4 ธันวาคม “วันสิ่งแวดล้อมไทย” เป็นหมุดหมายในการทบทวนสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของทุกปี ขณะที่ อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ภัยพิบัติรุนแรง ทั้งน้ำท่วม ไฟป่า แต่สถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทยยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาภัยพิบัติ น้ำท่วมที่รุนแรงมากขึ้น
จากรายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 โดยองค์กร Germanwatch ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศ ช่วงระยะเวลา 30 ปี (2538-2567) บ่งชี้ว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับที่ 17 จากอันดับที่ 72 ในปี 2565 สะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์ความแปรปรวนของโลกร้อน และสภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน
ความเสี่ยงดังกล่าว ทำให้ประเทศไทย ประกาศแผนขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในเวทีระดับโลก COP30 โดยลดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้ได้ภายในปี 2050 จากเดิมกำหนดเป้าหมายในปี 2065 เร็วขึ้น 15 ปี
ขณะที่ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ คือ ทางเลือกที่ต้นทุนถูกและสามารถ เพื่อชะลออุณหภูมิโลกได้ โดยที่ผ่านมาตั้งเป้าหมาย ปลูกป่าเพิ่มให้ถึง 40% จากปัจจุบันที่มีพื้นที่ป่าทั้งหมดประมาณ 32 % หรือมีพื้นทึ่ป่ารวมกัน 102 ล้านไร่ และอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชราว 74 ล้านไร่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช ,กรมป่าไม้ และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะดูแลพื้นที่ป่าได้กางตัวเลขป่าไม้ของไทย กำหนดแนวทางขับเคลื่อนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง 15 ปี
ส่งเสริมปลูกป่า ดูดคาร์บอนเพิ่มขึ้น
คณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนและบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตจากมาตรการการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ครั้งที่ 1/2568 มีมติเห็นชอบ เป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาวแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยเห็นว่าต้องส่งเสริมให้มีการปลูกป่าเพิ่มขึ้น โดยตั้งคณะทำงานจัดทำข้อมูลพื้นที่ส่งเสริมการปลูกป่าสำหรับการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ข้อมูลพื้นที่ส่งเสริมการปลูกป่าของ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระหว่างปี 2569 – 2580 มีพื้นที่ทั้งหมด 2,338,645 ไร่ ซึ่งสามารถประเมินศักยภาพการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1.69 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดตัวเลขป่าอนุรักษ์สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนได้เกือบ 50 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาในพื้นที่ภาคเหนือดูดซับได้มากที่สุดของประเทศ
อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ป่าไม้ มีศักยภาพดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมาจำนวนมาก โดยไทยมีพื้นที่ป่าประมาณ 102 ล้านไร่ สามารถดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 28.6 ล้านตันคาร์บอน และสามารถปล่อยออกซิเจนได้ 20.8 ล้านตันต่อปี
ส่งเสริมปลูกป่าเพิ่ม ช่วยดูดคาร์บอนฯ
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชดูแลพื้นที่ป่าไม้ อยู่ 74.2 ล้านไร่ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 22 ล้านตันต่อปี ปล่อยก๊าซออกซิเจนได้ 16 ล้านตันต่อปี โดยป่าที่สมบูรณ์ที่สุด คือป่าดิบชื้น และป่าดิบเขาในพื้นที่ภาคเหนือ จะสามารถดูดซับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนได้มากที่สุด
ขณะที่การตรวจวัดและการคำนวณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กรมอุทยานฯได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นเทคโนโลยีภาพ 3 ดี ซึ่งเป็นกล่องอุปกรณ์ สำหรับติดหลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เมื่อเดินผ่านป่าเครื่องมือจะคำนวณปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากพื้นที่ป่าที่เจ้าหน้าที่เดินผ่านเป็นการคำนวณปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ และค่าออกซิเจนอย่างง่ายและได้ผล
แต่ยังไม่สามารถเอาไปขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้ แต่สามารถใช้คำนวณไว้เป็นพื้นฐานของประเทศเรื่องการดูดซับและปลดปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซออกซิเจนเท่านั้น
พื้นที่ป่าสร้างฝน ช่วยเก็บน้ำ
ส่วนข้อมูลการปลูกป่าเพื่อช่วยกักเก็บน้ำ พบว่า ป่าต้นน้ำที่เปรียบเสมือนเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสามารถเก็บน้ำได้ 41.96 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับการเก็บน้ำไว้ในเขื่อนภูมิพลได้ถึง 3 เขื่อน จึงให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำและป่าอื่นๆ
อย่างไรก็ตามป่าแต่ละประเภทยังเป็นแหล่งกำเนิดสายน้ำ และทำให้เกิดฝนตกตามฤดูกาล เบื้องต้นวัดปริมาณน้ำฝนที่เกิดในกลุ่มป่าต่างๆพบว่า
- ป่าเต็งรังมีปริมาณน้ำฝน 1,619.9 มิลลิเมตรต่อปี
- ป่าเบญจพรรณ 1,503.2 มิลลิเมตรต่อปี
- ป่าดิบแล้ง 1,647 มิลลิเมตรต่อปี
- ป่าดิบชื้น 2,158.5 มิลลิเมตรต่อปี
- ป่าดิบเขา 2,317.1 มิลลิเมตรต่อปี
ปี68 พื้นที่ป่าคงเดิมยังไม่เพิ่มขึ้น
แม้ที่ผ่านมาภาครัฐจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่ป่า แต่สถานการณ์ป่าไม้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ 40 % ตามเป้าหมาย
ภานุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า แม้สถานการณ์พื้นที่ป่าไม้ปี 68 ยังสรุปชัดเจนไม่ได้ว่าพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากต้องรอข้อมูลอย่างเป็นทางการของหน่วยงานภาครัฐ
แต่สามารถคาดว่า พื้นที่ป่าไม่ได้แตกต่างจากปี 67 มากหนัก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่าไม้คงยังเป็นเรื่องยากโดยสถานการณป่าไม้ในปี 67 พื้นที่ป่าไม้คิดเป็น 31.46 %ของพื้นที่ประเทศไทย หรือเท่ากับ 101.785,271.58 ไร่ ลดลงจากเดิม 0.03 % หรือลดลง 32,884.18 ไร่
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558 – 2567) พบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้สะสม มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 331,951.68 ไร่ แต่ลดลง 832,080.72 ไร่
“ภานุเดช” มองว่าแม้จะเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ไม่ได้มาก แต่สถานการณ์การบุกรุกป่ามีแนวโน้มดีขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ การขอใช้ประโยชน์จากโครงการพัฒนาของรัฐที่มีการขอใช้พื้นที่ป่า ขณะที่ปัญหาไฟป่า ยังคงรุนแรงและเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ป่าไม้เสื่อมโทรมลง
นอกจากนี้ ภานุเดช เห็น สถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่าไม้ยังทำไม่ได้มากแล้ว การรับมือ หรือการปรับตัวของ ประชาชน และหน่วยงานรัฐ ยังไม่เพียงพอกับ ความรุนแรงของปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นอ
“ความรุนแรงภัยธรรมชาติมากขึ้นแบบทวีคูญ ทั้งในเรื่องของความรุนแรงจากน้ำท่วม ภัยพิบัติอื่นๆ แต่มาตรการรับมือของภาครัฐ กลับไม่เท่าทันกับความรุนแรงของปัญหา เช่น กรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ ขณะที่ประชาชนเองยังขาดการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาที่ใหญ่มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม รัฐควรมีแผนในการปรับตัวรับมือภัยพิบัติ ให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โลกร้อนจะทำให้ภัยพิบัติมีความรุนแรงมากขึ้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




