ปฎิรูปการศึกษา กลายเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ที่ผลักดันกันมานานเกือบ 30 ปี แต่ไม่มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน คุณภาพการศึกษายังตกต่ำ คะแนน Pisa ยังคงรั้งท้ายจากการจัดอันดับประเทศทั่วโลก ขณะที่การแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ยังคงไร้วี่แววว่าจะผลักดันได้ทัน รัฐบาลแพทองธาร ที่เหลือเวลาทำงานไม่ถึง 2 ปี
“ การศึกษาไทยจำเป็นต้องปฏิรูป มาก มาก มาก” สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) บอกกับ Policy Watch หลังถูกถามว่า “ทำไมต้องปฏิรูปการศึกษา?” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องปฏิรูปการศึกษา
“ทำไมเราไม่ให้ความสำคัญกับการผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ แต่กลับไปเร่งผลักดันกฎหมายกาสิโน แล้วบอกว่าเร่งด่วน”
เหตุผลสำคัญที่ สมพงษ์ อยากให้เร่งการปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่สามารถขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ทำให้มีแนวโน้มการศึกษาตกต่ำลงเรื่อย ๆ โดยปัญหาที่ทำให้การศึกษาไทยเดินไปข้างหน้าไม่ได้มาจาก 6 ปัจจัยใหญ่
6 ปัจจัยที่ต้องเร่งปฏิรูปการศึกษา
ปัญหาแรก คือปัญหาในเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาที่ ใหญ่โต อุ้ยอ้าย รวมศูนย์ ทำให้การผลัดดันคุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นได้ยาก แม้ว่าที่ผ่านมามีความปฏิรูปโครงสร้างทางการศึกษาให้เล็กลง แต่ไม่ได้เล็กลงมีแต่ขยายเพิ่มขึ้น โดยการขยายตัวเริ่มตั้งแต่เพิ่มการศึกษาเขตพื้นที่ ซึ่งการเพิ่มหน่วยงานไม่ได้ทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น แต่ล่าช้าขัดแย้งกันเอง และทุกอย่างรวมศูนย์ออกมาจากส่วนกลาง
“โครงสร้างการศึกษาในระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมาไม่ได้เล็กลงเลย มีแต่ขยายเพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่เพิ่มศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการภาค เพิ่มการศึกษาเขตพื้นที่ แต่ไม่ได้ทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น มีแต่ล่าช้า ขัดแย้งกันเอง และรวมศูนย์ ทุกอย่างต้องออกมาจากส่วนกลางทั้งหมดเพราะฉะนั้นเรื่องของโครงสร้างระบบการศึกษา คือเรื่องใหญ่ของประเทศที่ต้องเร่งปฏิรูป”
ปัญหาที่สอง คุณภาพการศึกษาที่ประเทศที่คะแนน Pisa รั้งท้าย ต่ำสุดในรอบ 20 ปีโดยเฉพาะคะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ที่เด็กทำคะแนนไม่ถึง 50% ซึ่งคุณภาพการศึกษาของไทยถือว่าเป็นปัญหามาก
“โอ้โห ! เราจองบ๊วยมาตลอด จองอันดับต่ำๆๆ เราแพ้ประเทศเพื่อนบ้านนะครับ คะแนน Pisa เราต่ำสุดในรอบ 20 ปี คุณภาพการศึกษา มันเลวร้ายสุดสุดแล้ว แต่เราจะรู้สึกร้อน รู้สึกหนาวตอนเป็นข่าว พอหลังจากนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าโอเคแล้วก็ไม่ทำอะไร”
ปัญหาที่สาม ซึ่งถือเป็นเรื่องวิกฤตมากที่สุด และถือเป็นปัญหาสำคัญ คือ ปัญหางบประมาณการศึกษาที่พบว่ากว่า 80% เป็นรายจ่ายเรื่องของเงินเดือนค่าตอบแทน บุคลากรทางการศึกษา ค่าวิทยฐานะ แต่งบประมาณในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษามีเพียง 10 % เท่านั้น
ปัญหาที่สี่ เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ค่อนข้างมีปัญหา โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างโรงเรียนสาธิต โรงเรียน อินเตอร์ กับ โรงเรียนที่ขึ้นต้นด้วยบ้านกับวัด มีคุณภาพการศึกษาห่างกันมากกว่า 3 เท่า
“ความเหลื่อมล้ำการศึกษาของไทยสูงมากติดอันดับ1ของโลก โดยเฉพาะระหว่างโรงเรียนอยู่ห่างไกลในชนบทกับโรงเรียนในเมือง รวมถึงความแตกต่าง เรื่องของเศรษฐฐานะ ของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ในการสนับสนุนการศึกษาของลูกแตกต่างกันมากถึง 16 เท่าทำให้ความเหลื่อมล้ำรุนแรงติดอันดับหนึ่งของโลก”
ปัญหาที่ห้า คือ เรื่องของหลักสูตรการเรียนการสอนที่ประเทศไทยได้แก้ไขหลักสูตรมานานตั้งแต่ปี2544 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขอีกเลยทำให้หลักสูตรไม่ทันสมัย ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ เราไม่เคยแก้หลักสูตรเลยใช้มานานมาก ผมยืนยันนะว่าการแก้ไขหลักสูตรครั้งล่าสุดคือปี 2544 ไม่ใช่ปี 2551 ทำให้หลักสูตรไทยเป็นยาหมดอายุ ไม่ทันโลก แล้วเนื้อหาที่เด็กต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องอดีตกว่า 80% เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ ทำให้เขาไม่สนใจ เบื่อ และหันไปเรียนรู้สิ่งใหม่จากโลกออนไลน์กันหมด เพราะฉะนั้นหลักสูตรเราแย่มากๆแต่เราไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง”
ขณะที่ระบบหลักสูตรของเรานักเรียนต้องเรียนวันละ ประมาณ 8-9 ชั่วโมง และเรียน 220 วันต่อปี แต่เนื้อหาสาระไม่ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องแก้กันที่เรื่องระบบหลักสูตรก่อนเพื่อทำให้เกิดคุณภาพการศึกษา
ปัญหาที่หก เป็นเรื่องของระบบผลิตครู ซึ่งระบบผลิตครูออกมาจำนวนมากปีหลายแสนคน แต่ในปีหนึ่งเรารับครูได้ไม่กี่พันคน เพราะฉะนั้นระบบผลิตครูมีปัญหาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ยังมีปัญหาในเชิงคุณภาพ ส่วนการพัฒนาศักยภาพยังคงมีปัญหา แม้ว่าที่ผ่านมาเรามีการยกระดับครู ด้วยการทำวิทยฐานะ แต่ไม่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้เลย
“ผมคิดว่าเราผิดพลาดครั้งใหญ่เรื่องวิทยฐานะ มันกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ครูต้องใช้เวลาทำเอกสาร เพื่อให้ได้เงินค่าตอบแทน มีเอกสารวิจัยจำนวนมากแต่ลงไปสู่คุณภาพการศึกษาน้อยมาก ซึ่งผมไม่โทษครู เพราะระบบออกแบบมาให้เขาทำแบบนี้”
ย้อนเส้นทางปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลว
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปฏิรูปการศึกษามาแล้วหลายครั้ง โดยเส้นทางการปฏิรูปการศึกษา เริ่มตั้งแต่ในช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มการปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษาให้กว้างขวางขึ้น โดยทรงตั้งโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้และมีโอกาสพัฒนาตนเองได้
และการปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2540 แต่ไม่ได้ปฏิรูปครั้งใหญ่ ทำเพียงการปฏิรูปการเรียนรู้ แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นได้
ปฏิรูปการศึกษาในปี 2542
กระทั่งในรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้เกิดการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ โดยได้จัดทำพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 และได้เปลี่ยนโครงสร้าง กระทรวงศึกษาธิการ จากเดิมที่มีปัญหาด้านการบริหารจัดการไม่คล่องตัวเพราะมีองค์กรมากถึง 14 กรมจึงได้ปรับจากกรมมาเป็น 5 สำนักประกอบด้วย
- สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
- สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
- สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
- สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
นอกจากปฏิรูปองค์กรแล้ว ยังได้ปรับเนื้อหา การจัดระบบการศึกษาที่เกี่ยวข้อง 7 ด้านปรระกอบด้วย
- ระบบสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
- โครงสร้างการบริหารและการจัดการ
- ระบบตรวจสอบประเมินคุณภาพการศึกษา
- ระบบงบประมาณและทรัพยากรเพื่อการศึกษา
- การมีส่วนร่วมของสังคมในการจัดการศึกษาจัดการศึกษา
ปฏิรูปการศึกษาปี 2552-2561
การปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นต่อเนื่องระหว่างปี 2552-2561 โดยมีกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษา 4 ประการ
- พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
- พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่
- พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่
- พัฒนาคุณภาพการบริการจัดการใหม่
อย่างไรการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี2560 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 16 (จ) กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ขึ้น โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธานกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา มุ่งแก้ปัญหาหลักทางการศึกษาของไทยใน 4 ด้าน
- ยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา
- ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
- มุ่งความเป็นเลิศและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- ปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เพิ่มความคล่องตัวในการรองรับความหลากหลายของการจัดการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาล
ผลพ่วงจากตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในปี 2560 ทำให้สามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นรูปธรรม 3 ฉบับ คือ
- พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561
- พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562
- พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมีความพยายามจะปฏิรูปการศึกษาอีกครั้งในปี 2564 โดยเสนอแก้ไข พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 แต่ไม่บรรลุเป้าหมาย แม้จะมีการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติปี 2564 เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฏร ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ยุบสภาก่อนที่จะมีการพิจารณาแล้วเสร็จ
กระทั่งปี2567 ได้หยิบยกประเด็นการปฏิรูปการศึกษาขึ้นมาอีกครั้ง โดยกระทรวงศึกษาธิการได้นำ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาปี2564 มาปัดฝุ่นอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี และคาดว่าการผลักดันกฎหมายการศึกษาแห่งชาติคงจะไม่แล้วเสร็จในรัฐบาลแพทองธาร เนื่องจากเหลือเวลาในการบริหารงานไม่ถึง 2 ปี
“การเมือง”ฉุดปฏิรูป ทำให้การศึกษาไทยรั้งท้าย
อย่างไรก็ตามการปฏิรูปสำหรับ อาจารย์สมพงษ์ บอกว่า เป็นการปฏิรูปทางเอกสาร แต่ไม่ได้ลงมือผ่าตัด ไม่ได้ลงมือทำ แต่เป็นการปฏิรูปเชิงเอกสารและตั้งคณะกรรมการ ซึ่งสาเหตุสำคัญ คือ ขาดความจริงจังทางการเมือง ทำให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นเพียงวาทกรรม เพราะทุกครั้งที่มีการปฏิรูปการศึกษาจะมีคณะกรรมการ และมีแผนการปฏิรูป แต่ไม่มีการดำเนินการ ที่เป็นรูปธรรม เพราะ ฉะนั้นสิ่งที่ได้จากการปฏิรูป เกือบทุกครั้ง คือ กองเอกสาร แต่ไม่มีการปฏิบัติ
“ผมยืนยันการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาไม่บรรลุเป้าหมาย ส่วนหนึ่งมาจากความกล้าหาญทางการเมือง ทำให้การปฏิรูปทำได้แค่เพียงเอกสารหลายร้อยเล่ม แต่ในทางปฏิบัติไม่เกิดขึ้นจริง ไม่มีการผ่าตัดจริงๆ ทุกคนรู้ปัญหาการศึกษา แต่ไม่มีใครยอมเสี่ยงเพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะฉะนั้นเราพูดเป็นวาทกรรมเรื่องปฏิรูป เพราะเราตั้งคณะกรรมการ พอเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ทิ้งแบบระเนระนาด การปฎิรูปการศึกษาเราจึงเป็นเพียงวาทกรรม เอกสาร และคณะกรรมการ ”
สมพงษ์ บอกว่า ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขา มีส่วนร่วมกับการปฏิรูปการศึกษามาไม่น้อยกว่า 5-6 รอบ แต่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทำได้เพียงการรวบรวมข้อมูล รวบรวมปัญหาให้ชัดเจนขึ้น ทำให้ทุกคนรู้ปัญหาการศึกษาไทย แต่ไม่มี political view หรือไม่มีคนการเมืองกล้าตัดสินใจ ทำให้การปฏิรูปล้มเหลว
“ผมต้องกล่าวโทษนักการเมือง เพราะ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติถือเป็นแม่บทของการศึกษาไทยแต่การพิจารณาตกแล้วตกอีก เพราะไม่ตระหนักไม่เห็นความสำคัญเรื่องของการศึกษา ไม่ตระหนักเลยนะครับว่าอนาคตลูกหลานจะเป็นอย่างไร ถ้าเรายังเป็นแบบอยู่แบบนี้ การศึกษาไทยก็ดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆครับ”
การปฏิรูปการศึกษาต้องอาศัยความกล้าทางการเมืองที่จะผ่าตัดกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเพียงแค่การปฏิรูปไม่เพียงพอต้องปฏิวัติ และต้องแก้ไขโครงสร้างทางการศึกษาทั้งหมด แต่ไม่มีรัฐบาลไหนที่กล้าทำ ขณะที่พ.ร.บ การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ควรจะบังคับใช้ตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีการพิจารณาแก้ไข ทำให้ยังคงใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติปี 2542 ซึ่งล้าหลังและใช้มานาน 26 ปี แต่ฝ่ายการเมืองไม่สนใจที่จะแก้ไข
“ผมถือว่าทางการเมืองเป็นความเสียหายเพราะตอนหาเสียงทุกพรรคการเมืองสัญญาว่า จะมีการปฏิรูปการศึกษา จะผลักดันเรื่อง พรบ การศึกษาแห่งชาติ แต่ไม่สามารถทำได้ ทำให้เกิดความเสียหายกับเด็กไทย เราประชาชน ต้องตั้งว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรกับลูกหลานของเราจะปล่อยให้การศึกษาด้อยคุณภาพ ทำให้ประเทศเราตกต่ำไปมากกว่านี้หรือไม่ เพราะหากไม่มีใครทำอะไรผลกระทบก็จะเกิดขึ้นกับลูกหลานคนไทยทั้งหมด”
การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหม่ในยุครัฐบาลแพทองธาร ยังไร้ทิศทาง โดยเฉพาะการแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ขาดเจตนารมย์ทางการเมืองในการผลักดันให้มีผลบังคับใช้จริง ทำให้การศึกษาไทย ยังคงรั้งท้ายประเทศทั่วโลกต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: