เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) จัดการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 ครั้งที่ 2 หนึ่งในเวทีเป็นการเสวนาในหัวข้อเรื่อง “เงิน: การจดสรรงบประมาณสู่การศึกษาที่เท่าเทียมและยั่งยืน” โดยมีการเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุย
ปัญหาการศึกษาไทยเป็นสิ่งที่ค้างคามานาน และรัฐบาลที่ผ่านๆ มาจนมาถึงรัฐบาลอนุทินก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการปฏิรูปอะไรในวงกว้าง ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำยังดำเนินต่ออยู่เรื่อยๆ งบประมาณด้านการศึกษาเป็นทั้ง “ตัวกระตุ้น” ความเหลื่อมล้ำและเป็น “ตัวช่วย” ลดความเหลื่อมล้ำได้หากได้รับการจัดสรรอย่างถูกต้อง

งบการศึกษาพอไหม?
หากถามว่างบประมาณด้านการศึกษาของไทยพอไหม? ไกรยส ภัทรวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ตอบอย่างชัดเจนว่า “พอ” หากดูจากตัวเลขของประเทศไทยจะเห็นได้ว่าใช้งบประมาณด้านการศึกษาอยู่ที่ 4.7% ต่อ GDP ซึ่งถือว่าสูงและมีความใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของประเทศ OECD ที่ 4.9% ที่เป็นประเทศรายได้สูงด้วยซ้ำ ฉะนั้นแล้วงบประมาณด้านการศึกษาไทยนั้นเพียงพอ
นอกจากนี้งบประมาณการศึกษาเรื่องความเสมอภาคสามารถมองได้ 2 แกน ความเสมอภาคแนวนอน Horizontal Equity และ ความเสมอภาคแนวตั้ง Vertical Equity
ความเสมอภาคแนวนอนคือสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ว่านักเรียนจะเป็นเพศอะไร สัญชาติอะไร หรือเชื้อชาติอะไร จะต้องได้รับจากรัฐเหมือนกัน ในขณะที่ความเสมอภาคแนวตั้งหมายถึง งบประมาณที่นักเรียนควรได้รับช่วยเหลือจากรัฐตามความจำเป็น ที่มีความแตกต่างกัน แต่ทว่าช่องว่างระหว่างงบประมาณสองก้อนนี้มีความแตกต่างกันมากที่ 18% และ 4% ส่งผลให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำยังคงเกิดขึ้น

Screenshot
ปัญหาแรก: โครงสร้างรัฐบาล
การศึกษาไทยไม่มีปัญหาที่งบประมาณไม่เพียงพอ แต่ปัญหาอยู่ที่การกระจุกตัว 83% ของงบประมาณด้านการศึกษาของไทยมาจากส่วนกลาง และอีก 17% เป็นงบประมาณจากท้องถิ่น
โครงสร้างลักษณะนี้ไม่ช่วยเรื่องการจัดสรรงบประมาณที่มียืดหยุ่นตามความต้องการของโรงเรียนในพื้นที่ หากดูจากข้อมูลด้านล่างจะเห็นได้ว่าหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการจัดงบประมาณจากท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่เพราะมีความเข้าใจบริบทของโรงเรียนและความจำเป็นที่แท้จริงมากกว่ารัฐบาลกลาง
นอกจากนี้ ไกรยส ยังยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นประเทศที่มีการกระจายอำนาจด้านการศึกษาสูง ถึงแม้จะไม่มีข้อมูลเชิงตัวเลข แต่งบประมาณด้านการศึกษาจากส่วนกลางนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะที่ญี่ปุ่นมีการทำงานระหว่างท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยในพื้นที่อย่างจริงจัง

ปัญหาที่สอง: ขาดความสมมาตรของข้อมูล
ไกรยส กล่าวต่อว่า “ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องขาดความสมมาตรของข้อมูลอยู่ หรือภาวะ Asymmetric Information” ระหว่างหน่วยจัดสรรงบประมาณ และ หน่วยรับงบประมาณ ซึ่งคือโรงเรียนนั้นเอง
ผู้รับงบประมาณ (โรงเรียน) เป็นฝ่ายที่มีข้อมูลเชิงลึก รู้จักเด็กนักเรียนดีที่สุด รู้ความต้องการของโรงเรียนมากที่สุด ฉะนั้นโรงเรียนสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำแผนเสนอของบประมาณได้ ในขณะที่หน่วยจัดสรรงบประมาณต้องการข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นและคุณภาพเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาวิเคราะห์การจัดสรรงบประมาณที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้ข้อมูลที่มีมหาศาลจาก 30,000 กว่าโรงไม่ได้ถูกส่งไปยังหน่วยงานที่จัดสรรงบประมาณ จึงทำให้เกิดการจัดการด้านงบประมาณที่ไม่สมเหตุสมผล
ไกรยส ชี้ว่าสิ่งที่ สมศ. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประเมินคุณภาพจะสามารถช่วยได้คือ นำรายงานจากการลงไปอยู่กับโรงเรียน พร้อมความต้องการหลักของโรงเรียนเช่น ความปลอดภัยของอาคาร หรือสมรรถนะที่ไม่เพียงพอของครูที่ต้องมีการพัฒนาเพิ่ม ส่งต่อไปยังหน่วยจัดสรรงบประมาณ เพื่อให้เกิดการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม
ครั้งต่อไปที่ สมศ. ลงไปตรวจ จะสามารถประเมินอีกรอบเพื่อติดตามความคืบหน้าได้ ว่าสุดท้ายแล้วได้รับงบประมาณไหม ได้เท่าไหร่ มีการเปลี่ยนแปลงไหม อย่างไรบ้าง ในสุดท้าย ดร. ไกรยสเน้นว่า “ต้องไม่กลัวที่จะผิด เราต้องทำให้กระบวนการการเรียนรู้เกิดขึ้น ถ้าผิดก็ต้องแก้กันไป หากวงจนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้สัก 3 ปี 5 ปี เชื่อว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้”
จัดสรรอย่างไรให้ดีขึ้น?
พิริยะ ผลพิรุฬห์ กรรมการสำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เสนอ ทฤษฎี 3 ป. เพราะระบบการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ไม่สามารถตอบโจทย์การศึกษาที่มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไทยได้
เปลี่ยน ป. แรกคือเปลี่ยนสูตรคิดคำนวณจัดสรรงบประมาณ เป็น Weighed Student Formula หรือ WSF เป็นการคิดงบประมาณจากเครดิตนักเรียน ไม่ใช่การนับรายหัว ยกตัวอย่าง เด็กยากจนอาจจะมี x หน่วย เด็กพิการอาจจะคิดเป็น xx หน่วย เพราะต้องการครูที่มีความ Specialized มากขึ้น หรืออาจจะเป็นสูตรแปรผันตามระยะทางก็เป็นได้ ยิ่งบ้านอยู่ห่างไกลก็ได้เครดิตเพิ่มตามระยะทาง และเป็นการให้งบประมาณแบบ Block Grant หรือเป็นก้อน โดยไม่มีการระบุว่าต้องเอางบประมาณไปลงส่วนไหน ไม่มีการระบุ Spec นั้นเอง วิธีนี้จะช่วยเสริม Equity หรือความเสมอภาค
ปล่อย คือ ป. ที่สอง เมื่อโรงเรียนได้รับงบประมาณแล้ว เราต้องปล่อย ให้อิสระ ให้โรงเรียนมีอำนาจ มีบทบาทในการบริหารการเงิน เช่น โรงเรียนนี้เด็กสนใจเรียนภาษา อาจจะจ้างครูต่างชาติตามความสามารถและตามความสนใจ หรือนำงบประมาณไปซื้อเทคโนโลยีที่ขาดได้ การปล่อยอำนาจให้ผู้ปฏิบัติเป็นการเพิ่ม Efficiency หรือประสิทธิภาพ
ปรับ คือ ป. สุดท้าย เมื่อโรงเรียนมีอิสระแล้วต้อง “ปรับ” ตัวชี้วัด เพื่อสร้างความรับผิดรับชอบหรือ Accountability โรงเรียนต้องระบุว่าตัวชี้วัดคืออะไร จะได้มีการประเมินและติดตามต่อ และควรเปลี่ยนจาก Input-based ที่นับเป็นกระดาษเอกสาร มาเป็น Performance-based แทนเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง
ภาคเอกชนสนใจและพร้อมช่วย
เนตรชนก วิภาตะศิลปิน ฝ่ายตัวแทนของภาคเอกชน กรรมการและเลขานุการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ชี้ว่า หากมีข้อมูลที่ดี และระบบบริหารข้อมูลที่ดีจะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณที่ดีขึ้น และเพิ่มการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้
School Management System หรือ ระบบฐานข้อมูลและการบริหารโรงเรียน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาและมีตัวชี้วัดทั้งหมด 53 ข้อ ใน 5 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น Student, Market Mechanism, Digital Infrastructure, Curriculum และ High Quality Principle and Teacher
เนตรชี้ว่า เมื่อมีเป้าหมายที่ถูกต้องและตัววัดที่ถูกต้อง จะสามารถทำให้ติดตามนักเรียนได้ดีและจะสามารถติดตามนักเรียนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ การเลื่อนระดับชั้น และการที่มีข้อมูลที่ดีจะสามารถดึงให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น
หากมีข้อมูลที่ชัดเจน ในแง่หนึ่งเมื่อ Pain เกิดขึ้น โรงเรียนจะมีโอกาสเสนอเพื่อของบประมาณจากภาครัฐ แต่ถ้าภาคเอกชนคนไหนสนใจ Pain นั้นๆ ที่โรงเรียนกำลังเผชิญอยู่หรือรู้สึกเชื่อมโยงกับ Pain ก็จะสามารถเข้าไปช่วย Subsidize ได้
อย่างไรก็ตาม เนตรย้ำว่า กระบวนการนี้ต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ติดตามตัวชี้วัด ติดตามเด็ก และต้องมีความโปร่งใส ซึ่งระบบ Single source ที่ติดตามนักเรียนตั้งแต่ต้นจนสำเร็จการศึกษาหรือนักเรียนมีการข้ามสายไปอาชีวศึกษาจะช่วยได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




