“พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ถึงกลไกอาเซียน ทางรอดของแม่น้ำกก-น้ำสาย ภายใต้มลพิษข้ามพรมแดน ข้อจำกัดกฎหมายไทย เมื่อแหล่งกำเนิดอยู่นอกประเทศ
แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย กำลังเผชิญวิกฤตมลพิษจากสารหนู ซึ่งมีแหล่งกำเนิดนอกพรมแดนไทย ที่คาดว่ามาจากการทำเหมืองแร่ทองคำ และเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ทำให้การใช้เครื่องมือทางกฎหมายของรัฐไทยไม่สามารถตอบสนองได้เต็มที่
Thai PBS Policy Watch สำรวจเครื่องมือทางกฎหมายที่ไทยมีในมือ พร้อมทั้งพิจารณาทางออกในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่อาจเป็นทางรอดเดียวในการปกป้องประชาชนและระบบนิเวศ
กฎหมายไทยไม่คุมถึงแหล่งกำเนิดนอกพรมแดน
สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ชี้ชัดว่า การประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ) ไม่สามารถใช้ได้ในกรณีของแม่น้ำกกและน้ำสาย เพราะแหล่งปล่อยมลพิษอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งไทยไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการควบคุมหรือสั่งการ
ตามหลักการของกฎหมายนี้ เขตควบคุมมลพิษจะต้องครอบคลุมแหล่งกำเนิด ซึ่งหมายถึงกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้เกิดสารมลพิษโดยตรง การกำหนดพื้นที่ฝั่งไทยให้เป็นเขตควบคุมจึงไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขในกฎหมาย
ประกาศ “พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ฟื้นฟูแม่น้ำกก
เมื่อการควบคุมต้นทางเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่รัฐไทยทำได้ในทันทีคือการประกาศ “พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ตาม มาตรา 45 ของ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งเปิดทางให้รัฐสามารถออกข้อกำหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือกิจกรรมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ เช่น การห้ามใช้น้ำ ย้ายประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง หรือป้องกันน้ำปนเปื้อนไม่ให้ไหลสู่พื้นที่เกษตร
แม้มาตรการนี้จะเป็นเพียงการควบคุม “ปลายทาง” ไม่ใช่ต้นเหตุ แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความเสียหายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในฝั่งไทยทันที
ตัวอย่างที่อ้างอิงได้ เช่น พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในภูเก็ต เคยถูกใช้ควบคุมการก่อสร้างบนพื้นที่ลาดชัน เพื่อป้องกันดินถล่มและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของมาตรการนี้ในการควบคุมความเสี่ยง
มาตรา 9 เครื่องมือเร่งด่วนในสถานการณ์ฉุกเฉิน
อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ มาตรา 9 ของ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสามารถสั่งการให้หน่วยงานรัฐดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อระงับผลกระทบจากมลพิษในภาวะร้ายแรงได้โดยตรง
สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) อธิบายว่า มาตรานี้เคยถูกตีความมาแล้วในกรณีวิกฤตฝุ่น PM 2.5 และสามารถนำมาใช้ได้กับกรณีแม่น้ำกก-สาย หากรัฐบาลเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเข้าข่าย “ภัยต่อสาธารณชน”
อย่างไรก็ดี การใช้อำนาจตามมาตรานี้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และอาจต้องมีฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการประเมินผลกระทบที่ชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจ
“ฝายดักตะกอน” แนวทางบรรเทาผลกระทบ
ในทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม สนธิเสนอให้สร้างฝายดักตะกอนชั่วคราว โดยใช้วัสดุพื้นฐาน เช่น อิฐ ผงถ่าน ขี้เถ้า และทราย เรียงชั้นกันในลวดตาข่าย เพื่อกรองโลหะหนักก่อนที่น้ำจะไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ซึ่งจากประสบการณ์ในพื้นที่คลิตี้พบว่าสามารถลดปริมาณสารพิษในตะกอนได้ถึง 80%
แม้จะไม่สามารถจัดการโลหะที่ละลายในน้ำได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นวิธีที่ทำได้ทันที สอดคล้องกับ ภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทรัพยากรน้ำ ได้เข้าไปดูต้องกั้นลำน้ำไม่ว่าจะทำฝายหรือเขื่อนก็ขึ้นอยู่กับหลักวิศวกรรม เพื่อกักสารพิษให้สามารถดูดออกได้
“มลพิษข้ามพรมแดน” กับความเงียบของอาเซียน
แม้จะมีเครื่องมือในประเทศหลายประการ แต่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องจัดการที่ต้นเหตุ ซึ่งอยู่ในดินแดนรัฐฉาน เมียนมา และนั่นคือจุดที่ไทยแทบไม่มีอำนาจแทรกแซง
สนธิและสุรชัยเห็นพ้องกันว่า ไทยควรใช้ กลไกอาเซียน โดยเฉพาะในบริบทของ “มลพิษข้ามพรมแดน” เช่นเดียวกับที่เคยใช้ในการผลักดันให้ประเทศเพื่อนบ้านควบคุมการเผาในช่วงฝุ่น PM 2.5
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงคือ แหล่งกำเนิดในรัฐฉานส่วนใหญ่เป็น เหมืองเถื่อนภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธ ไม่ใช่รัฐบาลเมียนมาโดยตรง ทำให้การเจรจาในระดับรัฐกับรัฐเป็นไปได้ยาก และซับซ้อนอย่างยิ่ง
กลไกแม่น้ำโขง ช่องทางที่ยังไม่ชัดเจน
แม่น้ำกกเป็นสาขาของแม่น้ำโขง จึงมีข้อเสนอให้ดึงปัญหานี้เข้าสู่กลไกความร่วมมือแม่น้ำโขง เช่น MRC (Mekong River Commission) อย่างไรก็ตาม นายสุรชัยเตือนว่ากลไกแม่น้ำโขงมุ่งเน้นการจัดการแม่น้ำหลัก และอาจยังไม่มีกรอบกฎหมายรองรับการแทรกแซงในสาขาอย่างแม่น้ำกกหรือน้ำสายโดยตรง
“ฟ้องร้อง” เป็นไปได้แต่ยังไร้ตัวผู้รับผิด
หนึ่งในแนวทางทางกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นคือ การฟ้องร้องเอกชนต้นเหตุในต่างประเทศ ซึ่งไทยเคยใช้ในกรณีน้ำมันรั่ว แต่กรณีนี้กลับซับซ้อนกว่า เพราะไม่สามารถระบุตัวผู้ก่อมลพิษได้ชัดเจน
สนธิอธิบายว่า จากข้อมูลเบื้องต้น มีเหมืองที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเพียง 25 แห่งในพื้นที่รัฐฉาน ขณะที่อีกกว่า 60 แห่งเป็นเหมืองเถื่อน ไม่สามารถระบุตัวผู้รับผิดชอบได้ จึงไม่อาจดำเนินคดีได้โดยตรง
การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์คือข้อจำกัด
สถานการณ์แม่น้ำกกและน้ำสายสะท้อนปัญหาคลาสสิกของ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่เครื่องมือในประเทศแทบไม่เพียงพอ แต่การจัดการในระดับภูมิภาคยังล่าช้าและไม่มีกลไกที่มีผลผูกพันธ์อย่างแท้จริง
เครื่องมือที่ไทยมีอยู่ในมือ ได้แก่
- การประกาศ “พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ
- การใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตาม “มาตรา 9” ในกรณีฉุกเฉิน
- การใช้มาตรการทางวิศวกรรม เช่น ฝายดักตะกอน
- ความพยายามในการใช้กลไกอาเซียนและความร่วมมือแม่น้ำโขง
- ทางเลือกการฟ้องร้องในอนาคต (หากระบุตัวผู้กระทำได้)
แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากฎหมาย คือ เจตจำนงทางการเมือง ที่จะผลักดันการใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อรักษาทั้งสุขภาพประชาชนและความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคอย่างยั่งยืน
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: