ประเทศไทยทุ่มเททรัพยากรให้กับการพัฒนาการศึกษาของประเทศมานาน แต่ยังเผชิญกับปัญหามากมาย เพราะการศึกษาไม่เพียงเป็นเรื่องการจัดหาบริการพื้นของภาครัฐ แต่งยังเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมอื่น ๆ โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาไทย
ความเหลื่อมล้ำเป็นความท้าทายต่อการศึกษาไทยในหลายด้าน เพราะเกี่ยวกับ“ปัญหาความยากจน” อย่างแยกไม่ออก เช่น การเข้าถึงการศึกษาระหว่างภูมิภาค การเข้าถึงการศึกษาในระดับชั้นเรียนที่สูงและหลากหลาย และคุณภาพของการศึกษาในแต่ละสังกัด เป็นต้น ในภาพกว้างสถานการณ์ยังคงเป็นที่ประจักษ์ว่าคนจนเป็นกลุ่มที่เข้าถึงการศึกษาได้น้อยที่สุด
ปัญหาคนจน หรือ ปัญหาการศึกษา?
ที่ผ่านมาประเทศไทยมีมาตราการภาครัฐที่พยายามช่วยเหลือด้านการศึกษามาอยู่เรื่อย ๆ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาและได้เรียนในระดับสูง แต่ทว่าปัญหาความยากจนยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อการเข้าถึงการศึกษา พบว่าในปีพ.ศ. 2567 มีเด็กวัยเรียน (อายุ 3-21 ปี) จากครอบครัวยากจนเพิ่มขึ้นเป็น 9.67 แสนคน จาก 7.53 แสนคนในปีพ.ศ. 2566 เรื่องการศึกษาและความจนยังคงเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกันโดยตรง
สัดส่วนคนจน (อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป) จําแนกตามระดับการศึกษา ปี 2567
ข้อมูลด้านบนนี้สะท้อนว่าสัดส่วนคนจนจะลดลงในชั้นระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด (14.21%) และตัวเลขนี้ลดลงตามระดับของการศึกษาที่สูงขึ้น สื่อว่ายิ่งเด็กได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ยิ่งมีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากความยากจนมากขึ้น
แต่ในเวลาเดียวกันยังพบข้อมูลว่า ยิ่งระดับการศึกษาสูงขึ้น เด็กจากครอบครัวยากจนยิ่งมีอัตราการเข้าเรียนที่ลดลง สะท้อนได้จากตัวเลขอัตราเข้าเรียนดังนี้ ประถมศึกษา 88.71% มัธยมศึกษาตอนต้น 67.28% มัธยมศึกษาตอนปลาย 45.03% และระดับอุดมศึกษาลดลงอย่างน่ากังวลไปที่ 8.07% ฉะนั้นแล้วจะเห็นว่าความยากจนส่งผลต่อโอกาสในการเข้าเรียนโดยตรง และการศึกษาเองก็มีส่วนในการช่วยให้หลุดพ้นจากความจนเช่นกัน
โครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ต้องจ่ายเอง (Out-of-Pocket) ของเด็กยากจน จําแนกตามระดับการศึกษา ปี 2567
‘เรียนฟรี’ อาจไม่ใช่ทางออกของคนจนในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเดียว เพราะโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ต้องจ่ายเอง (Out-of-Pocket) แสดงให้เห็นว่านักเรียนและผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาไม่น้อย ค่าเดินทางยังเป็นภาระหลักของนักเรียนยากจนและเหตุผลของค่าเดินทางที่สูงนั้นมาจากการที่สถานศึกษานั้นกระจายตัวไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล รวมไปถึงการขาดระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
สภาพัฒน์ฯ รายงานต่อว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางของนักเรียนยากจนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างคมนาคมและระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เอื้อหนุนต่อการเข้าถึงการศึกษา
การเข้าถึงการศึกษาในแต่ละภาค
การเข้าถึงการศึกษาไทยมีความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคอยู่ โดยเฉพาะ ‘ในระดับก่อนประถมศึกษา’ และ ‘อุดมศึกษา’ กรุงเทพฯมีอัตราการเข้าเรียนสูงกว่าภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน ในขณะที่ภาคใต้มีอัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่ำที่สุดและภาคเหนือมีอัตราการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาต่ำที่สุด การหลุดออกจากระบบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษายังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
อัตราการเข้าเรียนสุทธิในแต่ละระดับชั้น จําแนกรายภาค ปี 2566 – 2567
อย่างไรก็ตามภาคกลางและกรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าเรียนในระดับอนุบาลที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ สถานการณ์นี้อาจอธิบายได้จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
- ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ที่อาจจะไม่เพียงพอหรือไม่ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผู้ปกครองอาจขาดความเชื่อมั่นต่อศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หรือเวลาการบริการอาจไม่สอดคล้องต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้ปกครอง
- การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและพฤติกรรมของผู้ปกครองรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญต่อการดูแลบุตรเองเพิ่มขึ้น บวกกับการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หลายครอบครัวปรับเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Homeschool มากขึ้น และการเข้าถึงสื่อออนไลน์ทำให้ผู้ปกครองเข้าถึงข้อมูลการดูแลเด็กและทางเลือกที่เพิ่มขึ้น
ช่องว่างทางฐานะ
ฐานะความเป็นอยู่ของครัวเรือนส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาที่เด็กจะได้รับโดยตรง พบว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะสูงสุดมีค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลานเฉลี่ยที่ 55,858 บาทต่อคน สูงกว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะต่ำสุดที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 6,846 บาทต่อคน หรือคิดเป็น 8.16 เท่า
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เด็กจากครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจต่ำกว่ามักเผชิญข้อจำกัดในการเลือกสถานศึกษา และไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมเสริมทักษะหรือกิจกรรมพัฒนาศักยภาพที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ ส่งผลให้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทางการศึกษาน้อยกว่า และอาจไม่สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและรายได้ในระยะยาว
ระบบจัดสรรทรัพยากร หนุนความเหลื่อมล้ำ
ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จําแนกตามขนาดของโรงเรียน ปี 2566 – 2567
ผลการทดสอบ O-NET สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษามีความเชื่อมโยงกับขนาดของโรงเรียนและสังกัดโรงเรียน จากข้อมูลจะสรุปได้ว่าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีผลการเรียนรู้ค่าเฉลี่ยสูงสุดในทุกวิชาทั้งในระดับม. 3 และ ม. 6 รองลงมาเป็น โรงเรียนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก
ความเหลื่อมล้ำนี้มีรากฐานมาจากระบบการจัดสรรทรัพยากรของการศึกษาไทยที่ยึดตามขนาดของโรงเรียน ส่งผลให้โรงเรียนขนาดใหญ่มีข้อได้เปรียบในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรด้านการศึกษา งบประมาณ สื่อการเรียนต่างๆในทางตรงกันข้าม โรงเรียนขนาดเล็กต้องเจอข้อจำกัดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาครู อุปกรณ์การเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
สถานการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในนโยบายการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งยังขาดความยืดหยุ่นและไม่คํานึงถึงความแตกต่างของบริบทพื้นที่และความจำเป็นเฉพาะของแต่ละโรงเรียนได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรเปลี่ยนแนวทางการจัดสรรทรัพยากรจากรายหัว (Per Capita Funding) ให้เป็น การจัดสรรให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของโรงเรียน (Needs-Based Allocation)
สังกัดโรงเรียนและคุณภาพการศึกษา
กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยมีความโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์และมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าค่ามาตรฐานที่ 50 คะแนนในทุกรายวิชา รองลงมาคือกลุ่มโรงเรียนในสังกัดสำนักงานปลัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (หรือกลุ่มโรงเรียนสาธิต) มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าค่ามาตรฐานในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษมีคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด
สิ่งที่สถานศึกษาทั้งสองสังกัดนี้มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นโรงเรียนที่มีระบบการคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถสูงเข้าสู่ระบบการเรียน ส่งผลให้ผลการทดสอบโดยรวมสูงกว่าโรงเรียนสังกัดอื่น
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มโรงเรียนในสังกัดอื่น ๆ มีคะแนนเฉลี่ยรวมต่ำกว่าค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสถาบันพลศึกษา ที่มีคะแนนเฉลี่ยรวมทุกวิชาต่ำที่สุด
ภาวะสุญญากาศ ในการศึกษาไทย
การสอบ O-NET ที่จัดขึ้นทุกๆ ปี ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจาก ‘ภาคบังคับ’ มาเป็นการสอบแบบ ‘สมัครใจ’ ส่งผลให้จำนวนนักเรียนเข้าร่วมสอบลดลงอย่างมากและกระทบต่อการจัดทำข้อมูลเพื่อประเมินการศึกษาไทย เพราะขาดความครอบคลุมและไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของคุณภาพการศึกษาไทยได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่การสอบ PISA ที่เป็นมาตรฐานระดับสากลมีข้อจำกัดในเรื่องของความถี่ในการจัดสอบ ที่สอบทุก 3 ปี จึงไม่สามารถนำการสอบวัดระดับ PISA มาใช้แทนกัน
สถานการณ์นี้ทำให้เกิด ‘สภาวะสุญญากาศของข้อมูล’ ที่กระทบต่อการพัฒนาระดับประเทศในหลายมิติ
- การกำหนดนโยบาย ผู้กำหนดนโยบายขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันสมัยในการนำมาวิเคราะห์ปัญหาด้านการศึกษา เช่น การระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน การจัดสรรทรัพยากรและการออกแบบอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ส่งผลให้ไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ผู้บริหารสภานศึกษาและผู้สอนขาดข้อมูลระดับชาติที่จะนำไปประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง เทียบกับภาพรวมของประเทศ ส่งผลให้แนวทางการพัฒนาไม่ชัดเจน
- การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา การดำเนินในการติดตามและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นไปได้ยากขึ้นเนื่องจากขาดข้อมูลเชิงเปรียบเทียบที่เป็นระบบและต่อเนื่อง
ตารางเปรียบเทียบการประเมินผลการศึกษาระหว่าง O-NET และ PISA
ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการศึกษากำลงทำร้ายกันและกันอยู่ ปัญหาใหญ่นี้กำลังกระทบต่อคุณภาพการศึกษาที่เด็กควรจะได้รับและผลพวงของการศึกษาที่ไม่ได้คุณภาพกำลังส่งผลต่อการพัฒนาประเทศโดยตรง มีหลายอย่างที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการ เช่น ด้านการจัดสรรทรัพยากรที่ภาครัฐควรมองถึงความจำเป็นของแต่ละโรงเรียนมากกว่าการจำกัดงบประมาณตามตำนวนเด็กนักเรียน หรือระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาที่ดูขาดความต่อเนื่องเชื่อมโยง การขาดข้อมูลที่ ‘ดี’ จะส่งผลกระทบในวงกว้างเพราะทำให้ไม่อาจสะท้อนปัญหาได้อย่างแม่นยำ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: