น้ำท่วม ดินถล่ม ภัยพิบัติจากภาวะโลกรวนที่เกิดขึ้นซ้ำซาก จนหมู่บ้านทั่วประเทศราว 25,000 แห่ง ได้รับผลกระทบ… และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคำถามที่ทุกคนต้องคิดว่า จะอยู่กับความเสี่ยง และรับมืออย่างไร ?
จะเลือก “อยู่” ด้วยการรู้รับ-ปรับตัว หรือ “ย้ายถิ่นไปยังพื้นที่ใหม่” ซึ่งประเทศไทยก็ยังไม่มีความพร้อมและนโยบายเชิงป้องกันรับมือก่อนเกิดภัยอย่างเป็นระบบ
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้และถอดรหัสความเสี่ยง เพื่อค้นหานโยบายที่เหมาะสมที่จะนำไปสู่การรับมือและป้องกันภัยพิบัติเชิงรุกได้อย่างยั่งยืน ใน “Policy Forum : ‘พื้นที่เสี่ยง’ อยู่ หรือ ย้าย รับมือภัยพิบัติยุคโลกรวน”
เอเชีย-แปซิฟิกพลัดถิ่นรวมกว่า 225.3 ล้านครั้ง สาเหตุหลักมาจาก “สภาพอากาศ”
ข้อมูลจากศูนย์ติดตามการเคลื่อนย้ายภายในประเทศ (IDMC) ปี 2553 – 2564 เปิดเผยว่า ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกมีรายงานการพลัดถิ่นใหญ่สะสมสูงถึง 225.3 ล้านครั้ง คิดเป็น 78% ของการพลัดถิ่นจากภัยพิบัติทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีสาเหตุหลักมาจาก “สภาพอากาศ” เป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ประเทศไทย มีรายงานการพลัดถิ่นครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 สูงถึง 1.64 ล้านครั้ง เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมและความท้าทายในการจัดการภัยพิบัติเชิงนโยบาย
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงเกิดภัยพิบัติมากที่สุดในโลก และในสถานการณ์ที่สภาพอาการแปรปรวน ถ้าหากไม่เตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเผชิญภัยคุกคามซ้ำซาก การดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้จะยิ่งเต็มไปด้วยอันตราย
“เมื่อภัยพิบัติมีแนวโน้มรุนแรงและเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ซ้อนทับกับจุดเปราะบางของชุมชน การดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยง ความเหนื่อยล้าจากการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่จะผลักดันให้ ‘โยกย้ายถิ่น’”
ผศ.ธิดา ไชยปะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“อยู่” หรือ “ย้าย” จึงกลายเป็นคำถามสำคัญที่ชวนให้ทุกคนคิดต่อว่าทางเลือกใดจะเหมาะสมที่สุด?
อย่างไรก็ตาม “ย้าย” ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีข้อจำกัด ถ้า “ไม่สมัครใจ” ก็อาจนำมาซึ่งปัญหาลูกโซ่ร้ายแรง เช่น การตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และความขัดแย้งกับชุมชนใหม่

ผศ.ธิดา ไชยปะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชุมชนสู้ภัยพิบัติลำพังไม่ไหว หวังหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าสนับสนุน
เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ ผู้ใหญ่บ้านดอยแหลม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ สะท้อนประสบการณ์จริงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดินถล่ม เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2567 ว่า วันนั้นก็เป็นวันธรรมดาที่ฝนตก เราคิดว่าเราโชคดีที่ไม่เจอเคยแผ่นดินไหว หรือน้ำท่วมมาก่อน แต่วันนั้นกลายเป็นความโชคร้ายของพวกเรา ที่ต้องสูญเสีย 6 ชีวิตและบ้านเรือนหลายหลังพังทลาย
หลังเหตุการณ์ ชาวบ้าน 130 ครัวเรือน อยากย้ายออก แต่ความหวังนั้นไม่ง่าย เพราะติดเงื่อนไข “พื้นที่อุทยานฯ” ตามมาตรา 64 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ทำให้พวกเขาไม่มีสิทธิในที่ดิน และไม่สามารถโยกย้ายได้
เมื่อย้ายออกไม่ได้ จึงต้องต่อสู้ด้วยความรู้ ผ่านมากว่า 1 ปี ตัวเองและชาวบ้านได้เรียนรู้จากกรมทรัพยากรธรณี ทีมมดชนะภัย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนภาคเหนือ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนสามารถสร้างกำแพงคันดิน ทำทางระบายน้ำ และปรับปรุงโครงสร้างบ้านให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น
“ทุกวันนี้เราถูกบังคับให้ต้องสู้ ซึ่งก็อาจมีวันที่พลังของเราจะหมด อยากรบกวนหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบเข้ามาส่งเสริม สนับสนุนเราเป็นประจำ ให้เราสู้ต่อ เดินหน้าไปได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน”
เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ ผู้ใหญ่บ้านดอยแหลม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป การตัดสินใจย้ายถิ่นกลับซับซ้อนขึ้นอย่างมาก เพราะยังมีเรื่อง “เศรษฐกิจปากท้อง” ที่ต้องคิด และ “ความไม่ชัดเจนของนโยบาย” ทำให้พวกเขากังวลว่าถ้าต้องย้ายไปที่ใหม่จะมีเงิน หางานทำอย่างไร และชุมชนจะสามารถปรับตัวกับพื้นที่ใหม่ได้หรือไม่

เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ ผู้ใหญ่บ้านดอยแหลม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
“อยู่ – ย้าย” ชุมชนต้องตอบคำถาม ส่วนรัฐต้องทำประชาชนเชื่อมั่น
“ส่วนใหญ่การเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่อันตรายของชุมชนในหลาย ๆ แห่ง เกิดขึ้นจากการไปโดยไม่ได้วางแผน อย่างกรณีบ้านดอยแหลม บ้านหลังแรกที่มาปลูกในชุมชน เมื่อมาวิเคราะห์ก็พบว่าเป็นบ้านที่ปลอดภัยที่สุด เพราะคนที่ไปอยู่เขาจะเลือกพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่การขยายของชุมชนไม่ได้วางแผน พื้นที่ปลอดภัยจึงขยายตัวออกไปกลายเป็นพื้นที่เสี่ยง”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินถล่มและการจัดการภัยพิบัติ
ในการจัดการภัยพิบัติมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบคือ 1.) การจัดการโดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม 2.) การจัดการโดยไม่ใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม เช่น การมีระบบเตือนภัย การจัดโซน การย้ายถิ่นชั่วคราว การย้ายถิ่นถาวร และ 3.) การปรับตัว ซึ่งจะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า โครงสร้างพื้นฐานในการจัดการภัยที่เรามีอยู่เพียงพอหรือไม่ ?
ภัยพิบัติในบางพื้นที่อาจ “ปรับตัว” ได้ แต่บางแห่งก็ “ไม่สามารถทำได้” การย้ายจึงเป็นทางเลือกสำคัญหนทางหนึ่ง แต่จะย้ายไปไหน? ชุมชนต้องตอบคำถามให้ได้ ขณะเดียวกันนักวิชาการ รัฐบาล ภาคประชาสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
“การจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพที่สุดต้องเริ่มจาก ‘ผู้มีโอกาสประสบภัย’ หรือ ‘คนในพื้นที่’ ไม่ใช่ส่วนกลาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยภาระทุกอย่างไปให้เขา”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินถล่มและการจัดการภัยพิบัติ
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าอยู่มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยเกิดเหตุ ? นั่นเป็นเพราะว่ารอบการเกิดของภัยพิบัตินานกว่าชีวิตของเรา อาจเป็นหลักร้อยปีหรือนานกว่านั้นก็มี ซึ่งเครื่องมือทางธรณีวิทยาสามารถตรวจสอบประวัติภัยพิบัติได้
ดังนั้นการจะ “อยู่” หรือ “ย้าย” ขึ้นอยู่กับบริบทพื้นที่ แต่คำว่า “ย้าย” เกี่ยวพันถึงความเชื่อมั่นในรัฐบาลด้วย คือหากรัฐสั่งย้าย แม้จะมีพื้นที่รองรับอย่างเป็นระบบ แต่ขาดการประสานงานที่ดีในระดับพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการต้องย้ายไปพื้นที่อื่น ขณะที่ นายก อบจ.-อบต. แข่งขันช่วงชิงอำนาจ สุดท้ายปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะฉะนั้นความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐจึงสำคัญ

รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินถล่มและการจัดการภัยพิบัติ
ไทยยังขาด “แผน – กฎหมาย” รองรับการย้ายถิ่น
บทเรียนความสูญเสียจากภัยพิบัติที่ผ่านมา หากพิจารณาจากการการทุ่มงบประมาณของรัฐบาล ในปี 2567 รัฐบาลอนุมัติงบกลางรวม 8,045 ล้านบาท และในปี 2568 อนุมัติเพิ่มอีก 781 ล้านบาท เพื่อเยียวยาครัวเรือนอุทกภัยปี 2567
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าประเทศไทยต้องแบกรับภาระงบประมาณ เพื่อไล่ “เยียวยาและฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ” การ “ป้องกันเชิงรุก” จึงสำคัญ ซึ่ง “การย้ายถิ่นฐาน” ของกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง อาจช่วยลดความสูญเสียในระยะยาวได้
ผศ.บัณฑูร พานแก้ว คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นช่องว่างสำคัญคือ ประเทศ ไทยยังขาดความเข้าใจของประชาชนที่ยังมองการย้ายถิ่นในแง่ลบ และการขาดกลไกเชิงรุกในการจัดการการย้ายถิ่นฐาน
ซึ่งต่างจากประเทศเวียดนาม ที่ได้บรรจุการย้ายถิ่นไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติปี 2050 พร้อมกับออกแบบกลไกไว้อย่างชัดเจนว่าใคร หน่วยงานใดต้องทำอะไรบ้าง ขณะที่บังคลาเทศ ก็มีแผนที่เสี่ยงและมีกฎหมายรองรับการย้ายถิ่นแล้วเช่นกัน
“การย้ายต้อง ‘มีแผน’ เหมือนกับการทำประกัน เราไม่ได้อยากป่วย อยากเป็นมะเร็ง แล้วใช้ประกัน แต่แผนนี้จะเป็น ‘หลักประกัน’ สำคัญ ให้เรารู้ทันทีว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติจะอพยพไปที่ไหน”
ผศ.บัณฑูร พานแก้ว คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผศ.บัณฑูร พานแก้ว คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“GIS MAP” ตัวเปลี่ยนเกมตั้งรับ สู่การป้องกันภัยพิบัติเชิงรุก
ภัยพิบัติบางพื้นที่อาจเกิดขึ้นซ้ำซาก แต่บางแห่งอาจไร้สัญญาณเตือนมาก่อน แล้วบ้านของเราจะเสี่ยงไหม ? จะ ศูนย์สังเกตการณ์ด้านมนุษยธรรมเพื่อการวิเคราะห์นโยบายและการศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (HOPESEA) และ ศูนย์ดาวเทียมแห่งสหประชาชาติ (UNOSAT) จึงสร้าง “GIS Map” ขึ้นมา โดยจะนำปัจจัย 3 มิติมาซ้อนทับกันคือ
- ภัยพิบัติ (Hazard)
- การเปิดรับความเสี่ยง (Exposure) เช่น การตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณเสี่ยงภัยพิบัติ
- ความเปราะบาง (Vulnerability) เช่น ความยากจน
เพื่อเป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ใช้เช็กพื้นที่เสี่ยง ความเปราะบางต่าง ๆ หวังเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจ ว่าจะ “อยู่” หรือ “ย้าย” และวางแผนล่วงหน้าในการรับมือและป้องกันภัยพิบัติในเชิงรุก
ดูอย่างภาพนี้ เป็นภาพเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันและอนาคต โดยสีแดงที่เข้มมากจะสะท้อนให้เห็นว่าจังหวัดนั้น “เสี่ยงสูง” เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก (Hazard) มีพื้นที่ทางการเกษตรจำนวนมาก (Exposure) และคนในชุมชนส่วนใหญ่ มีรายได้น้อย (Vulnerability)
อย่างไรก็ตามแผนที่นี้ยังไม่สมบูรณ์และกำลังถูกพัฒนาต่อ โดยจะนำปัจจัยความเสี่ยงและตัวแปรด้านความเปราะบางรวม 80 ตัวแปรเข้ามาซ้อนทับกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ละเอียดถึงระดับหมู่บ้าน
“เครื่องมือนี้ไม่ใช่แค่การทำงานวิจัย แต่คือความพยายามในการผลักดันวาระแห่งชาติ เพราะเราทราบกันดีว่าภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เราจึงอยากชวนทุกฝ่ายมองไปที่ภาพอนาคตร่วมกัน และสร้างนโยบายเชิงรุก ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่สามารถเริ่มต้นพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐได้เลย หากปราศจากเครื่องมือที่เป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นี้”
ผศ.บัณฑูร พานแก้ว คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พอช.-ธนาคารที่ดิน เพิ่มโอกาสชุมชนพื้นที่เสี่ยง “มีที่ดินทำกิน-อยู่อย่างปลอดภัย”
จากช่องว่างเชิงนโยบายที่มี กลไกการทำงานของหน่วยงานที่ใกล้ชิดชุมชนที่สุดอย่าง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และธนาคารที่ดิน (บ.ท.ด.) ได้เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับชุมชนที่ต้องเผชิญกับคำถาม “อยู่ หรือ ย้าย”
สุธิดา บัวสุขเกษม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) เห็นสอดคล้องกับ “รศ.สุทธิศักดิ์” ว่า “ชุมชนต้องเป็นแกนหลัก” ในการจัดการภัยพิบัติ ตั้งแต่การเฝ้าระวัง การจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบาง การพัฒนาแผนที่เสี่ยงชุมชน ไปจนถึงการตัดสินใจว่าจะ “อยู่” หรือ “ย้าย”
“ในการจัดการภัยพิบัติ ‘ชุมชน’ ต้องเป็นแกนหลัก ในการลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเองและแก้ไขปัญหา แต่โดยลำพังของชุมชนเองไม่สามารถที่จัดการได้ทั้งหมด แต่จะทำอย่างไรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนในการหนุนเสริมให้ชุมชนเดินหน้าต่อได้”
สุธิดา บัวสุขเกษม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
พอช.ยืนยันบทบาทในการหนุนเสริมให้ขบวนองค์กรชุมชนลุกขึ้นมาจัดการตัวเอง โดยเน้นการสร้างชุดความรู้ และเชื่อมโยงชาวบ้าน นักวิชาการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าของที่ดินเข้าด้วยกัน เพื่อค้นหาวิธีที่จะอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องละทิ้งมิติเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชน
ซึ่งหนึ่งในโครงการสำคัญที่ พอช.ทำคือ “โครงการบ้านมั่นคง” ที่จะเข้าหนุนเสริมชุมชนด้านกระบวนการจัดการ และจัดสรรงบประมาณ ให้เงินอุดหนุนแก่องค์กรชุมชนเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่องค์กรชุมชน เพื่อนำไปเป็นทุนสำหรับ ก่อสร้างบ้านใหม่ ปรับปรุงบ้านเดิม ทำให้ชุมชนมีศักยภาพในการจัดการความเสี่ยง

สุธิดา บัวสุขเกษม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองและชนบท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
ด้าน สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เปิดเผยถึงภารกิจของธนาคารที่ดิน ที่จะช่วยเข้าซื้อที่ดินเอกชนแบบแปลงรวม เพื่อจัดสรรให้ชาวบ้านที่รวมตัวกันเป็น “สหกรณ์” หรือ “วิสาหกิจชุมชน” สามารถโยกย้าย มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
โดยธนาคารที่ดินจะให้องค์กรชุมชน ผ่อนชำระได้ 30 ปี ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ซึ่งเมื่อผ่อนชำระครบ ที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านและมรดกสู่ลูกหลานต่อไป
“ธนาคารที่ดิน เน้นการจัดซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาสูงสุดของตลาด เพื่อไม่ให้พี่น้องแบกรับหนี้ที่สูงเกินไป และทุกแปลงที่ดินที่จัดสรรจะได้รับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ทั้งน้ำ ไฟ และถนน เพื่อรับรองคุณภาพชีวิตที่มั่นคง”
สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)

สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
“One Map” จบปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ปลดล็อกรัฐเข้าช่วยเหลือชุมชนพื้นที่เสี่ยง
แนวเขตที่ดินของรัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายแต่ละประเภท ได้แก่ ป่าสงวนแห่งชาติ, เขตอุทยานแห่งชาติ และพื้นที่ป่าไม้ถาวร มีระเบียบกติกาและอำนาจในการตัดสินใจแตกต่างกันออกไป
ความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการที่ดินจึงหายไป กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาที่ดินของประชาชนต้องเจอทางตัน อย่างกรณีที่ชาวบ้านอยากย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยง แต่กลับไม่สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัด ยังหะสัน ผู้อำนวยการกองที่ดินของรัฐ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เปิดเผยว่า ทางหน่วยงานมองเห็นปัญหา และกำลังขับเคลื่อนเครื่องมือสำคัญ 2 อย่าง คือ
- แผนบริหารจัดการที่ดิน 15 ปี เป็นแผนระยะยาวที่จะวางกรอบการใช้ประโยชน์และจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ซึ่ง สคทช.จะนำข้อมูลจากการอภิปรายนี้ไปผนวก พัฒนาแผนให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น
- นโยบาย “One Map” เป็นการจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวทั้งประเทศ เพื่อกำหนดให้ “1 พื้นที่มี 1 หน่วยงานรับผิดชอบ” อย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 2568 จะแล้วเสร็จ
การดำเนินการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้หน่วยงานอื่นสามารถเข้าไปจัดการและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ เพราะที่ผ่านมาพื้นที่ยังคงเป็นพื้นที่ทับซ้อนทางกฎหมาย ทำให้กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง หรือหน่วยงานพัฒนาสาธารณูปโภคอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ สคทช. ยังพร้อมที่จะนำ ข้อมูลจาก GIS Map เข้าไปผนวกในแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้การจัดการที่ดินในอนาคตมีความปลอดภัยและสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศจริงยิ่งขึ้น

มูฮัมหมัด ยังหะสัน ผู้อำนวยการกองที่ดินของรัฐ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
การตัดสินใจ “อยู่” หรือ “ย้าย” อาจขึ้นอยู่กับบริบทของชุมชน แต่การจะไปถึงเป้าหมาย ยังคงต้องการเสียงของประชาชนทุกคนที่จะช่วยกันผลักดันให้เกิดนโยบายเชิงป้องกัน ที่จะทำให้คนพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มเปราะบางมีหลักประกันด้านความมั่นคงในชีวิต