สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกบทวิเคราะห์ “ถอดรหัสความเหลื่อมล้ำไทย : อยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก?” ใน รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนแลความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล เมื่อมากกว่าค่าเฉลี่ยนในกลุ่มประเทศอาเซียน
สศช.นำข้อมูลจาก World Inequality Database ในช่วงปี 2554-2566 สะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในสองมิติหลัก คือ
- อัตราส่วนรายได้ของประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงสุดร้อยละ 10 (Top 10) ต่อกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 50 (Bottom 50)
- ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) ด้านรายได้ ที่คำนวณจากข้อมูลรายได้ประชาชาติ
ประเทศไทยมีอัตราส่วนรายได้เฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู ่ที่ 4.41 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.626 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า Gini จากการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำของไทยในปี 2564 ที่ 0.61211
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าประเทศไทยมีระดับความเหลื่อมล้ำอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบริบททางเศรษฐกิจและสังคมใกล้เคียงกัน และยิ่งแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
ที่มา: World Inequality Database. https://wid.world/data/
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50 อยู่ที่ 4.19 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.617 จะพบว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค รวมถึงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีบริบทใกล้เคียง เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งแม้มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่า โดยมีอัตราส่วนรายได้เพียง 3.04 และ 2.95 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.560 และ 0.553 ตามลำดับ
ในขณะที่มาเลเซีย ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่าไทย กลับมีอัตราส่วนและค่า Gini เพียง 2.14 เท่า และ 0.495 ซึ่งแสดงถึงโครงสร้างการกระจายรายได้ที่สมดุลกว่าของมาเลเซีย
หากเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ความแตกต่างยิ่งชัดเจน โดยกลุ่มประเทศนอร์ดิก เช่น นอร์เวย์ และสวีเดน มีความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุด โดยมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50
เฉลี่ยเพียง 1.22 เท่า และมีค่า Gini เพียง 0.387 และ 0.389 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้าที่ช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
สำหรับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร พบว่า มีความเหลื่อมล้ำสูงกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยมีอัตราส่วนรายได้ของ Top 10 ต่อ Bottom 50 เฉลี่ย 1.61 และ 1.83 เท่าและมีค่า Gini อยู่ที่ 0.451 และ 0.473 ตามลำดับ
ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพากลไกตลาดเสรีเป็นหลัก ถึงแม้จะมีระบบสวัสดิการสังคมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้า แต่ก็ยังไม่เข้มข้นเท่ากลุ่มนอร์ดิก ทำให้ช่องว่างทางรายได้ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน
ขณะที่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แม้มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง แต่ก็ยังคงเผชิญความเหลื่อมล้ำมากกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิกและยุโรปตะวันตก โดยมีอัตราส่วนรายได้ของกลุ่ม Top 10 ต่อ Bottom 50 อยู่ที่ 1.82 และ 2.33 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.471 และ 0.508 ตามลำดับ ปัจจัยสำคัญมาจากการพึ่งพาเศรษฐกิจภาคเอกชนมากกว่าระบบสวัสดิการสังคม ทำให้ความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ทั้งสองประเทศจะมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าแล้วก็ตาม
ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน แต่ยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำในระดับที่สูงกว่าทั้งประเทศเพื่อนบ้านและประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า การแก้ไขปัญหาจึงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบภาษีให้ครอบคลุมฐานความมั่งคั่งและทรัพย์สิน การทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกระบบกลายเป็นทางการ และการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการศึกษาและการจ้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งตอบสนองทั้งมิติของรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ และคุณภาพชีวิตของแรงงาน
การศึกษาแนวทางจากประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ซึ่งสามารถรักษาความเหลื่อมล้ำให้อยู่ในระดับต่ำโดยไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ไทยพัฒนานโยบายที่ตอบโจทย์มากขึ้น เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- พัฒนาทุนมนุษย์ไม่ใช่ภาระ! ข้อเสนอถึงรัฐแก้ความเหลื่อมล้ำ
- VAT กับความเหลื่อมล้ำ: เมื่อ VAT ยังไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม (ที่สุด) ในการลดความเหลื่อมล้ำ
- เผยดัชนีความจนหลายมิติ(MPI) คนไทย”จน-เสี่ยงจน”เกือบครึ่งประเทศ