งานวิจัยทั่วโลก ต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า การลงทุนในเด็กเล็กหรือในช่วงปฐมวัย (Early Childhood Education and Care) เป็นช่วงวัยที่สำคัญมาก เพราะเป็นฐานก้าวแรกและทุนแรกที่เด็กจะได้รับและสามารถนำติดตัวไปตลอดชีวิตได้
การลงทุนในเด็กเล็กถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจน งานวิจัยของศาสตราจารย์ James Heckman แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 5 ปี จะสามารถทำให้เกิดผลตอบแทน (Rate of Return) ในด้านสุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมมากถึง 13% ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี
การลงทุนในเด็กจึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธภาพอย่างมาก เพื่อช่วยลดต้นทุนทางสังคมในอนาคต (Social Cost) เนื่องจากจะช่วยลดจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ ลดอัตราการเกิดอาชญากรรม และสามารถส่งเสริมสุขภาพและการดูแลตัวเองของเด็กที่ดีขึ้น
การพัฒนาเด็กนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่แรกเกิด เพราะช่วงแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ เป็นวัยที่สมองมีการพัฒนา และเรียนรู้ได้ดีที่สุด ฉะนั้นแล้วหากรัฐเริ่มให้ความสำคัญในการพัฒนาเด็กที่ 3 ถึง 4 ขวบ อาจจะถือว่าเป็นการเริ่มการพัฒนาที่ช้าเกินไป
สถานการณ์ปัจจุบันของเด็กปฐมวัย
เป็นที่รู้ทั่วกันว่าอัตราเด็กเกิดใหม่ในไทยนั้นน้อยลงจนเป็นที่น่ากังวล ด้วยประชากรสูงวัยที่มีมากขึ้นและประชากรวัยทำงานที่ลดลง ทำให้ต้องคิดถึงเรื่องการพัฒนาคนในประเทศไทยในระยะยาวเพื่อให้เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนประเทศ แต่ทว่า เด็กไทยนั้นทั้ง ‘เกิดน้อยลง’ และ ‘ด้อยคุณภาพ’
ประเทศไทยมีคะแนนดัชนี Human Capital Index (HCI) ของธนาคารโลกอยู่ที่ 0.61 แปลว่าเด็กที่เกิดและเติบโตในไทยจะมีรายได้ในอนาคตเพียง 61% หากได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและครบถ้วนและได้รับการดูแลสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ 88% ญี่ปุ่น 80% เกาหลีใต้ 80% และเวียดนาม 69%
จากงานศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) การประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในประเทศไทยตอนนี้แบ่งการพัฒนาเป็น 4 ด้าน หรือ 4H คือ Health (สุขภาพแม่และเด็ก) Head (พัฒนาการและการเรียนรู้) Hand (ทักษะ) และ Heart (ความสุขและความปลอดภัย)
งานศึกษาของ กสศ. พบว่า เด็กไทยมีปัญหาทั้งสี่ด้าน
- ในเรื่องของสุขภาพ ประเทศไทยมีเด็กเตี้ยแคระแกร็นและเด็กอ้วน ซึ่งมาจากการโภชนาการที่ไม่เหมาะสมและการเลี้ยงดูตั้งแต่ช่วงที่แม่ตั้งครรภ์
- พัฒนาการโดยรวมถือว่ามีการพัฒนาตามเกณฑ์ ยกเว้นด้านการอ่านออกเขียนได้และการรู้จักตัวเลขที่พบเจอว่าเด็กไทยพัฒนาล่าช้า เนื่องจากไม่ได้ทำกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการกับพ่อและแม่เท่าที่ควร
- ในเรื่องของทักษะสมอง พบว่า พ่อแม่จัดหาหนังสือให้เด็กอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งหนังสือเป็นสื่อสำคัญมากในการเพิ่มทักษะให้เด็กในวัยนี้ มีสัดส่วนเด็กที่มีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่มเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นในครอบครัวที่ยากจนมาก ข้อน่ากังวลอีกอย่างคือการที่ครอบครัวให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์มากถึงร้อยละ 71
- ด้านความสุขและความปลอดภัยทางกายและใจ มีการพบเจอปัญหาเรื่องการอาศัยร่วมอยู่กับพ่อแม่ เพราะยังมีการใช้ความรุนแรงเป็นบทลงโทษ เนื่องด้วยครอบครัวยังขาดความพร้อม และองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงพอ
ที่มาของปัญหา
งานวิจัยชิ้นนี้แบ่งที่มาของปัญหาต่างๆ เป็นสองก้อนใหญ่
- ปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับครอบครัว
การเลี้ยงดูของพ่อแม่อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันพ่อแม่หรือผู้ปกครองกำลังเผชิญความท้าทาย 4 ด้าน คือ การขาดความรู้และแนวทางปฏิบัติต่อเด็ก การไม่มีเวลาที่เพียงพอ การขาดแคลนทรัพยากรหรือเงิน และการขาดโอกาสในการสร้างความรักความสัมพันธ์กับเด็ก
โดยปัจจัยก้อนใหญ่ที่เพิ่มความท้าทายเหล่านี้คือ ฐานะของครัวเรือนที่เข้าไปกระตุ้นความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการดูแลเด็ก
- ปัญหาในการเข้าถึงองค์ประกอบสนับสนุนของพ่อแม่
เป็นปัญหาเกี่ยวกับการสนับสนุนที่พ่อแม่ และผู้ปกครองควรได้รับในการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งสามารถมองเป็นปัญหาเชิงระบบและสวัสดิการรัฐ เช่น บริการด้านสุขภาพตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์จนคลอด และการศึกษาอย่างทั่วถึง
การศึกษายังชี้ว่า พ่อแม่ได้รับการสนับสนุนให้เข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพอย่างจำกัด ส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้จัดหาทรัพยากรในการส่งเสริมพัฒนาการและการเลี้ยงดูเด็กเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐน้อยมาก
นอกจากนี้ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า สวัสดิการหลายอย่างเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเต็มที่ เช่น สิทธิลาคลอด การถ่ายทอดความรู้การเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง หรือการให้เด็กทุกคน (เด็กอ่อนจนถึงเด็กอนุบาล) โดยเฉพาะจากครอบครัวยากจนสามารถเข้าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่รัดกุมและผลักภาระ
อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือกฎหมายและนโยบายรัฐบาลที่ถึงแม้จะมี พ.ร.บ. ด้านการศึกษา พ.ร.บ. สำหรับเด็กปฐมวัย และแผนการศึกษาแห่งชาติ แต่กฎหมายและนโยบายเหล่ายังฟังดูค่อนข้าง ‘คลุมเครือ’ และ ‘ไม่ครอบคลุม’
พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติปี 2542
- มาตรา 17 ระบุให้มี การศึกษาภาคบังคับ 9 ปี สำหรับเด็กอายุระหว่าง 7 – 16 ปี
- มาตรา 18 ระบุให้มีการจัดการศึกษาเด็กปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาต่างๆ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เรียกชื่นอื่น โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนของเอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่น หรือ สถานการศึกษาต่างๆ ที่จัดนอกโรงเรียน เป็นต้น
ถึงแม้จะมีการระบุให้จัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยใน พรบ. การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 แต่ตัว พรบ. ฉบับนี้กำหนดไว้ชัดเจนว่าการศึกษาภาคบังคับนั้นจัดสรรไว้สำหรับเด็กอายุ 7-16 ปี เพราะฉะนั้นแล้ว ช่องโหว่ตรงนี้ของกฎหมายนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำของที่เด็กไม่อาจเข้าถึงการศึกษาในชั้นระดับปฐมวัย ซึ่งควรเป็นการศึกษาขึ้นพื้นฐาน
พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย ปี 2562
- มาตรา 3 ให้นิยามเด็กปฐมวัยว่า เด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าหกปีบริบูรณ์ และให้หมายความรวมถึง เด็กซึ่งต้องได้รับการพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา
- มาตรา 7 ระบุให้บิดา มารดา และผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้เด็กปฐมวัยซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับ การพัฒนาตามแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย
- นอกจากนี้ พรบ. ให้นิยาม “ผู้ดูแลเด็กปฐมวัย” ว่าเป็น บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ซึ่งเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย ปี 2562 เขียนไว้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี นั้นต้องได้รับการพัฒนาก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาหรือชั้นการศึกษาภาคบังคับ แต่ทว่าการที่ พรบ. ฉบับนี้และ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ต่างบอกว่าเด็กช่วงอายุปฐมวัยต้องได้รับการพัฒนาและต้องมีการจัดการศึกษาให้เด็กกลุ่มนี้ แต่ในเวลาเดียวกันไม่ได้ระบุให้การศึกษาช่วงวัยนี้เป็นภาคบังคับ ซึ่งอาจเป็นการเปิดช่องให้เด็กจำนวนมากไม่ได้รับการศึกษาหรือการพัฒนาที่สมควร
ยิ่งไปกว่านี้ การนิยามผู้ดูแลเด็กปฐมวัยตามพรบ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย ปี 2562 ดูเป็นการผลักภาระการเลี้ยงดูให้ประชาชน ให้พ่อแม่เด็กเป็นผู้ดูแลหลัก ส่วนรัฐบาลไม่มีหน้าที่อะไรที่เป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่ ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับการที่ชี้ว่าเด็กต้องได้รับการพัฒนาและต้องมีการจัดการศึกษาให้เด็กปฐมวัย แต่ไม่ได้มีการชี้แจงที่ชัดเจนในเชิงของบทบาทของภาครัฐ เหตุนี้อาจทำให้ภาครัฐไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรและการช่วยเหลือที่เหมาะสม และยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กสศ. ที่ชี้ว่ารัฐบาลนั้นให้การช่วยเหลือน้อย
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579
- มีการระบุแนวคิดการจัดการการศึกษาเพื่อปวงชน หรือ “Education For All” และ กำหนดยุทธศาสตร์ให้คนทุกช่วงวัยรวมถึงเด็กแรกเกิด – 5 ปี มีพัฒนาการที่สมวัย แต่แผนการศึกษาแห่งชาติมีความย้อนแย้งเมื่อมีการกำหนดกลุ่มประชากรที่ได้เรียนฟรี
- “ประชากรทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานอย่างทั่วถึง (Access) มีตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น ประชากรกลุ่มอายุ 6- 14 ปีทุกคนได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าที่รัฐต้องจัดให้ฟรี”
อีกเช่นเคย นโยบายแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ที่มีความตั้งใจอยากให้ประชากรทุกคนได้รับการศึกษาที่ทั่วถึง แต่กลับมีการกำหนดตัวชี้วัดที่เด็กอายุ 6 – 15 ปี ให้ได้รับการศึกษาที่ฟรี ไม่ต่างจาก พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 การที่นโยบายระดับชาติที่ต้องการพลักดันเรื่องศึกษาแต่กลับมีการกำหนดช่วงอายุที่ได้รับการศึกษาฟรี ทำให้ละเลยการดูแลเด็กกลุ่มอื่นให้มีคุณภาพและทั่วถึงหรือไม่?
