ThaiPBS Logo

ดัชนีเท่าเทียมทางเพศไทยร่วงที่ 66 ของโลก เหลื่อมล้ำอำนาจการเมือง “สูง”

23 ส.ค. 256810:19 น.
ดัชนีเท่าเทียมทางเพศไทยร่วงที่ 66 ของโลก เหลื่อมล้ำอำนาจการเมือง “สูง”
  • การศึกษาไทยทำได้ดี หญิง-ชาย ได้เข้าเรียนอย่างทั่วถึงและเรียนในระดับสูง หญิงจบระดับอุดมศึกษามากกว่า แต่ก้าวไปไม่ถึงระดับผู้นำ
  • สัดส่วนเพศชายทำงานการเมืองมาก ขาดสมดุล-ขาดตัวแทนของสังคม
  • ปัญหาจากระบบกดขี่ทางเพศ จะลดทอนศักยภาพคนไทย
เปิดรายงานดัชนีช่องว่างทางเพศโลก ประจำปี 2568 ความเหลื่อมล้ำทางเพศในประเทศกำลังพัฒนายังสูง ไทยติดอันดับ 66 ของโลก แม้ความเท่าเทีมการศึกษาได้อันดับ 1 แต่ตลาดและตำแหน่งแรงงานถูกปิดกั้น ทำให้ลงทุนการศึกษาไม่คุ้มค่า ขณะที่ตำแหน่งทางการเมืองย่ำแย่ ติดอันดับ 105 ผู้หญิงก้าวถึงบทบาทสำคัญน้อยมาก

World Economic Forum เผยรายงาน Global Gender Gap Report ของปี 2568 โดยตัวชี้วัด Global Gender Gap Index จากการประเมิน 4 มิติหลักด้วยกันคือ

  • Education การศึกษา
  • Health attainment สุขภาพและการอยู่รอด
  • Economic participation and opportunity โอกาสและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ
  • Political Empowerment อำนาจทางการเมือง

คะแนนของตัวชี้วัดมีการวัดบน Scale ระหว่าง 0-1 โดยหนึ่งหมายถึงคะแนนที่สูงที่สุด ซึ่งผลศึกษาของปีนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศที่อยู่อันดับ Top 10 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นประเทศในเขตทวีปยุโรป เช่น ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ หรือสวีเดน เป็นต้น

หากมีเปรียบเทียบในระดับภาพใหญ่ กลุ่มประเทศรายได้สูง (High-income country) มีความสามารถในการลดช่องว่างของความเหลี่ยมล้ำทางเพศได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ (Low-income country) โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กัมพูชามีอันดับของ Female labor-force participation rate หรือการมีส่วนร่วมของตลาดแรงงานในผู้หญิงสูงที่สุดในเขตทวีปที่ 40%

สำหรับประเทศไทย จะเห็นว่ามีความก้าวหน้าโดยเฉพาะการศึกษาและสุขภาพของสตรีที่มีคะแนนโดดเด่น ในด้านของการศึกษาไทยสามารถคำแนนได้เต็ม 1.000 หรือเทียบได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก และสุขภาพของผู้หญิงและการอยู่รอดก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน

ความเท่าเทียมทางเพศ

ความเท่าเทียมทางเพศ ไทยทำดีด้านไหน?

หากเจาะลึกลงไปในแต่ละมิติ เราจะภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในแต่ละด้าน

สำหรับการประเมินในเรื่องการศึกษา มีการรวบรวมสี่ปัจจัยเข้าด้วยกัน คือ การอ่านออกเขียนได้ การเข้าเรียนในระดับช่วงชั้นที่หนึ่ง การเข้าเรียนในระดับช่วงชั้นที่สองหรือมัธยม และการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา

รายงานฉบับนี้ชี้ว่า ประเทศไทยทำดีในเรื่องของการให้เด็กทั้งเพศหญิงและเพศชายมีการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมทั้งในระดับชั้นมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ซึ่งยังพบว่าเพศหญิง (53.12%) มีการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษามากกว่าเพศชาย (39.43%) ด้วยซ้ำ

ในเรื่องของสุขภาพ ทั้งเพศหญิงและเพศชายมีค่าเฉลี่ยของอายุขัยที่คาดว่าบุคคลจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีสุขภาพดีได้ในระดับที่เท่า ๆ กัน

การศึกษาดี แต่… ขาดไม้ต่อ

การสนับสนุนเพศหญิงและเพศชายให้มีบทบาทที่เท่าเทียมกันยังบกพร่อง และไม่สามารถส่งต่อความเท่าเทียมทางเพศในเรื่องของการศึกษาไปสู่ตลาดแรงงานได้

ถึงแม้จะมีตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าเพศหญิงเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษามากกว่าเพศชาย แต่สิ่งนี้ไม่สะท้อนต่อความเป็นจริงในภาคเศรษฐกิจของไทย เพราะว่าเพศหญิงมีอัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานที่น้อยกว่าเพศชายที่ 60.61% และ 76.61% ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีช่องว่างระหว่างเพศหญิงและเพศชายอยู่มากในเรื่องของบุคลากรที่ทำงานตำแหน่งระดับสูง เช่น ผู้จัดการหรือผู้บริหาร มีจำนวนเพศหญิงที่อยู่ตำแหน่งสูงอยู่ที่ 40.64% ในขณะที่เพศชายมีสัดส่วนมากกว่าที่ 59.36%

สถานการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่สามารถส่งเสริมการเติบโตได้อย่างเท่าเทียม และสื่อไปถึง Return on education investment ที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะมีความไม่เชื่อมโยงระหว่างการได้รับการศึกษาและการมีส่วนรวมในภาคเศรษฐกิจ

ผู้ชายครองตำแหน่งทางการเมือง!

คะแนนด้านที่ต่ำสุดสำหรับประเทศไทย คือด้านอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ แต่เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างยิ่งหากดูจากตัวเลข

  • จำนวนผู้หญิงในสภา (19.60% ต่อ 80.40%)
  • จำนวนผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งเกี่ยวกับรัฐมนตรี (15.79% ต่อ 84.21%)
  • จำนวนปีที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำประเทศ (2.76% ต่อ 47.24%)

คะแนนของอำนาจทางการเมืองคำนวณมาจาก 3 ปัจจัยด้านบน และตัวเลขเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดนี้กำลังตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงในการบริหารบ้านเมือง เหตุการณ์ลักษณะนี้ที่อำนาจทางการเมืองที่ไม่มีความเท่าเทียมระหว่างเพศ และที่ผู้หญิงเป็นส่วนน้อยในการดำรงตำแหน่งผู้แทนของประชาชนกำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก

นอกเหนือจากนี้ ผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในกระทรวงมักจะได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานเกี่ยวกับด้านเพศ สุขภาพ หรือสังคม มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลในเรื่องของกระทรวงที่มีอิทธิพลต่อยุธศาสตร์ระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือโครงสร้างสาธารณูปโภค

ความไม่สมดุลในจุดนี้ส่งผลต่อการเอนเอียงในการให้ความสำคัญต่างๆ ต่อการขับเคลื่อนนโยบายของชาติ และความไม่สมดุลในตำแหน่งมักจะทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ได้คำนึงถึงประชากรอย่างแท้จริง

ฉะนั้นแล้วถึงภาพรวมประเทศไทยจะดูดีในบางเรื่อง แต่ยังต้องมีขับเคลื่อนส่วนอื่นๆ อย่างจริงจัง เช่นการเพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในบทบาทระดับผู้บริหาร ผู้นำองค์กร พัฒนาและสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อศักยภาพของผู้หญิง หรือปิดช่องว่างทางเพศเพื่อสร้างนวัตกรรม การเติบโต และความสามัคคีให้สังคมไทยอย่างยั่งยืน

ที่มา: Global Gender Gap Report 2025

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

สถาบันการเมือง

การเลือกวุฒิสมาชิก (สว.) ในปี 2567 เป็นการเลือกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้น แม้ว่าจะมีเจตนารมณ์เพื่อให้มีวุฒิสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมากในเรื่องของกฏกติกาในการเลือกตั้ง เพราะเป็นการเลือกโดยผู้สมัคร

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

มีเป้าหมายเพื่อให้จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ‘เป็นศูนย์’ โดยเฉพาะในการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 - ม.3) เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เด็กมีโอกาสพัฒนาชีวิต ออกจากความยากจน ประเทศจะได้แรงงานคุณภาพ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และจัดเก็บรายได้มากขึ้น โดยกุญแจสำคัญเพื่อให้ทำนโยบายเป็นจริงได้คือ ‘ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น'

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: