“คนไทยต้องหลุดพ้นความยากจน” คือ คำมั่นสัญญาที่ทุกรัฐบาลประกาศ แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา การแก้ปัญหาความยากจนกลายเป็นแค่ความท้าทายที่ไม่สามารถแก้ไขได้จริง แม้จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากก็ตาม เพราะมาตรการแก้ปัญหาของรัฐบาลไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้าและการสงเคราะห์ มากกว่าใช้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะช่วยนำไปสู่การแก้ปัญหาระยะยาว
รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ในประเทศไทย ปี 2567 โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2568 วิเคราะห์นโยบายและช่องว่างการดำเนินนโยบายในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมา พบปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และการแก้ไขปัญหาความยากจน
ขณะที่การดำเนินนโยบายของภาครัฐผ่านกลไกเชิงสถาบันและการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที เป็นรูปธรรม ยังถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ที่จะนำไปสู่สังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
สศช.ได้วิเคราะห์นโยบายและมาตรการสำคัญในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยเน้นการติดตามและประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในเชิงประจักษ์ ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและยกระดับแนวทางนโยบายของประเทศไทยให้มีความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาความยากจนยังไม่สามารถแก้ไขในเชิงโครงสร้าง
การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567
งบแก้จน ไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
การจัดสรรงบประมาณ และการใช้จ่ายงบประมาณเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่สำคัญสำหรับภาครัฐในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการของภาครัฐ
อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพในการจัดบริการสาธารณะ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และการใช้งบประมาณในระดับพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3.60 ล้านล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 19.58 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยมีการเบิกจ่ายรวม 3.54 ล้านล้านบาท
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คิดเป็นมูลค่า 827,041 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.35 ของงบประมาณทั้งหมด
แม้รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำ และโครงการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดสรรเงิน อุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินอุดหนุนกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกในหมวดนี้
สะท้อนให้เห็นว่า การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในปัจจุบันอาจยังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างจำกัด ทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำซึ่งฝังรากลึกในระดับโครงสร้างยังไม่สามารถดำเนินการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ทุ่ม 5 แสนล้านไม่แก้จน-เหลื่อมล้ำ
ขณะที่ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ มีมูลค่าการเบิกจ่ายรวม ทั้งสิ้น 580,166 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิง โครงสร้างในระยะกลางถึงระยะยาว ผ่านการลงทุนทางด้านการศึกษาและสาธารณสุข
เป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์ดังกล่าว คือ การยกระดับศักยภาพของประชาชน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการสร้างรายได้ให้สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม โครงการส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้จึงให้ความสำคัญกับประเด็นด้านการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาทักษะแรงงาน
อาทิ ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐพัฒนาด้าน สาธารณสุขและสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก โครงการพัฒนาภาคีเครือข่ายให้มีศักยภาพในการดำเนินการจัดการสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมในชุมชน โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
การจำแนกโครงการภายใต้ทั้งสองยุทธศาสตร์ที่ได้กล่าวมาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของภาครัฐ ในการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในเชิงระบบ โดยเน้นการสร้าง “โครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม” (Social Safety Net) เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานให้แก่กลุ่มเปราะบาง งบประมาณส่วนใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ถูกจัดสรรให้กับแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการ ดังนี้
- แผนงานยุทธศาสตร์สร้างหลักประกันทางสังคม 44.73 %
- แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 38.15 %
- แผนงานยุทธศาสตร์สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา 10.25 %
โดยมีโครงการสำคัญ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยความพิการ ซึ่งล้วนเป็นกลไกในการป้องกันไม่ให้ประชาชนตกอยู่ ใต้เส้นความยากจน
มาตรการแก้จน เน้น “สงเคราะห์”เฉพาะหน้า
อย่างไรก็ตาม โครงการและมาตรการที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาวยังมีจำนวน และงบประมาณจำกัด แม้จะมีมาตรการสำคัญ เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งมุ่งลดความยากจนข้ามรุ่นผ่านการสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา รวมถึงโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ช่วยส่งเสริมโอกาสในระดับพื้นที่
แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณสวัสดิการโดยรวม ยังมีข้อจำกัดในการสร้างสมดุล ระหว่างการแก้ไขปัญหาระยะสั้นกับการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่ ไม่ได้มุ่งเน้นที่การลงทุนเพื่อพัฒนา “ระบบความคุ้มครองทางสังคม” ที่มั่นคงและเท่าเทียม แต่กลับเน้นไปที่มาตรการเชิง “สงเคราะห์” หรือการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังระยะยาว
ดังนั้น ความท้าทายจึงมิใช่เพียงการคงไว้ซึ่งกลไกคุ้มครองทางสังคมที่มีอยู่ แต่ยังรวมถึงการออกแบบนโยบายและการจัดสรรงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับ “การสร้างภูมิคุ้มกัน” ให้แก่ประชาชนมากขึ้น ผ่านการยกระดับคุณภาพการศึกษา การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้เป็นเอกภาพ และการปฏิรูปโครงสร้างที่ส่งเสริมการเข้าถึงที่ดินและแหล่งทุนอย่างเป็นธรรม
การเบิกจ่ายงบประมาณยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จำแนกตามแผนงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
นโยบายแก้จน ปี67 ไม่แก้เชิงโครงสร้าง
ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้าง (Structural Challenge) ที่มีความซับซ้อน และเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในสังคมไทย และทั่วโลก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่เกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงกับมิติทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิต
การเข้าถึง ทรัพยากรและโอกาส ตลอดจนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่า โดยความซ้อนทับ และต่อเนื่องของปัญหาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพทางสังคม และ ลดทอนศักยภาพการพัฒนาประเทศในระยะยาว
แม้จะมีความพยายามในการดำเนินนโยบายและมาตรการ เพื่อบรรเทาปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่ประสิทธิผลในหลายโครงการอาจยังมีข้อจำกัด และไม่สามารถนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน เนื้อหาในส่วนนี้ จึงรวบรวมและสังเคราะห์ให้เห็นการดำเนินนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาที่สำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา รวมทั้งสะท้อนให้เห็นข้อจำกัดของการดำเนินนโยบาย
ทั้งนี้นโยบายการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ในปีงบประมาณ 2567 หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างครอบคลุมหลายมิติ โดยอาจจำแนกออกเป็น 6 ประเด็นหลัก
- การส่งเสริมอาชีพและการสร้างรายได้
- การพัฒนาคุณภาพชีวิตและหลักประกันทางสังคม
- การพัฒนาทุนมนุษย์
- การเข้าถึงทรัพยากรและการกระจายทรัพย์สิน
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ และ
- กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
รัฐบาลในปี67 เน้นการเยียวยา–ช่วยเหลือ
นโยบายการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ในปีงบประมาณ 2567 สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเฉพาะหน้าเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การสร้างหลักประกันทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการโอนเงินและสวัสดิการสังคม ซึ่งมีสัดส่วนถึง 78.45 % ของงบประมาณ โครงการและมาตรการที่สำคัญทั้งหมด (มูลค่ารวมทั้งสิ้น 519,913.64 ล้านบาท)
ตัวอย่างเช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ในทางกลับกัน มาตรการที่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพการพัฒนา และสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว กลับมีสัดส่วนเพียง 21.28 % ของงบประมาณ เช่น การลงทุนในทุนมนุษย์ การปรับโครงสร้างหนี้ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ความท้าทายสำคัญไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเด็นการจัดสรรงบประมาณ แต่ยังรวมถึง การปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามและประเมินผล จากการมุ่งวัด “ผลผลิต” ไปสู่ “ผลลัพธ์” และ “ผลกระทบ” ที่ยั่งยืน การปรับทิศทางดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ทั้งการยกระดับรายได้ของประชาชนอย่างมั่นคง การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และโอกาส ตลอดจนการสร้างกลไกการบูรณาการนโยบายและมาตรการที่มีประสิทธิภาพและสอดประสานกันอย่างแท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- “คนจน ยิ่งจน” : สังคมไทยกำลังเผชิญวิกฤติความจน
- ความเหลื่อมล้ำกระทบหนัก ระบบการศึกษาและโอกาสคนยากจน
- ไทยสุดยอดความเหลื่อมล้ำ สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน