สถานการณ์ล่าสุด 16 ธ.ค. 67
16 ธ.ค. 67 รัฐบาลจะเริ่มโอนเงินงวดแรกเข้าบัญชีเกษตรกรในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2567/68 จ่ายไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท จำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน โดยวันนี้จะเริ่มจากเกษตรกรในภาคเหนือตอนบนและตอนล่าง จากนั้นจะทยอยจ่ายตามภาคต่างๆ จนครบภายในสัปดาห์นี้
3 ธ.ค. 67 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรเสนอโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปี 67/68 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรสามารถดำรงชีพได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 4.61 ล้านครัวเรือน โดยรัฐบาลจ่ายเงินสนับสนุนแก่เกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่และครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ผ่านธ.ก.ส.
8 พ.ย. 67 คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการมีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 จำนวน 3 โครงการ รวมวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 60,085.01 ล้านบาท ดังนี้
- โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินงบประมาณ 43,843.76 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินงบประมาณ 15,656.25 ล้านบาท
- โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก วงเงิน 585 ล้านบาท
1 ต.ค. 67 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบขยายระยะเวลาการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) และโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) (การแก้ไขปัญหาหนี้สินฯ) ออกไปเป็นระยะเวลา 5 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 กันยายน 2567 เป็นสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 กันยายน 2572 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) โดยขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและรายงานผลการชำระเงินคืนให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยยังยังคงมีเกษตรกรเป็นหนี้ จำนวน 21,968 ราย ต้นเงินกู้ จำนวน 558.55 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้หมดภายใน 30 ก.ย. 67
24 ก.ย. 67 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบต่อเวลามาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยเกษตรกร ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 และการพัฒนาศักยภาพ เพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และ 2570 รวม 23,172 ล้านบาท
ระยะเวลาโครงการ
- ระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 ถึง 30 ก.ย. 68
- ระยะที่ 3 เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 68 ถึง 30 ก.ย. 69
9 ก.ย. 67
1. ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 จำนวน 2,101,794 ราย
2. ณ วันที่ 31 ส.ค. 2567 มีผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 จำนวน 1,855,433 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้รวม 257,248 ล้านบาท ประกอบด้วย
(1) จัดทำข้อตกลงต่อท้ายหนังสือกู้เงินและปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วเสร็จ จำนวน 1,414,272 ราย คิดเป็นร้อยละ 76.22 ของผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 ทั้งหมด ต้นเงินคงเป็นหนี้รวม 210,191 ล้านบาท และ
(2) อยู่ระหว่างจัดทำเอกสารจำนวน 441,161 ราย ราย คิดเป็นร้อยละ 23.78 ของผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 ทั้งหมด ต้นเงินคงเป็นหนี้รวม 47,057 ล้านบาท
3. ผู้เข้าร่วมการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส. จำนวน 290,648 ราย จากเป้าหมาย จำนวน 300,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.88 โดยมีผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้หนี้ ธ.ก.ส. จำนวนประมาณ 482,194 ราย
รัฐบาลมีนโยบายพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินและสนับสนุนการฟื้นตัวของเกษตรกรหลังภาวะวิกฤต COVID-19 และเศรษฐกิจชะลอตัว โดยใน 26 ก.ย. 66 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรและบุคคลที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระที่มี ต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 ก.ย. 66 ไม่เกิน 300,000 บาท
เกษตรกรยื่นความประสงค์
เกษตรกรแจ้งความจำนง แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่านแอปพลิเคชัน หรือ ขอคำแนะนำที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา เพื่อทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาเงินกู้ ใน 1 ต.ค.66 – 31 ม.ค. 67
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ
- เป็นลูกหนี้รายคน (เกษตรกรและบุคคล)
- มีเงินต้นเป็นหนี้คงเหลือทุกสัญญารวมกัน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท
- มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ (หนี้ค้างชำระ 0-3 เดือน และ หนี้ NPL)
เกษตรกรที่เข้าเกณฑ์
- 2.69 ล้านราย คิดเป็น 70% ของลูกหนี้ ธ.ก.ส. คิดเป็นมูลหนี้รวมประมาณ 280,000 ล้านบาท
- เข้าร่วมโดยสมัครใจ
- ต้องประเมินศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ (มีการประเมินทุกปี ตลอดระยะเวลามาตรการ 3 ปี)
ผู้เข้าร่วมมาตรการที่ประสงค์ชำระดอกเบี้ยค้างเดิมที่เกิดขึ้นก่อนเข้าร่วมมาตรการ ถ้าเป็นหนี้ปกติ ธ.ก.ส. จะเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยในอัตราส่วน 50:50 ของเงินที่นำมาชำระในแต่ละคราว และกรณีเป็นหนี้ค้างชำระ (NPL) ธนาคารจะจัดสรรชำระต้นเงินให้ทั้งจำนวนที่ลูกค้าส่งชำระในแต่ละคราว รวมทั้งสามารถเข้าร่วมมาตรการจูงใจตามโครงการชำระดีมีโชคของ ธ.ก.ส. ได้
ทั้งนี้ การแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ จะต้องเป็นไปตามความสมัครใจของลูกหนี้ โดยแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 จนถึง 31 ม.ค. 2567 รวม 4 เดือน
สำหรับลูกหนี้ที่ประสงค์จะออกจากการเข้าร่วมมาตรการจะต้องแจ้งความประสงค์ต่อ ธ.ก.ส. และต้องเป็นลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี ได้แก่ กรณีลูกหนี้ต้องการขอสินเชื่อใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจกับธนาคาร ซึ่งต้องสละสิทธิ์การเข้าร่วมมาตรการก่อนการยื่นขอสินเชื่อ และกรณีลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการ เช่น การไม่เข้าร่วมการประเมินศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ประจำปี หรือไม่เข้าร่วมการอบรมและฟื้นฟูการประกอบอาชีพที่ ธ.ก.ส. กำหนด หรือก่อภาระหนี้เพิ่มขึ้นกับสถาบันการเงินอื่นระหว่างเข้าร่วมมาตรการ ธ.ก.ส. จะพิจารณาให้ออกจากมาตรการดังกล่าว
นอกจากการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับภารกิจในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลดภาระหนี้สินเกษตรกรรายย่อยและเพิ่มรายได้เกษตรกร โดยในระหว่างการพักชำระหนี้ ธ.ก.ส. ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาอาชีพ ทั้งอาชีพเดิม อาชีพเสริม และอาชีพใหม่ ภายใต้แนวทาง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ใหม่” โดยร่วมมือกับส่วนงานภายนอกทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มมูลค่าผลผลิต การลดต้นทุน การปรับปรุงพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างรายได้ เป้าหมายเกษตรกร 300,000 คนต่อปี
เช่น การส่งเสริมการปลูกผักระยะสั้น อาทิ การปลูกผักบนแคร่ของชุมชนห้วยเสือเต้น จังหวัดขอนแก่น และการปลูกผักสลัดและมะเขือเทศทานสดของฟาร์มศุข จังหวัดศรีสะเกษ ที่ส่งจำหน่ายไปยังโรงแรมหรือโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัด เพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคท้องถิ่น
ธ.ก.ส. ยังเตรียมสินเชื่อที่เหมาะสมในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ในการจัดหาปัจจัยการผลิต วงเงินสูงสุด ไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อให้เกษตรกรสามารถยืนได้อย่างมั่นคง หลังจากการพักชำระหนี้