะเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ส่งผลทำให้การอพยพล่าช้าและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ดังนั้น การวางแผนเส้นทางอพยพที่เหมาะสมและการเตรียมความพร้อมของชุมชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น (ปิยะพงศ์ สุวรรณโณ และคณะ, 2566)
นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยและอุปสรรคอีกหลายประการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจอพยพของประชาชนแต่ละครัวเรือน โดยสามารถจำแนกได้ตามตาราง ดังนี้
ภาครัฐกับการสร้างมาตรฐานในการอพยพ (Evacuation Standards)
หากพิจารณาในฐานะของภาครัฐ การที่ประชาชนจำนวนมากไม่อพยพเมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก หรือเมื่อเกิดภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉิน สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านการจัดการภัยพิบัติของภาครัฐเพราะปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอพยพมีความซับซ้อน ทั้งด้านการรับรู้ความเสี่ยง การสื่อสารเตือนภัย ความรู้และประสบการณ์ส่วนบุคคล รวมถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งหากรัฐไม่เข้าใจและขาดการจัดการปัจจัยเหล่านี้อย่างเหมาะสม จะทำให้มาตรการอพยพขาดประสิทธิภาพ
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วภาครัฐจึงควรหันมาให้ความสนใจต่อการสร้างมาตรฐานในการอพยพ (Evacuation Standards) เนื่องจากมาตรฐานในการอพยพจะช่วยให้การอพยพเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและความสูญเสีย ลดความตื่นตระหนกและความสับสนในช่วงวิกฤต ทั้งยังช่วยคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัย เนื่องจากจะช่วยให้ทุกกลุ่มได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม ลดการเอาเปรียบหรือเลือกปฏิบัติ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน
(Fine, J., & Lyon, G. (2017, p.431–451)
ขณะเดียวกันยังช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทางเดียวกัน ทุกฝ่ายเข้าใจหน้าที่ของตนเอง ลดความสับสน เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน ลดข้อจำกัดในการอพยพ โดยการสร้างมาตารฐานในการอพยพต้องเน้นการวางแผนอพยพที่ชัดเจน สื่อสารข้อมูลเตือนภัยอย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการอพยพ
รัฐส่วนกลางในฐานะมันสมองผู้กำหนดนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติ ควรดำเนินการเพื่อสร้างมาตรฐานในการอพยพ ดังนี้
1) การพัฒนาแผนและเส้นทางอพยพที่เหมาะสมกับพื้นที่เสี่ยง ซึ่งสามารถพัฒนาได้โดย ใช้เทคโนโลยี GIS วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง จุดอพยพ และเส้นทางที่ปลอดภัย โดยต้องคำนึงถึงเวลาการเดินทางที่เพิ่มขึ้นเมื่อเกิดน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม รวมถึงการเตรียมเส้นทางสำรอง
2) สร้างมาตรฐานในการจัดการศูนย์พักพิง โดยการจัดการศูนย์พักพิงที่มีมาตรฐานและหลักการชัดเจนจะช่วยทำให้การดูแลผู้ประสบภัยมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัย ทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลักในการเลือกสถานที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ อาทิ ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย เข้าถึงง่าย และสามารถรองรับจำนวนผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้การจัดสรรผู้พักพิงยังมีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการกระจายตัว ลดความแออัด ทั้งยังต้องคำนึงถึงมาตรการด้านความปลอดภัย ระบบสุขาภิบาล น้ำสะอาด อากาศถ่ายเท และการป้องกันโรค หรือ ควรออกแบบให้มีพื้นที่ส่วนตัว ระบายอากาศดี ใช้วัสดุที่เหมาะสม และคำนึงถึงความเป็นอยู่ทางกายและจิตใจของผู้อยู่อาศัย (Yasui, et al. 2000, p.17) มีระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน เช่น การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ การแบ่งหน้าที่ และการสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใส รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน หรือแม้กระทั่งมีแผนสำรอง การฝึกซ้อม และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงทรัพยากรในศูนย์พักพิงให้เพียงพอ และวางแผนเลือกจุดตั้งศูนย์พักพิงที่เหมาะสมกับจำนวนประชากรและความต้องการของกลุ่มเปราะบาง
3 ) การสร้างระบบเตือนภัยและสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ ระบบเตือนภัยและสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่มีประสิทธิภาพต้องเน้นการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลทันที จัดลำดับความสำคัญของข้อความ มีความแม่นยำ และสื่อสารผ่านหลายช่องทาง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลเตือนภัยที่ถูกต้องและทันเวลา ลดความสูญเสียจากภัยพิบัติ และพัฒนาระบบแจ้งเตือนที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและท้องถิ่นได้
4) การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน (inter-agency collaboration) ในสถานการณ์ภัยพิบัติมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยทำให้การรับมือและฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความรวดเร็วในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย กล่าวคือ การประสานงานระหว่างหน่วยงานช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรและความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ลดความล่าช้าและความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน (Shah, et al. 2022, p.14) ลดการสูญเสียและฟื้นฟูชุมชนได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ หากมีข้อตกลงและเป้าหมายร่วมกันจะยิ่งช่วยลดความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน และสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการแบ่งปันข้อมูล ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญระหว่างหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ขณะเดียวกันการทำงานร่วมกันยังช่วยทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในฐานะแนวหน้าและแขนขาในการปฏิบัติ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นหน่วยงานในพื้นที่ที่ต้องเป็นด่านแรกในการเผชิญเหตุซึ่งต้องทำงานสอดประสานกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมป้องและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ ดังนั้น การนำมาตรฐานการอพยพที่เป็นสากลมาใช้ในระดับท้องถิ่น จะช่วยให้การจัดการและประสานงานระหว่างหน่วยงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Gurowitz, et al. 1999, p.413-414) ท้องถิ่นจึงควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้เพื่อสร้างมาตรฐานในการอพยพ
1) การประเมินความเสี่ยงเป็นประจำ การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้อปท. สามารถระบุและจัดการความเสี่ยงได้ก่อนที่จะเกิดปัญหารุนแรง ลดผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงช่วยให้องค์กรวางแผนและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ มีข้อมูลรองรับการดำเนินงานและการจัดสรรทรัพยากร (Hood, et al. 2013, p.309-319)
นอกจากนั้นแล้ว การประเมินและจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบยังช่วยสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและหน่วยงานภายนอก ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคในการดำเนินงานและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายและภารกิจของอปท. ท้ายที่สุดการประเมินซ้ำ ๆ จะทำให้องค์กรเรียนรู้และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2) การสื่อสารข้อมูลและเตือนภัยให้ประชาชนในพื้นที่ โดยอปท. ต้องเป็นศูนย์กลางในการแจ้งเตือนและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน จึงควรพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วม ดินโคล่นถล่มที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายและทันเวลา เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอพยพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) การเตรียมความพร้อมชุมชน การจัดเส้นทางอพยพในพื้นที่ และฝึกซ้อมอพยพ จะช่วยทำให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนการอพยพ เพิ่มทักษะการตัดสินใจในสถานการณ์จริง และเสริมสร้างความร่วมมือในชุมชน ลดความสูญเสียเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน (Fathani, et al. 2011.) กล่าวคือ การฝึกซ้อมช่วยให้ประชาชนเข้าใจเส้นทางและขั้นตอนการอพยพจริง ลดความสับสนและความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุ มีความมั่นใจและกล้าตัดสินใจอพยพมากขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ทั้งยังช่วยให้ชุมชนและหน่วยงานเห็นจุดอ่อนของแผนอพยพที่จะนำไปสู่การปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพจริง รวมถึงสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้แผนการฝึกซ้อมที่ผ่านการออกแบบมาอย่างเหมาะสมยังจะสามารถช่วยให้กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ มีโอกาสฝึกและเตรียมพร้อม ชุมชนที่ฝึกซ้อมอพยพเป็นประจำจึงมักมีอัตราการอพยพสำเร็จและลดการสูญเสียได้มากกว่าชุมชนที่ไม่เคยฝึกซ้อม
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ประชาชนจำนวนมากไม่อพยพเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ ไม่ใช่เพราะประชาชนขาดความระมัดระวัง แต่เกิดจากปัจจัยหลายมิติทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน ความไม่พร้อมของระบบเตือนภัย และการบริหารจัดการของรัฐ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่จะ “ไม่อพยพ” แม้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง
ดังนั้น รัฐจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและจัดการเพื่อจูงใจให้ประชาชนอพยพได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผ่านการยกระดับมาตรฐานการอพยพและการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ การส่งเสริมการอพยพที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ลดความสูญเสีย แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นในระบบรัฐ และช่วยให้ชุมชนสามารถฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้รวดเร็วและยั่งยืน
อพยพครั้งนี้…ไม่ใช่เพราะน้ำหลากหรือพายุโหมเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน
การจัดทำมาตรฐานในการอพยพ ส่วนใหญ่โดยทั่วไปมักถูกพูดถึงในบริบทของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมหรือแผ่นดินไหว แต่ในความเป็นจริงการอพยพยังจำเป็นในสถานการณ์ที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติด้วย อย่างล่าสุดในกรณีสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ต้องประกาศพื้นที่ภัยพิบัติจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศและสั่งให้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งถือเป็นการยกระดับเทียบเท่ากับภัยธรรมชาติ
ประเด็นที่สำคัญคือการประกาศดังกล่าวเป็นการกำหนดให้เหตุการณ์ปะทะเป็น “สาธารณภัย” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เพื่อให้สามารถใช้กลไกทางกฎหมายและงบประมาณในการจัดการและเยียวยาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเพื่อให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้บริหารท้องถิ่นสามารถใช้งบประมาณฉุกเฉินหรือเงินสะสมตามความจำเป็น โดยต้องคำนึงถึงสถานะทางการเงินขององค์กร
ขณะเดียวกันทางจังหวัดยังขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ให้ติดตามการแจ้งเตือนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก และไม่ควรเข้าใกล้เขตชายแดนในรัศมี 120 กิโลเมตร โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอย่างฐานทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล หรือชุมชนหนาแน่น การอพยพในครั้งนี้ แม้จะเกิดจากภัยที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่ก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสร้างมาตรฐานในการอพยพยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์
เหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ที่ยกตัวอย่างมานี้จึงช่วยตอกย้ำให้เห็นแล้วว่า เมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในระดับที่กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน มาตรการอพยพที่มีแบบแผนชัดเจนและรองรับได้ทุกกลุ่มคนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพียงอย่างเดียวไม่อาจเพียงพอ หากไม่มีระบบการอพยพที่เป็นระบบ รองรับการเคลื่อนย้าย การตั้งศูนย์พักพิง การสื่อสารฉุกเฉิน และการบริหารทรัพยากรให้เท่าทันสถานการณ์
ในภาวะวิกฤตของประเทศเช่นนี้ การช่วยเหลือจะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเข้าใจหน้าที่ของตน ประชาชนได้รับข้อมูลที่ชัดเจน มีที่พักพิงปลอดภัย และกลุ่มเปราะบางได้รับความดูแลเป็นพิเศษ
จากทั้งหมดที่นำเสนอมาจึงกล่าวได้ว่า มาตรฐานการอพยพไม่ใช่เรื่องของความเป็นทางการหรือขั้นตอนราชการเท่านั้น แต่คือกลไกของ“ความมั่นคงของมนุษย์” ที่ควรเกิดขึ้นเสมอในทุกพื้นที่และทุกเหตุการณ์ เพราะการอพยพไม่ใช่แค่การหนีออกจากพื้นที่เสี่ยง แต่คือกระบวนการของการ “รักษาชีวิต” และคืนศักดิ์ศรีความปลอดภัยให้กับประชาชน
เพราะฉะนั้น แม้ภัยจะเปลี่ยนรูปแบบ แต่มาตรฐานการอพยพไม่ควรลดระดับลงตาม — การอพยพจึงควรเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และเท่าทันภัยทุกรูปแบบ
อ้างอิง:
Acero, B., Diaz, R., & Behr, J. (2023). Flooding perception and its impact on hurricane evacuation intentions. International Journal of Disaster Risk Reduction.
Beringer, A. L., & Kaewsuk, J. (2018). Emerging livelihood vulnerabilities in an urbanizing and climate uncertain environment for the case of a secondary city in Thailand. Sustainability, 10(5), 1452.
Bhula-or, R., Nakasu, T., Mokkhamakkul, T., Anantsuksomsri, S., Amornkitvikai, Y., Prathumchai, K., &
Duangkaew, S. (2020). Households’ evacuation decisions in response to the 2011 flood in Thailand. Journal of Disaster Research, 15(5), 678–687.
Chaladdee, A., Kim, S., Nitivattananon, V., Pal, I., Roy, J., & Roachanakanan, T. (2022). Trend analysis of mainstreaming flood risk reduction into spatial planning in Thailand. Sustainability, 14(2), 1012.
Fathani, T., & Legono, D. (2011). Sustaining community disaster preparedness: Self-evacuation drill against Volcanic disaster.
Fine, J., & Lyon, G. (2017). Segmentation and the role of labor standards enforcement in immigration reform. Journal on Migration and Human Security, 5, 431–451.
Fujimi, T., & Fujimura, K. (2020). Testing public interventions for flash flood evacuation through environmental and social cues: The merit of virtual reality experiments. International Journal of Disaster Risk Reduction, 50, 101690.
Gurowitz, A. (1999). Mobilizing international norms: Domestic actors, immigrants, and the Japanese state. World Politics, 51, 413–445.
Hood, J., & Smith, T. (2013). Perceptions of quantifiable benefits of local authority risk management. International Journal of Public Sector Management, 26, 309–319.
Ismayani, N., Putri, D., Febrianto, H., & Sary, A. K. (2024). Mitigasi bencana pada area rentan banjir di Kabupaten Dharmasraya. LaGeografia, 22(1), 1–15.
Kubo, S. (2020). Study on influence of prior recognition of flooding state on evacuation behavior. Journal of Japan Society of Civil Engineers, Ser. A2 (Applied Mechanics (AM)).
Kunsuwan, N. (2021). Management guidelines for evacuation routes in areas prone to flooding and landslides: A case study of the Mae Phrong River Basin area in Thailand. International Journal of GEOMATE, 21(87), 1–8.
Onai, A., & Tanaka, N. (2024). Categorizing resident evacuation behaviors within a flood-protected area. International Journal of River Basin Management.
Shah, A., Rana, I., Lodhi, R., Najam, F., & Ali, A. (2023). Evacuation decision making and risk perception: Flooded rural communities in Pakistan. Environmental Hazards, 23, 54–71.
Shah, I., Mahmood, T., Khan, S., Elahi, N., Shahnawaz, M., Dogar, A., Subhan, F., & Begum, K. (2022). Inter-agency collaboration and disaster management: A case study of the 2005 earthquake disaster in Pakistan. Jàmbá: Journal of Disaster Risk Studies, 14.
Singkran, N. (2017). Flood risk management in Thailand: Shifting from a passive to a progressive paradigm. International Journal of Disaster Risk Reduction, 24, 535–545.
Sreejith, R., & Sinimole, K. (2022). Modelling evacuation preparation time prior to floods: A machine learning approach. Sustainable Cities and Society.
Suwanno, P., Yaibok, C., Pornbunyanon, T., Kanjanakul, C., Buathongkhue, C., Tsumita, N., & Fukuda, A. (2023). GIS-based identification and analysis of suitable evacuation areas and routes in flood-prone zones of Nakhon Si Thammarat municipality. IATSS Research, 47(3), 345–357.
Suwanno, P., Yaibok, C., Tsumita, N., Fukuda, A., Theerathitichaipa, K., Seefong, M., Jomnonkwao, S., & Kasemsri, R. (2023). Estimation of the evacuation time according to different flood depths. Sustainability. Thampanishvong, K. (2013). Determinants of flash flood evacuation choices and assessment of preferences for flash flood warning channels: The case of Thailand.
Thirawat, N., & Ponjan, P. (2014). Thailand’s flood management policy: Issues, developments and implications for the Thai tourism industry.
Yasui, A., Numada, M., Bando, M., Nakano, S., & Krishna, C. (2020). A study on the current situation of prearranged shelter management in Japan for making a standard operation procedure. International Journal of Environmental Research and Public Health, 17.
Silva, A., Eleutério, J., Apel, H., & Kreibich, H. (2025). Assessing the impact of early warning and evacuation on human losses during the 2021 Ahr Valley flood in Germany using agent-based modelling. Natural Hazards and Earth System Sciences.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
นักวิจัยเร่งสำรวจพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก “เสี่ยง” ต้องย้ายถิ่นจากโลกร้อน