ไทยขาดความชัดเจน และ คำนิยามที่หลากหลาย
จากการหาข้อมูลเรื่องเด็กปฐมวัย ทำให้พบเจอว่าสังคมไทยอาจยังขาดความเข้าใจตรงกันในเรื่องของการให้คำนิยามของ “เด็กวัยเล็ก” หรือ “เด็กปฐมวัย” ยกตัวอย่างเช่น
- พรบ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย ปี 2562 นิยาม “เด็กปฐมวัย” ว่าเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปีบริบูรณ์
- ศูนย์พัฒนาเด็กอ่อนของ กทม. ภายใต้สำนักพัฒนาสังคม ใช้คำว่า “เด็กก่อนวัยเรียน” และมีการตีความว่าเป็นเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี
- นอกจากนี้ยังมีการใช้คำว่า “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำหนดว่าต้องเป็นเด็กอายุ 2-5 ปี
- การศึกษาของ กสศ. ชี้ว่าช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของช่วงปฐมวัยคือ 1,000 วันแรก หรือแปลได้ว่า ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนไปถึงอายุ 2 ปี จุดนี้สื่อให้เห็นว่าการพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นต้องให้ความสำคัญและการดูแลตั้งแต่ตอนที่แม่เริ่มตั้งครรภ์
- ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยหรือองค์กรระดับสากลชี้ว่า ช่วงอายุของเด็กปฐมวัยที่ต้องได้รับการดูแลเริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่ามีการใช้คำศัพท์ที่หลากหลายและการตีความอายุที่ต่างกันไป การไม่มีบรรทัดฐานที่แน่ชัดจะทำให้การดำเนินการขั้นต่อๆ ไปไม่ชัดเจน เพราะแต่ละหน่วยงานจะมีบรรทัดฐานการดูแลที่ต่างกันไป เช่น บางที่อาจให้ความสำคัญตั้งแต่ 0 ขวบ ในขณะที่บางแห่งอาจเริ่มให้ความสำคัญตอนอายุ 3 ปีขึ้นไป สิ่งนี้จะเข้าไปกระตุ้นความเหลื่อมล้ำในเรื่องของจัดสรรทรัพยากร หรือการสร้างตัวชี้วัดที่ไม่ได้มาตราฐาน
จากการสำรวจในเบื้องต้น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการศึกษาของเด็กปฐมวัย แต่ก็ยังมีอีกหลายมิติที่ขาดความชัดเจนซึ่งนำพาไปสู่การดูแลที่ไม่ได้คุณภาพและไม่ทั่วถึง
ฉะนั้นแล้วรัฐบาลควรมีความชัดเจนและระเบียบแผนที่เป็นรูปธรรมให้หน่วยงานอื่นนำไปดำเนินการต่อได้ และรัฐบาลควรคำนึงถึงครอบครัวยากจนที่ไม่อาจเข้าถึงการศึกษาที่ไม่ได้อยู่ในภาคบังคับ เพราะการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดนั้นสำคัญอย่างยิ่ง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ระบบการศึกษาแย่ กระทบมากกว่าที่คิด ฉุดคุณภาพชีวิตเด็กตกต่ำ
ชำแหละการศึกษาไทย: “การเมือง”ฉุดปฏิรูป ทำอันดับรั้งท้ายโลก
เกณฑ์ประเมินไม่ได้มาตรฐาน เหตุ “คุณภาพโรงเรียนเยี่ยม สวนทางคุณภาพเด็กแย่”