การเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจของไทยในปีนี้ดูจะมุ่งเน้นไปที่คู่สมรสเท่าเทียมเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยตรง
ในขณะที่สังคมไทยกำลังมีความสุขกับความเท่าเทียมในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่เราสามารถก้าวข้ามความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องเพศที่กดทับกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่ให้ได้รับความเคารพในศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปในสังคมมาเป็นเวลาช้านาน
คำถามจำนวนมากเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจากกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวกันที่มีข้อเท็จจริงหรือเงื่อนไขบางอย่างเพิ่มเติมขึ้นมาจากความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองในฐานะคู่สมรสที่ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้สมาชิกมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นหากแต่ยังรวมถึงลูก ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขาด้วย
แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมของประเทศไทยจะถือว่าอยู่ในระดับที่มีความก้าวหน้ามากเมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศอื่น ๆ ทั้งในด้านรูปแบบและสิทธิหน้าที่ซึ่งคู่สมรสที่มีเพศเดียวกันได้รับจากกฎหมายดังกล่าว
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎหมายสมรสเท่าเทียมมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสมรสให้มีลักษณะเป็นกลางทางเพศเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหมั้น เงื่อนไขการสมรส ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีสถานะสมรส
กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่ได้แตะต้องหรือแก้ไขกรอบความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับบิดามารดากับบุตรในระบบกฎหมายไทยที่ความเป็นบิดามารดากับบุตรเป็นข้อเท็จจริงและสามารถตรวจสอบได้โดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้ความเป็นบิดามารดากับบุตรในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นเรื่องของชายกับหญิงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเกี่ยวกับความเป็นบิดามารดากับบุตรในครอบครัวของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกมองข้ามโดยกฎหมายสมรสเท่าเทียม เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือกฎหมายอุ้มบุญ เป็นหนึ่งในกฎหมายหลายฉบับที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้รองรับความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบครอบครัวของสังคมไทยที่การสมรสไม่ได้เป็นเรื่องของชายกับหญิงเท่านั้นอีกต่อไป
โดยการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 9-23 ธันวาคม 2567 ได้รวมถึงประเด็นการกำหนดให้คู่สมรสเท่าเทียมสามารถใช้บริการตั้งครรภ์แทนเพื่อให้ทั้งคู่สามารถมีบุตรร่วมกันได้ในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย และโดยสภาพบังคับในมาตรา 68 ของกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลา 180 วัน นับแต่วันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับหรือภายในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่จะถึงนี้ในอีกไม่ช้า รูปแบบครอบครัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันจะเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย
แม้จะมีความชัดเจนในกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอุ้มบุญในระดับหนึ่งแล้วว่าในอนาคตอันใกล้นี้คู่สมรสเท่าเทียมจะสามารถมีบุตรด้วยกันได้โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์เช่นเดียวกันกับคู่สมรสชายหญิง
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความเป็นบิดามารดากับบุตรนั้นกฎหมายอุ้มบุญเพียงแต่กำหนดให้ถือว่าเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ที่ประสงค์จะมีบุตรซึ่งได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายอุ้มบุญเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดสิทธิหน้าที่ในความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรไว้โดยเฉพาะ
ด้วยเหตุนี้เด็กที่ถือกำเนิดขึ้นมาและผู้ที่ประสงค์จะมีบุตรตามกฎหมายอุ้มบุญจะมีสิทธิหน้าที่ต่อกันอย่างไรจึงเป็นเรื่องที่จะต้องย้อนกลับไปพิจารณาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ความเป็นบิดามารดากับบุตรยังคงเป็นเรื่องของชายกับหญิงและไม่ได้รับการแก้ไขโดยกฎหมายสมรสเท่าเทียมดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น
เพื่อให้สิทธิหน้าที่ในความเป็นบิดามารดาของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะคู่สมรสเท่าเทียมซึ่งได้รับการรับรองในร่างกฎหมายอุ้มบุญที่กำลังแก้ไขกันอยู่ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขพื้นฐานความคิดของความเป็นบิดามารดากับบุตรในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้มีลักษณะเป็นกลางทางเพศมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดรับกับเพศสภาพของผู้ที่ประสงค์จะมีบุตรตามกฎหมายอุ้มบุญซึ่งไม่จำกัดว่าต้องเป็นคู่สามีภริยาเท่าน้ั้นแต่จะรวมถึงคู่สมรสที่มีเพศเดียวกันทั้งสองฝ่ายด้วย
ในประเด็นเกี่ยวกับความเป็นกลางทางเพศของคำว่าบิดามารดานั้น เคยมีการเสนอโดยภาคประชาชนในการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพื่อให้แทนที่คำว่าบิดามารดาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยคำว่า “บุพการี” และ “บุพการีลำดับแรก” ซึ่งมีลักษณะที่เป็นกลางทางเพศมากกว่า
แต่ด้วยเหตุที่มาตรา 28 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ต่างให้ความหมายของคำว่าบุพการีไว้ในทำนองเดียวกันว่าหมายความถึง บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด ซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปทุกชั้น โดยไม่ได้หมายถึงบิดามารดาเท่านั้น การนำคำว่าบุพการีหรือบุพการีลำดับแรกมาใช้แทนคำว่าบิดามารดาจึงอาจก่อให้เกิดปัญหาในการใช้และตีความกฎหมายได้ ข้อเสนอดังกล่าวของภาคประชาชนจึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา
แนวทางที่เหมาะสมประการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือการที่รัฐบาลจะต้องออกมาแสดงความชัดเจนในการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องบิดามารดากับบุตรให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขถ้อยคำว่าบิดามารดาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้เป็นถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นกลางทางเพศและในขณะเดียวกันต้องไม่นำไปสู่ปัญหาความกำกวมในการใช้และตีความกฎหมายด้วย
การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวนั้นจะต้องสอดรับกับการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือกฎหมายอุ้มบุญ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในสิทธิหน้าที่ของเด็กที่ถือกำเนิดมาตามกฎหมายอุ้มบุญซึ่งมีผู้ให้กำเนิดตามกฎหมายที่มีเพศเดียวกันทั้งสองฝ่าย
แต่ในขณะเดียวกันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดสิทธิหน้าที่ภายในครอบครัวของพวกเขานั้นกลับยังคงยึดติดกับคำว่าบิดามารดาที่แสดงถึงเพศชายและหญิงอยู่ ส่วนปัญหาว่าจะนำถ้อยคำใดมาใช้แทนที่คำว่าบิดามารดาจึงจะเหมาะสมกับบริบททางสังคมและกฎหมายของไทยนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในรัฐสภาต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ส่องชีวิต LGBTQIA+ หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียม