ภาพของเด็กนักเรียนสองคนพายเรือจับปลาแทนการนั่งเรียนในห้องเรียน ท่ามกลางชุมชนที่ถูกน้ำท่วมสูงถึงชั้นสอง สะท้อนวิกฤตซ้ำซ้อนที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งวิกฤตน้ำท่วม กับ “อนาคต” ของเด็กๆ ที่กำลังสูญเสียโอกาสทางการศึกษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่บางบาลได้ยืดเยื้อมาอย่างต่อเนื่องนานกว่าสี่เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 และยังคงส่งผลกระทบ ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจนถึงปัจจุบัน แม้เขื่อนเจ้าพระยาจะทยอยลดอัตราการระบายน้ำลงแล้ว (19 พ.ย. 68) แต่ระดับน้ำในพื้นที่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ชาวบ้านต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางน้ำที่ท่วมขังเกือบทุกพื้นที่

สำหรับโรงเรียนบางบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอขนาดเล็กที่มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพียง 200 คน และครู 16 คน สถานการณ์ในปีนี้ถือเป็นความท้าทายที่รุนแรงและยาวนานที่สุด
“วาสนา ภาคาแพทย์” ผู้อำนวยการโรงเรียนบางบาล เปิดเผยว่า แม้น้ำท่วมจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพื้นที่แห่งนี้ แต่ความรุนแรงและระยะเวลาที่ยาวนานในปีนี้ได้สร้างผลกระทบสะสมต่อการเรียนการสอนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ภาคเรียนที่ 1 ซึ่งเพิ่งผ่านไป แม้โรงเรียนจะสามารถป้องกันน้ำไม่ให้เข้าท่วมตัวอาคารได้ด้วยคันดินที่กรมชลประทานสร้างไว้ แต่บ้านของนักเรียนในชุมชนโดยรอบกลับถูกน้ำท่วมหนัก ส่งผลให้นักเรียนจำนวนมากไม่สามารถเดินทางมาโรงเรียนได้ การสอบปลายภาคเรียนจึงไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ โรงเรียนต้องจัดสอบ สำหรับนักเรียนที่ตกค้างในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่
เมื่อเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา โรงเรียนต้องเริ่มด้วยการเรียนออนไลน์เนื่องจากระดับน้ำยังคงสูง หลังจากนั้นจึงสามารถเปิดเรียนแบบออนไซต์ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะต้องกลับไปสู่การเรียนออนไลน์อีกครั้งเมื่อสถานการณ์น้ำท่วมกลับมารุนแรงขึ้น นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ต่อเนื่องเข้าสัปดาห์ที่สอง (19 พ.ย. 68) โดยโรงเรียนคาดว่าจะสามารถกลับมาเรียนแบบออนไซต์ได้ในวันจันทร์หน้า หากระดับน้ำลดลงเพียงพอ

ความไม่พร้อม การเรียนออนไลน์
แม้โรงเรียนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ และครูทุกคนก็สั่งงานผ่านแอปพลิเคชันไลน์ คอยติดตามชิ้นงานและใบงานของนักเรียน แต่ผู้อำนวยการวาสนาระบุว่า “เด็กจำนวนหนึ่งไม่พร้อมจริงๆ” ความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ระบบการสอนเท่านั้น แต่อยู่ที่สภาพความเป็นอยู่ของนักเรียนแต่ละคน
นักเรียนบางคนไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นสำหรับการเรียนออนไลน์ บางครอบครัวยังคงต้องดิ้นรนกับการขนของหนีน้ำ หรือซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ทำให้นักเรียนไม่สามารถโฟกัสกับการเรียนได้อย่างเต็มที่
“นันทนา แหวนนา” ครูภาษาอังกฤษ โรงเรียนบางบาล เล่าถึงความพยายามของคณะครูที่ต้องส่งงานผ่านไลน์และหวังว่าเด็กๆ จะใช้เวลาว่างจากการปิดเรียนเพื่อทบทวนบทเรียน แต่ความเป็นจริงกลับเป็นอีกนัยหนึ่ง
“ภูมิรักษ์ รัตนปิยะภรณ์” นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักเรียนที่พยายามต่อสู้กับสถานการณ์ เขาบอกตรงๆ ว่าน้ำท่วมทำให้ความพร้อมในการแข่งขันลดลงทางการเรียนลดลง เมื่อไม่สามารถไปโรงเรียนได้เป็นเวลาสองสัปดาห์ แต่ก็ยังได้เห็นความพยายามของเขาที่ยังคงแสวงหาความรู้แม้สภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวย
เขามีความฝันอยากเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอีกเพียงปีเดียวก็จะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วต้องตัดสินใจเรียนต่อที่อื่น ขณะที่ครอบครัวก็มีฐานะที่ลำบากอยู่แล้ว น้ำท่วมที่ยืดเยื้อเหมือนมาซ้ำเติมความยากลำบากให้หนักขึ้นไปอีก
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตกต่ำ
เมื่อดูจากผลคะแนนสอบ O-NET แนวโน้มของนักเรียนโรงเรียนบางบาลลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา
“วาสนา” มองว่าน้ำท่วมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการเรียนของเด็กตกต่ำ และหากต้องปิดเรียนยาวนานกว่านี้ ผลกระทบจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้โรงเรียนยังถูกกำหนดให้ต้องมีนักเรียนสอบ O-NET ครบ 100% เพราะเป็น “โรงเรียนคุณภาพประจำอำเภอ” ทำให้การจัดการเรียนต้องเข้มข้นขึ้น แม้จะอยู่ในภาวะที่ทุกอย่างไม่ปกติ
ช่องว่างทางการศึกษาระหว่างเด็กบางบาลกับเด็กในเมืองยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้ครูทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการสอน และโรงเรียนพยายามพัฒนาทักษะชีวิตอื่นๆ เช่น กีฬาและดนตรีไทย เพื่อเสริมความสามารถให้เด็กแต่ละคนเติบโตต่อได้ แต่ข้อจำกัดต่างๆ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
“นักเรียนระดับมัธยมปลายคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลายคนอาจหลุดจากระบบการศึกษาและออกไปทำงานตามฐานะของครอบครัว ขณะที่โรงเรียนไม่เคยเก็บค่าบำรุงการศึกษา จึงต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากศิษย์เก่าและชุมชนเพื่อจัดหาทุนการศึกษาให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 4 ทุกปี”
ผอ.โรงเรียนบางบาล ยังเสนอให้มีติวเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยติวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และปีที่ 6 เพื่ออุดช่องว่างการเรียนรู้ที่หายไปหลายสัปดาห์
“แม้ตัวพื้นที่โรงเรียนจะป้องกันน้ำท่วมได้แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่บ้านของนักเรียน โรงเรียนพร้อม แต่เด็กไม่พร้อม เพราะเขามาโรงเรียนไม่ได้ ถ้าท้องถิ่นจัดการน้ำได้ เด็กก็กลับมาเรียนได้ ผลสัมฤทธิ์ก็จะดีขึ้นเอง” ผอ.วาสนา กล่าว
เด็กสายกีฬา ความฝันที่ถูกน้ำท่วมกลืนหาย
ผลกระทบของน้ำท่วมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน แต่ยังรวมไปถึงกิจกรรมกลางแจ้งนักเรียนทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมฟุตบอลของโรงเรียนบางบาล ซึ่งต้องหยุดฝึกซ้อมเป็นเวลาสามเดือนเต็มเพราะสนามถูกน้ำท่วมจนใช้การไม่ได้
“สุทธิพงศ์ โพธิ์รังสกุล” ครูพลศึกษาและผู้ฝึกสอนทีม เปิดเผยว่าทีมฟุตบอลก่อตั้งมาได้ห้าปี มีนักกีฬาทั้งหมดเป็นนักเรียนของโรงเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ และส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักนักกีฬา
แต่ปีนี้น้ำเข้าท่วมสูงถึงระดับหน้าต่างบ้านพัก ทำให้นักเรียนต้องย้ายออกและกลับไปอยู่บ้านริมถนน ก่อนที่น้ำจะตามท่วมอีกครั้ง
“บ้านพักพัง ของใช้พัง หนังสือเรียนพังหมด เด็กอยู่ไม่ได้เลย” ครูสุทธิพงศ์กล่าว
ปัจจุบันทีมเหลือนักกีฬาเจ็ดคน หลังจากที่เด็กหลายคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จากความสามารถด้านกีฬา ครูสุทธิพงศ์ระบุว่าทุกวันนี้ นักกีฬาทำได้แค่วิ่งและเวทเทรนนิ่งเพื่อรักษาสภาพร่างกายเท่านั้น
“การฝึกแท็กติกและสัมผัสลูกบอลไม่สามารถทำได้เลย กีฬาถ้าไม่ได้ซ้อม ก็เรียบร้อยครับ ความพร้อมเราด้อยกว่าโรงเรียนอื่นมาก” เขากล่าว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทีมบางบาลทำผลงานได้ดีมาก มีการเตรียมตัวไปแข่งขันรอบประเทศที่เชียงราย และเคยเข้าร่วมการแข่งขันเจ็ดสีและรายการระดับจังหวัดหลายรายการ แต่ปัจจุบันความพร้อมแทบไม่เหลือเพียงพอสำหรับการแข่งขันใดๆ
ครูสุทธิพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่าน้ำท่วมบางบาลรุนแรงเพราะการบริหารจัดการน้ำไม่สมดุล โดยระบุว่าน้ำจำนวนมากถูกปล่อยลงพื้นที่บางบาลเกินกว่าที่คลองธรรมชาติจะรองรับได้
“ไม่จำเป็นต้องปล่อยน้ำลงมาที่บางบาลเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แบบนี้ คลองแคบจะรับไหวได้ยังไง แล้วมันกระทบเด็กเป็นวงกว้างมาก”
เขาย้ำว่าเด็กในบางบาลมีโอกาสน้อยกว่าอยู่แล้ว การที่ต้องเผชิญน้ำท่วมหลายเดือนยิ่งทำให้สูญเสียโอกาสทั้งการเรียน กีฬา และชีวิตประจำวันที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียม

“สุทธิพงศ์ โพธิ์รังสกุล” ครูพลศึกษาและผู้ฝึกสอนทีม
ยูนิเซฟ-นิด้า โรงเรียนไม่พร้อมรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนบางบาลไม่ใช่กรณีเฉพาะ แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาระดับประเทศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น รายงานสำรวจล่าสุดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า เกือบทุกโรงเรียนในประเทศไทยต้องเผชิญสภาพอากาศรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากยังขาดการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการรับมือและปกป้องความปลอดภัยและการเรียนรู้ของเด็ก
การสำรวจดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2568 โดยเก็บข้อมูลจากโรงเรียนของรัฐ 329 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงเรียนเฉพาะความพิการ 14 แห่ง ใน 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงสามปีที่ผ่านมา เช่น เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา ยะลา และนราธิวาส ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนและนักเรียนกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นต่อฝนตกหนัก น้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ผลการสำรวจพบว่าทุกโรงเรียนเคยประสบสภาพอากาศรุนแรงอย่างน้อยหนึ่งประเภทในรอบสามปีที่ผ่านมา โดยภัยที่เกิดบ่อยและส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดได้แก่ พายุ ฝนตกหนัก และน้ำท่วม
โรงเรียนสามในสี่แห่ง คิดเป็น 75% ระบุว่าสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐานได้รับผลกระทบ เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่ม ห้องน้ำ สุขอนามัย อาหารปลอดภัย หรือการเดินทางมาโรงเรียน
ขณะที่กว่าครึ่ง คิดเป็น 55% รายงานว่านักเรียนเผชิญปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่มาพร้อมกับความร้อน โรคที่มียุงเป็นพาหะ หรือโรคที่มาพร้อมกับน้ำ เช่น ไข้เลือดออก ท้องร่วง หรือโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้เกือบครึ่งหนึ่งของโรงเรียน คิดเป็น 46% ได้รับความเสียหายต่ออาคารสถานที่
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ โรงเรียนประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่าไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใดๆ หลังประสบภัยสภาพอากาศรุนแรง ขณะที่โรงเรียนที่เคยได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่ได้รับในรูปแบบข้อมูลหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้า คิดเป็น 41% การอบรมหรือกิจกรรมเตรียมความพร้อม 35% และการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร น้ำดื่ม หรือสิ่งของจำเป็น 34%

“เซเวอรีน เลโอนาร์ดี” รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย บอกว่า ข้อมูลครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของเด็กในการเข้าถึงการศึกษา และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
”เราจำเป็นต้องเร่งเสริมความพร้อมให้โรงเรียนมีความรู้ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กทุกคนยังคงเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้ในยามน้ำท่วมหรือยามที่เกิดคลื่นความร้อน หากเราไม่ลงมือในวันนี้ ผลที่ตามมาคือการสูญเสียการเรียนรู้และศักยภาพของเด็กจำนวนมาก” ผู้แทนยูนิเซฟ กล่าว
เมื่อปีที่แล้ว อุทกภัยจากพายุ “ไต้ฝุ่นยางิ” ส่งผลให้นักเรียนกว่า 19,000 คนในโรงเรียน 555 แห่งในภาคเหนือของไทยไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ครูต้องปรับไปใช้การเรียนออนไลน์หรือส่งมอบใบงานถึงบ้านของนักเรียน
ผลสำรวจยังพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยสองในสามของโรงเรียนคาดว่าจะเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น และกว่าครึ่ง คิดเป็น 54% คาดว่าจะเจอคลื่นความร้อนที่รุนแรงกว่าเดิมในอนาคต
ในด้านความพร้อมและขีดความสามารถของโรงเรียนในการรับมือกับสภาพอากาศรุนแรง โรงเรียนกว่าครึ่ง คิดเป็น 53% ประเมินว่าตนมีความพร้อมอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ความต้องการเร่งด่วนที่โรงเรียนระบุได้แก่ การอบรมและจัดกิจกรรมให้นักเรียนเรียนรู้เรื่องภาวะโลกร้อนและการปรับตัว การอบรมครูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว และข้อมูลหรือระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันเวลาและเชื่อถือได้
แม้เกือบทุกโรงเรียนจะสอดแทรกเนื้อหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการเรียนการสอน แต่ครูกว่า 80% ไม่เคยได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการและต้องพึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะที่โรงเรียนเฉพาะความพิการมีความต้องการสูงกว่าโรงเรียนทั่วไป ทั้งด้านการอบรมครู สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย อุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมาะสม และงบประมาณสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยดัชนี Global Climate Risk Index ปี 2568 จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่การวิเคราะห์ของยูนิเซฟในปี 2564 จัดไทยอยู่อันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศที่เด็กเผชิญความเสี่ยงสูงสุด นอกจากนี้รายงาน Over the Tipping Point ปี 2566 ของยูนิเซฟ ระบุว่าเด็กกว่า 10.8 ล้านคนในประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่ออุทกภัยและภัยแล้ง
กสศ.แนะใช้แพลตฟอร์ม Mobile School
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่น้ำท่วม “อิษฏ์ ปักกันต์ธร” ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ของ กสศ. บอกว่าทาง กสศ.เห็นสถานการณ์น้ำท่วมมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงมองเห็นปัญหาว่าครูและนักเรียนจัดการเรียนการสอนอย่างไรในภาวะน้ำท่วมขนาดนี้ และหลังภาวะน้ำท่วมก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้นักเรียนกลับเข้าสู่การเรียนปกติได้
กสศ.จึงเปิดรับสมัครและสำรวจว่ามีโรงเรียนไหนที่อยากเข้าโครงการ เนื่องจากทาง กสศ.มีแพลตฟอร์ม Mobile School เพื่อช่วยยืดหยุ่นในการเรียนการสอน โรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมโครงการประกอบด้วย โรงเรียนประชากรรังสฤษฏ์ อำเภอบางบาล โรงเรียนวัดน้ำเต้า (อุดมราษฎร์นิมิต) อำเภอบางบาล โรงเรียนวัดเชิงท่าบางปะอิน อำเภอบางปะอิน และโรงเรียนวัดท่าดินแดง อำเภอผักไห่ ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้มีจำนวนนักเรียนระหว่าง 39-90 คน
จากสถานการณ์น้ำท่วมหนัก กสศ.มองว่าคุณครูก็มีความพยายามอยากเต็มที่ในการจัดการเรียนการสอน เอาใบงานไปให้เด็ก ซึ่งก็มีความยากลำบากในการเดินทาง อีกทั้งเด็กก็มีภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์ด้วย และคุณครูก็พบปัญหามากเช่นเดียวกัน เพราะต้องดูแลเด็กและชีวิตตัวเองด้วย
เสียงสะท้อนความกังวลของคุณครู คือกังวลว่าเด็กจะเรียนไม่ทันหลักสูตร เพราะสถานการณ์ที่เกินควบคุม โดยเฉพาะนักเรียนที่จะต้องข้ามไปศึกษาในช่วงชั้นรอยต่อ อย่างนักเรียนที่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็เป็นความกดดันของครูว่าจะช่วยเด็กยังไงให้เตรียมตัวสำหรับการสอบ O-NET ได้
กสศ.ได้ลงพื้นที่ไปยัง 4 โรงเรียนขนาดเล็กเพื่อจะเห็นภาพว่าแพลตฟอร์มที่วางแผนไว้จะใช้ได้กับพื้นที่จริงอย่างไร ถ้าใช้แพลตฟอร์มออนไลน์นั้นจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง ซึ่งคุณครูสะท้อนมาว่านักเรียนบางส่วนก็ยังเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ โดยเป้าหมายหลักของ กสศ.คือการทำงานร่วมกับครูและทำความเข้าใจกับผู้ปกครองในเรื่องการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กได้รับการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง
“อิษฏ์ “ จาก กสศ. เสนอว่ากระทรวงศึกษาธิการต้องทำงานร่วมกับกระทรวงอื่นๆ เพื่อวางมาตรการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้ที่เกิดขึ้นทุกปี การแก้ปัญหาวิกฤตการศึกษาจากน้ำท่วมไม่สามารถทำได้โดยภาคการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีการบูรณาการระหว่างหลายหน่วยงาน อาทิเช่น
กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำต้องมีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำที่คำนึงถึงผลกระทบต่อโรงเรียนและการศึกษา การปล่อยน้ำจากเขื่อนควรมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าให้โรงเรียนและชุมชนมีเวลาเตรียมตัวอย่างเพียงพอ การกระจายภาระการรับน้ำควรเป็นไปอย่างเป็นธรรมและไม่ปล่อยให้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งต้องแบกรับภาระมากเกินไป
กระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณเพียงพอสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัย การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม และการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็นสำหรับการเรียนในสถานการณ์ฉุกเฉิน การลงทุนในการป้องกันและเตรียมพร้อมอาจมีต้นทุนสูงในระยะสั้น แต่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้มาก
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้การเรียนออนไลน์เป็นทางเลือกที่เป็นจริงสำหรับเด็กทุกคน ไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิดที่ดูดีบนกระดาษแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในพื้นที่
กระทรวงสาธารณสุขต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาสุขภาพที่จะตามมาหลังน้ำท่วม ทั้งโรคติดเชื้อและปัญหาสุขภาพจิต เพราะเด็กที่มีสุขภาพไม่ดีจะไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาโครงสร้างและการจัดการน้ำ
หากจะมองถึงสาเหตุรากลึกของปัญหา จะพบว่าไม่ได้อยู่แค่ที่ปริมาณฝนที่ตกหนักหรือภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมและการขาดการวางแผนที่เป็นระบบในระยะยาว ครูสุทธิพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่าน้ำท่วมบางบาลรุนแรงเพราะการบริหารจัดการน้ำไม่สมดุล โดยระบุว่าน้ำจำนวนมากถูกปล่อยลงพื้นที่บางบาลเกินกว่าที่คลองธรรมชาติจะรองรับได้
การปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ต่างๆ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและจำเป็นต้องมีการสมดุลระหว่างการป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองใหญ่กับการกระจายผลกระทบไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างเป็นธรรม แต่ในความเป็นจริง พื้นที่ชนบทและพื้นที่ชายขอบมักจะเป็นพื้นที่ที่ต้องรับภาระการระบายน้ำมากกว่าและนานกว่า ในขณะที่ไม่ได้รับการชดเชยหรือการสนับสนุนที่เพียงพอ
นอกจากนี้ การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมในการรับมือกับน้ำท่วม เช่น ระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ คันกั้นน้ำที่ครอบคลุม หรือระบบเตือนภัยที่ทันเวลา ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น โรงเรียนและชุมชนจำนวนมากไม่มีแผนรับมือภัยพิบัติที่ชัดเจน ไม่มีสถานที่อพยพที่เหมาะสม และไม่มีทรัพยากรสำรองที่จำเป็นในยามฉุกเฉิน
บทเรียนอนาคต การเตรียมอย่างเป็นระบบ
“โรงเรียนคือด่านหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”
เซเวอรีน เลโอนาร์ดี จากยูนิเซฟ บอกว่าเราต้องลงทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมความพร้อมให้โรงเรียนทั่วประเทศสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และทำให้มั่นใจว่าเด็กทุกคน รวมถึงเด็กในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากหรือพื้นที่ห่างไกล ได้เรียนรู้อย่างปลอดภัย การเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนและระบบการศึกษาไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่ออนาคตของเด็กทุกคน
ยูนิเซฟกำลังทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และพันธมิตรอื่นๆ เพื่อผลักดันแนวคิด “การศึกษาเพื่อรับมือสภาพภูมิอากาศ” (Climate Smart Education) ให้โรงเรียนทั่วประเทศมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุม เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้อย่างเต็มที่และเติบโตเต็มศักยภาพท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบจำเป็นต้องครอบคลุมหลายมิติ
ประการแรก คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับอาคารเรียนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การสร้างคันกั้นน้ำที่มีประสิทธิภาพ หรือการจัดเตรียมพื้นที่อพยพภายในโรงเรียนสำหรับกรณีฉุกเฉิน
ประการที่สอง คือการพัฒนาระบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ การพึ่งพาการเรียนออนไลน์อย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะนักเรียนจำนวนมากไม่มีอุปกรณ์หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียร จำเป็นต้องมีทางเลือกหลากหลาย เช่น การจัดทำสื่อการเรียนรู้ที่สามารถใช้งานได้แบบออฟไลน์ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่สามารถทำหน้าที่เป็นโรงเรียนสำรองในยามฉุกเฉิน หรือการพัฒนาหลักสูตรที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
ประการที่สาม คือการพัฒนาศักยภาพของครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์วิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลจากการสำรวจชี้ให้เห็นว่าครูกว่า 80% ไม่เคยได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในภาวะวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การจัดอบรมครูอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
ประการที่สี่ คือการสร้างระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมสำหรับนักเรียนและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ การให้ความช่วยเหลือไม่ควรจำกัดอยู่แค่การแจกถุงยังชีพหรือเงินช่วยเหลือเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการสนับสนุนทางการศึกษา เช่น การให้ทุนการศึกษา การจัดหาอุปกรณ์การเรียน การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และการติดตามนักเรียนที่มีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
ผลกระทบระยะยาวที่สังคมต้องเผชิญ
ความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นกับระบบการศึกษาไม่ใช่แค่ความเสียหายในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบสะสมในระยะยาว การที่เด็กเสียเวลาเรียนหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จะทำให้พวกเขาตามบทเรียนไม่ทัน สูญเสียพื้นฐานความรู้ที่จำเป็น และอาจนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำลงในระยะยาว
สำหรับเด็กในครอบครัวยากจน ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงขึ้น การสูญเสียรายได้ของครอบครัวจากน้ำท่วมอาจนำไปสู่การที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนและไปทำงาน การขาดโอกาสทางการศึกษาจะทำให้พวกเขาติดอยู่ในวงจรแห่งความยากจนต่อไป ไม่สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการมีงานทำที่มีรายได้ดีในอนาคต
ในภาพรวมทั้งประเทศ การสูญเสียศักยภาพของเด็กจำนวนมากจะส่งผลต่อคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศในอนาคต เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพจะเติบโตเป็นแรงงานที่ขาดทักษะ มีผลิตภาพต่ำ และไม่สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ นี่คือต้นทุนที่มองไม่เห็นแต่มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจแถวระบบรับน้ำกทม. รองผู้ว่าฯลั่นน้ำเท่ามหาอุทกภัยปี 54 ก็”เอาอยู่”
- งบการศึกษา “มากเกินพอ” แต่จัดสรรไร้ประสิทธิภาพ
- พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา: โอกาสที่ไม่ควรมองข้าม




