ภายใต้การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change: COP 27 ทำให้นานาประเทศร่วมกันประกาศลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือโลกร้อน
ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอประกาศ ประกาศในเวทีการประชุม COP27 ตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนในปี 2030 ประมาณ 30-40% และจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 โดยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
ข้อมูลจาก Carbon Atlas รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2566 พบว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกราว 33,805.10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดย 5 ประเทศที่ปล่อยมากที่สุด ได้แก่ จีน, สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, รัสเซีย และญี่ปุ่น ตามลำดับ
ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับ 24 ของโลก ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 258 ล้านตันคาร์บอน แบ่งเป็นภาคขนส่ง 25 % ภาคพลังงาน 40% ภาคอุตสาหกรรม 29% อื่น ๆ อีก 6% เพื่อให้ลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 ได้ตามเป้าหมาย 30-40% โดยส่วนหนึ่งจะลดการใช้ ถ่านหิน และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้มากขึ้น โดยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีประกาศในงานประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 ว่าจะเพิ่มพื้นที่สีเขียว 55% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อช่วยเพิ่มการดูดก๊าซคาร์บอนให้ได้ถึง 120 ล้านตันคาร์บอนต่อปี
การเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน จึงเป็นความหวังของภาครัฐในการลดคาร์บอนให้ได้ตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับภาคเอกชนที่มีประกาศเป้าหมายในการลดคาร์บอนฯ เห็นเช่นกันว่า พื้นที่ป่าคือทางเลือกในการลดคาร์บอน เนื่องจากสามารถดำเนินการผ่าน“กลไกคาร์บอนเครดิต” โดยเฉพาะคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คืออะไร ?
กลไก“คาร์บอนเครดิต” คือ การนำกลไกตลาดมาใช้เป็นแนวทางเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับผู้ที่มีต้นทุนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องจ่ายให้กับสังคมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
หากองค์กรใดมีการดำเนินการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ต่ำกว่ากรณีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปกติ หรือมีการดำเนินการที่ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้จากกรณีการดูดซับปกติ ปริมาณที่ปล่อยได้ลดลงหรือปริมาณที่ดูดซับได้เพิ่มขึ้น เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต”
คาร์บอนเครดิตทำได้ 2 รูปแบบ
- คาร์บอนเครดิต จากการทำโครงการที่มีการลดหรือเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction/Avoidance Projects) เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงกว่ากรณีปกติ
- คาร์บอนเครดิต จากการทำโครงการที่ดูดกลับก๊าซเรือนกระจกมากักเก็บไว้ (Carbon Removal Projects) เช่น การปลูก ดูแลรักษา หรือฟื้นฟูป่าไม้, BioEnergy with Carbon Capture and Storage (BECCS), Direct Air Carbon Capture (DAC), Direct Ocean Capture (DOC) เป็นต้น
คาร์บอนเครดิตป่าไม้ (Forest Carbon Credit) ซึ่งคาร์บอนเครดิตประเภท Removal นี้จะได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มีอยู่ในบรรยากาศได้โดยตรง โดยเฉพาะในโครงการประเภทป่าไม้ที่อาจได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมอื่นๆ ซึ่งมีสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ชุมชน (Co-benefit)
เอกชนใช้พื้นที่ป่าชดเชยคาร์บอนเครดิต
ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม นิยมใช้กลไกคาร์บอนเครดิต ภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ (T-VER) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมตนเอง โดยโครงการ T-VER ใช้หน่วยคาร์บอนเครดิตเป็น tCO2eq
จากรายงานองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) พบว่าในปี2566 มีเอกชนที่เสนอโครงการการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตป่าไม้ (T-VER) ภาคป่าไม้ ทั้งสิ้น 6 โครงการ ปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 118,915 tCO2eq โดยโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตป่าไม้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- โครงการการปลูกป่าอย่างยั่งยืน ณ วัดหนองจระเข้ ตําบลบ้านนา อําเภอแกลง จังหวัดระยอง ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,254 tCO2eq โครงการป่านิเวศระยองวนารมย์ กลุ่ม ปตท. ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,074 tCO2eq
- โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำบ้านแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปริมาณคาร์บอนเครดิต 852 tCO2eq
ข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เผยแพร่ข้อมูลการปลูกป่าในพื้นที่อนุรักษ์ พบว่า ในปีงบประมาณ 2565–2566 ทางกรมฯ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกหรือองค์กรเอกชนในการปลูกฟื้นฟูสภาพป่าเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต รวมทั้งสิ้น 6 หน่วยงาน เช่น บริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างจำกัด (ซีแพค) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นต้น และได้ปลูกป่าไปแล้วเกือบ 90,000 ไร่
ขณะที่ข้อมูลของกรมป่าไม้แสดงให้เห็นว่าในช่วงปี 2565-2566 ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ มีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการปลูกฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนถึง 12 บริษัท และปลูกป่าไปแล้วเกือบ 3 แสนไร่
คาดปี’68 ขอคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้เพิ่ม 5 เท่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่าในปี 2568 มีโครงการประเภทการลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตรของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมีจำนวน 55 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้ 451,393 tCO2eq ต่อปี และมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองแล้ว 122,185 tCO2eq โดยส่วนใหญ่เป็นการรับรองคาร์บอนเครดิตในปีงบประมาณ 2566
คาดว่าในช่วงระยะ 2 ปีข้างหน้า (2567-2568) ปริมาณคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ของไทยมีศักยภาพที่จะขอรับรองได้ประมาณ 600,000 – 700,000 tCO2eq หรือประมาณ 5 เท่าจากที่เคยได้รับการรับรองทั้งหมด โดยโครงการที่ยื่นขอรับรองคาร์บอนเครดิตป่าไม้ จะมีตั้งแต่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โครงการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการบุกรุกแผ้วถาง
เป้าหมาย Net Zero ต้องปลูกป่าเท่าไหร
แม้การเพิ่มพื้นทีป่าไม้ที่ภายหลังแผนแม่บทป่าไม้แห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เปลี่ยนนิยามพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่สีเขียว รวม 55 % โดยแบ่งเป็น ป่าธรรมชาติ 35 % ป่าเศรษฐกิจ 15 % และพื้นที่สีเขียว 5% เพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายภาคป่าไม้ 120 ล้านตันคาร์บอน
แต่จะทำได้หรือไม่ ? และไทยจะต้องปลูกป่าเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ดร. สุรินทร์ อ้นพรม นักวิชาการป่าไม้ บอกว่า ถ้าต้องการให้พื้นที่สีเขียวเพิ่มตามเป้าหมาย 55 % ต้องมีพื้นที่ป่าทั้งหมด 177.92 ล้านไร่ จากพื้นทีป่าไม้เดิมที่มีอยู่ 135.05 ล้านไร่ โดยต้องปลูกเพิ่มอีก 30.28 ล้านไร่ แบ่งเป็นป่าธรรมชาติ 11.29 ล้านไร่ ป่าเศรษฐกิจ/ป่าปลูก 15.99 ล้านไร่ และพื้นที่สีเขียวทั่วไป 3 ล้านไร่
“ การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ตามเป้าหมายไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ภาครัฐต้องดึงภาคเอกชนเข้ามา ลงทุนเรื่องการจัดการคาร์บอนเครดิต ทำให้ที่ผ่านมามีภาคเอกชน ที่รายงานตลาดหลักทรัพย์ถึงการตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกพบว่า ตั้งเป้าไว้ที่ 30-40% โดยส่วนหนึ่งใช้ในการชดเชยคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้มาเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา แต่ไม่ได้ ไปลดในกระบวนการผลิต เช่น ลดการใช้เชื้อเพลิงที่ทำให้ลดก๊าซเรือนกระจกจริงๆ ”
จากนโยบายและเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ป่าช่วยดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รัฐบาลจึงเร่งผลักดันโครงการปลูกฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนโดยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนและกลุ่มทุนอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการปลูกฟื้นฟูป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว
4 ระเบียบเปิดเอกชนใช้ป่าแลกคาร์บอน
มาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมในการฟื้นฟูป่าให้ได้ตามเป้าหมาย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) มี โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เพื่อฟื้นฟูป่านำมาแลกคาร์บอนเครดิตได้
ขณะที่ภาครัฐได้ออก 3 ระเบียบและกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ภาคเอกชนเข้าไปปลูกฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนเครดิต นั้นมีทั้งพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชุมชน รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งและป่าชายเลน
- ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูก และบำรุงป่าชายเลน สำหรับชุน ปี 2567
- ระเบียบคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ว่าด้วยการปกครอง ดูแลบำรุงรักษาใช้ประโยชน์จากไม้ และใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน ปี 2566
- ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูก บำรุง อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 2564
- ระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตจากการปลูก บำรุง อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าในพื้นที่ปี2567
สำหรับภาคเอกชนที่มีโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ และได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิต กับ อบก.แล้วมีทั้งหมดเพียง 6 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 118,915 tCO2eq ในจำนวนนี้มีการขายคาร์บอนเครดิตไปแล้วปริมาณ 1,254 tCO2eq จาก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการการปลูกป่าอย่างยั่งยืน ณ วัดหนองจระเข้ ตําบลบ้านนา อําเภอแกลง จังหวัดระยอง และโครงการป่านิเวศระยองวนารมย์ กลุ่ม ปตท.
คาร์บอนเครดิต = ฟอกเขียวเอกชน
แม้คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) จะถือเป็นกลไกในการดึงภาคธุรกิจให้เข้ามาปลูกป่าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่บรรยากาศ แต่ในมุมกลับอาจจะหมายถึงการฟอกเขียว เนื่องจาห ธุรกิจที่ไม่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง โครงการ ป่าไม้และการเกษตร (FOR/AGR)
ในประเด็นนี้ ดร. สุรินทร์ ตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อให้การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ตามเป้าหมาย รัฐจึงเปิดให้เอกชนเข้ามาช่วยปลูกป่า ซึ่งการบอกว่าธรรมชาติคือทางออกถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบริบทของสังคมที่มีปัญหากรรมสิทธิ์ในพื้นที่ป่าไม้ไม่ชัดเจน อย่างไทย อาจจะกลายเป็นว่าไปเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม แต่ไปกดทับคนบางกลุ่ม เช่น ชาวบ้าน กลุ่มชาติพันธ์ คนชายขอบ ในพื้นที่ป่า ที่รัฐเองไม่ยอมรับกรรมสิทธิ์
“ภาครัฐเองออกระเบียบในการแบ่งปันคาร์บอนเท่ากับว่าเอกชนเข้าไปดำเนินการได้ ภาคป่าไม้มาชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตัวเอง ทำให้เอกชนสามารถเข้าไปขออนุญาตหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ป่าไม้ เพื่อทำโครงการปลูกป่าเพื่อขอใช้พื้นที่ป่านำเอาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยให้กับบริษัทตัวเองโดยอาจจะไปลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตของตัวเอง จึงไม่ต่างจากการฟอกเขียวให้กับภาคเอกชนที่มีกระบวนการผลิตปล่อยคาร์บอนจำนวนมากเช่นภาคพลังงาน”
ดร.สุรินทร์ เห็นว่า กระบวนการฟอกเขียว เกิดขึ้นจากการที่ไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรมว่า แต่ละประเภทต้องลดการปล่อยก๊าซเท่าไหร และยังอยู่ในภาคสมัครใจ ทำให้ภาคเอกชนการนำคาร์บอนเครดิตพื้นที่ป่าไม้มาชดเชยแทนที่จะไปลดก๊าซเรือนกระจกในแหล่งกำเนิดหรือกระบวนการผลิตของตัว จึงไม่ต่างจากการฟอกเขียวให้เอกชน โดยที่ไม่ได้แก้ปัญหาสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้
การชดเชยคาร์บอนเครดิตจึงยังเป็นปัญหาเพราะว่าทำให้ในระยะ 10-15 ปี ทำให้คนที่ได้รับคาร์บอนเครดิตไม่ต้องไปลดคาร์บอนที่แหล่งกำเนิดของตัวเอง แต่สามารถนำคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าไม้ มาเคลมความเป็นกลางทางคาร์บอน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟอกเขียว อันนี้เป็นปัญหาใหญ่เพราะยังดำเนินธุรกิจตามปกติ
ขณะที่กลไกการชดเชยคาร์บอนไปกดทับกับพื้นทีป่าที่มีชุมชน ชาติพพันธ์อยู่ในพื้นที่ ทำให้ชุมชนท้องถิ่นถูกเบียดขับออกจากระบบการบริหารจัดการพื้นที่ป่า ชุมชนไม่ได้รับประโยชน์จากการแบ่งปันคาร์บอน บางกรณีอาจถูกแย่งยึดที่ดินทำกินเพื่อนำไปให้ภาคเอกชนปลูกป่าชดเชยคาร์บอน จนซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรในสังคมนี้ และที่สำคัญกลไกดังกล่าวยังมีคำถามว่า ช่วยลดโลกร้อนจริงหรือไม่
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ลดปล่อยก๊าซแบบสมัครใจ ต้นตอตลาดคาร์บอนเครดิตซบ