สศช.ชำแหละนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ พบว่า "ยิ่งแก้-ยิ่งจน" แม้จะมีโครงการต่อเนื่อง งบประมาณ 5 แสนล้าน แต่ทำได้เพียงระดับการ "การเยียวยา-สงเคราะห์" แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างที่ส่งผลให้เกิดความยากจนและเหลื่อมล้ำได้ ในทางตรงกันข้ามความยากจนและความเหลื่อมล้ำกลับแย่ลง
สศช.ออกรายงานความเหลื่อมล้ำปี 67 พบว่าสังคมไทยเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน พบว่าความเหลื่อมล้ำของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าหรือสูงกว่า เราย่ำแย่กว่าเพื่อน
นโยบายที่มุ่งผลลัพธ์รวดเร็ว กำลังสร้าง 'ช่องว่าง' ผลักให้ 'คนจน' ยิ่งจมดิ่ง ในขณะที่ปัญหาความยากจนซับซ้อน เกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียวหรือ แก้โดยใครคนใดคนหนึ่ง 'ท้องถิ่น' จึงเป็นอีกกลไกสำคัญ ที่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างรัฐและสังคม ให้เกิดการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับ "ชีวิตจริง" ของคนจน
จากรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 4/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ไทยสามารถลดสัดส่วนคนจนหลายมิติ จากร้อยละ 20.08 ในปี พ.ศ. 2558 เหลือร้อยละ 8.76 ในปี พ.ศ. 2566 แต่ความท้าทายสำคัญคือมีจำนวนคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ
สศช. รายงาน "ดัชนีความยากจนหลายมิติ" หรือ MPI ระบุคนจนหลายมิติของไทยในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ลดลงกว่าครึ่ง แต่ความยากจนยังเป็นประเด็น"ท้าทาย" แม้สัดส่วนจะลดลง แต่คนจนมีมากถึง 7.17 ล้านคน และมีคนเสี่ยงเป็นคนจน "หลายมิติ" อีก 24.3 ล้านคน รวม 2 กลุ่มเกือบครึ่งประเทศจากประชากรในปีเดียวกัน 66.05 ล้านคน
ในยุคที่เสียงของกลุ่มคนไร้อำนาจ (powerless) ถูกละเลยในกระบวนการทำนโยบาย คำถามสำคัญคือ "เมื่อใดจึงจะทำให้เสียงของกลุ่มคนไร้อำนาจสามารถมีผลต่อนโยบาย?"
ผู้สูงอายุจำเป็นต้องมีรายได้เลี้ยงชีพในวัยเกษียณ แต่ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” จ่ายสูงสุด 1,000 บาท/เดือน กลับไม่ได้ปรับขึ้นมากว่า 10 ปี ขณะที่ข้าวของแพงขึ้นทุกปี ทำให้ไม่เพียงพอกับ“ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ” และยังต่ำกว่าเส้นความยากจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดมีข้อเสนอจ่ายถ้วนหน้า 3,000 บาท จะเป็นไปได้แค่ไหน?