ประเทศไทยมีการพัฒนาประเทศเป็นอุตสาหกรรมและการขยายตัวของภาคบริการ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งทำให้ประเทศมีความมั่งคั่งและฐานะของประเทศโดยรวมดีขึ้น จนกลายเป็นประเทศที่มี “รายได้ปานกลาง” แต่กลับเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงและสถานการณ์ไม่ดีขึ้น แม้ผ่านไปนานเกือบครึ่งศตวรรษ
ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม ชี้ให้เห็นว่านโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าความมั่งคั่งของประเทศจะเพิ่มขึ้น
ล่าสุด ศูนย์วิจัยความเหลื่อมลํ้าโลก (World Inequality Lab) รายงานความเหลื่อมลํ้าโลก 2026 (World Inequality Report– WIR 2026) ระบุว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทั่วโลกในปี 2568 รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย อยู่ในกลุ่มที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก ทั้งรายได้และความมั่งคั่งด้านทรัพย์สินยังกระจุกตัวในคนกลุ่มน้อย ทำให้ความร่วมเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: ความเหลื่อมล้ำโลกรุนแรง ไทยติดกลุ่มหนักสุดในโลก
ความเหลื่อมล้ำทางรายได้

เป็นเรื่องที่หลายๆ คนรับรู้ว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำสูง WIR 2026 ความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นหนึ่งเรื่องที่รุนแรงมากในไทย กราฟฟิกด้านบนแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ข้อมูลตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้มีรายได้สูงสุด 10% ของประเทศมีสัดส่วนของรายได้เกินกว่าครึ่งของรายได้ทั้งหมด (52.10%) และผู้มีรายได้สูงสุด 1% ของประเทศครอบคลุมสัดส่วนรายได้อยู่ที่เกือบ 20% และ ผู้ที่มีรายได้ต่ำสุด 50% ของประเทศมีสัดส่วนรายได้เพียง 11% ของรายได้ทั้งหมด
ช่องวางทางรายได้ระหว่างกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 10% และผู้ที่มีรายได้ต่ำสุด 50% ขยายจาก 42 เป็น 47% ระหว่างปี 2014 ถึง 2024 สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
ไทยแซงเพื่อนบ้านในอาเซียนและเอเซีย
ความไม่เสมอภาคด้านรายได้ ปี 2554 – 2566

ที่มา: World Inequality Database รวบรวมโดยสภาพัฒน์
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ช่วนสนับสนุนว่าความเหลื่อมล้ำในไทยเป็นปัญหาที่รุนแรงและต้องรีบแก้ไข
Gini Index คือตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ โดยมีคะแนนระหว่าง 0-1 คะแนนยิ่งต่ำจะสื่อถึงความเสมอภาคที่สูงและความเหลื่อมล้ำที่ต่ำ ในขณะที่ค่าคะแนนที่สูงแปลว่ามีความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง เทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีอัตราส่วนรายได้ระหว่างกลุ่มมีรายได้สูงสุด 10% ต่อ ผู้มีรายได้ต่ำสุด 50% ค่าเฉลี่ย Gini Index ของประเทศไทยอยู่ที่ 0.617 ฟิลิปปินส์ 0.560 อินโดนีเซีย 0.553 และมาเลเซียที่ 0.495
ตัวเลข 0.617 สื่อว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีบริบทใกล้เคียง เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่แม้จะมีรายได้ต่อหัวที่ต่ำกว่าไทย แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่า และมาเลเซียที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าไทยก็มีค่าความเหลื่อมล้ำที่ต่ำกว่า สะท้อนว่าโครงสร้างการกระจายรายได้นั้นมีความสมดุลมากกว่าประเทศไทย
และเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น ประเทศนอร์เวย์และสวีเดนมีความเหลื่อมล้ำต่ำสุด ที่ 0.387 และ 0.389 ตามลำดับ สองประเทศนี้มีความเหลื่อมล้ำที่ต่ำเพราะมีระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้าที่ช่วยกระจายรายได้ได้อย่างทั่วถึง
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถึงแม้จะมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง แต่ทั้งสองยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำมากกว่าประเทศนอร์เวย์และสวีเดน ค่าเฉลี่ย Gini Index ของเกาหลีอยู่ที่ 0.471 และญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.508 เหตุผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เพิ่งพาภาคเอกชนมากกว่าระบบสวัสดิการสังคม ทำให้ความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ทั้งสองประเทศจะมีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าแล้วก็ตาม
ความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สิน
ในอีกมุมหนึ่ง ความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สินรุนแรงยิ่งกว่าด้านรายได้เสียอีก ผู้มีรายได้สูงสุด 10% ของประเทศครอบครองทรัพย์สินมากถึง 64.75% ของทรัพย์สินทั้งหมด และผู้ที่มีรายได้สูงสุด 1 % ของประเทศมีทรัพย์สินอยู่ที่ 32.31% ในขณะที่ผู้ที่มีรายได้ต่ำสุด 50% ของประเทศมีทรัพย์สินเพียง 3.17% ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงความรุนแรงที่คนไทยเจอมาหมายทศวรรษ และแนวโน้มไม่มีวี่แววที่ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำจะดีขึ้น

ตัวเลขที่น่าตกใจขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ประเทศไทยจะติดเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินสูง ภาพด้านล่างแสดงถึงอัตราส่วนของทรัพย์สินของกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 10% ต่อกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด 50% จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีสีแดงเข้ม แปลว่าช่องวางระหว่างสองกลุ่มรายได้นั้นใหญ่มาก

ความเสมอภาคทางเพศ ต้องปรับปรุง
ในเรื่องของความเสมอภาคทางเพศ อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้หญิง หรือ Female Labor Participation เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 44.5% เป็น 46.5%
ก่อนหน้านี้มีรายงาน Global Gender Gap Report จาก World Economic Forum ที่สะท้อนว่า ประเทศไทยทำดีในด้านการศึกษา ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาตั้งแต่ชั้นระดับช่วงชั้นที่หนึ่ง ช่วงชั้นที่สอง และเข้าเรียนไปยังระดับอุดมศึกษา และด้านสาธารณะสุขทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็มีค่าเฉลี่ยอายุไขที่เท่าๆ กัน
แต่การก้าวไปถึงตลาดแรงงานกลับมีช่องว่างอยู่ระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ยกตัวอย่าง ตำแหน่งงานระดับสูง เช่น ผู้จัดการหรือผู้บริหาร มีสัดส่วนของผู้หญิงอยู่ที่ 40.64% แต่สัดส่วนเพศชายมีมากกว่าที่ 59.36%
สุดท้ายนี้ World Inequality Lab ให้ข้อสรุปว่าความเหลื่อมล้ำเป็นผลมากจากทางเลือกทางการเมือง ผลลัพธ์จากนโยบาย สถาบัน และโครงสร้างที่กำกับวิถีชีวิตคน ฉะนั้นแล้วความเหลื่อมล้ำล้วนแต่มาจากการกระทำและการตัดสินใจจากมนุษย์ และในเวลาเดียวกันก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ด้วยมนุษย์ การปฏิรูปที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการกระจายรายได้ ระบบภาษีที่ยุติธรรม หรือการลงทุนในสังคมจะช่วยได้
ที่มา: World Inequality Report 2026
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




