ThaiPBS Logo

ส่องเงื่อนไข-สิทธิ “บำเหน็จบำนาญชราภาพ” ประกันสังคมล่าสุด

20 มี.ค. 256708:39 น.
ส่องเงื่อนไข-สิทธิ “บำเหน็จบำนาญชราภาพ” ประกันสังคมล่าสุด
  • สมาชิกประกันสังคม หากจ่ายเงินสมทบครบ 180 งวดเดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะได้บำนาญ (ตลอดชีพ) แต่หากไม่ถึงจะได้ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อน
  • ปัจจุบัน สมาชิกประกันสังคม มีสิทธิได้รับ 2 มาตรา คือ มาตรา 33 ใช้ฐานเงินเดือนตามฐานที่มีการนำส่งเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ผู้ประกันตนมาตรา 39 ใช้ฐานเงินเดือน 4,800 บาท ดังนั้นจะได้รับไม่เท่ากัน
  • บำนาญรายเดือนตลอดชีวิต โดยได้รับในอัตรา 20% ของฐานค่าจ้าง เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ซึ่งฐานค่าจ้างเฉลี่ยไม่เกิน 15,000 บาท) ก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

 

นับตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2541 สำนักงานประกันสังคมได้เรียกเก็บเงินสมทบ "ชราภาพ" เพื่อเป็นเงินสะสมสำหรับสมาชิกประกันสังคมเมื่อถึงวันเกษียณอายุ ซึ่งปัจจุบัน กองทุนมีการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพให้กับสมาชิกแล้ว แต่มีการปรับปรุงเงื่อนไขบางอย่าง ดังนั้น สมาชิกต้องมั่นตรวจสอบเพือประโยชน์ของตัวเอง

สำนักงานประกันสังคม มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์การจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญสำหรับสมาชิก ซึ่งปัจจุบันผู้มีสิทธิได้รับ ทั้งผู้เป็นสมาชิกประกันสังคมมาตรา 33 และมาตรา 39 แต่ได้รับแตกต่างกัน เนื่องจากมีการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมแตกต่างกัน

กรณีเงินบำนาญชราภาพ เป็นไปตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565  มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 2565 โดยมีเงื่อนไข ดังนี้

กรณีบำนาญชราภาพ

  1. หากจ่ายเงินสมทบครบ 180 งวดเดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นบำนาญรายเดือนไปตลอดชีวิต โดยจ่ายให้ในอัตรา 20% ของฐานค่าจ้าง เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ซึ่งค่าจ้างเฉลี่ยไม่เกิน 15,000 บาท) ก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
  2. หากมีการจ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน จะปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพ จากอัตรา 20% เพิ่มขึ้นอีก 1.5๔ ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน
  3. กรณีผู้ประกันตนรับบำนาญชราภาพ ต่อมาเสียชีวิตภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่รับบำนาญชราภาพ ทายาทจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเป็นจำนวนเท่ากับเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตายคูณด้วยจำนวนเดือนที่เหลือจนครบ 60 เดือน
  4. กรณีผู้ประกันตนถูกงดจ่ายเงินบำนาญชราภาพ เนื่องจากกลับเข้าเป็นผู้ประกันตน และต่อมาถึงแก่ความตายหากบุคคลนั้นได้รับเงินบำนาญชราภาพมาแล้วไม่เกิน 60 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเป็นจำนวนเท่ากับเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนกลับเข้าเป็นผู้ประกันตนคูณด้วยจำนวนเดือนที่เหลือหลังจากผู้รับเงินบำนาญชราภาพกลับเข้าเป็นผู้ประกันตนจนครบ 60 เดือน
  5. ให้ผู้รับบำนาญชราภาพอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงฉบับนี้ใช้บังคับ และรับบำนาญชราภาพมาแล้วยังไม่ครบ 60 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพจนครบ 60 เดือน และในกรณีรับเงินบำนาญชราภาพมาแล้วและจำนวนเดือนเหลือน้อยกว่า 10 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเป็นจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

กรณีบำเหน็จชราภาพ

เป็นการจ่ายครั้งเดียว โดยมีหลักเกณฑ์การจ่ายดังนี้

  1. หากจ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพมาไม่ครบ 12 เดือน จะได้รับเฉพาะส่วนที่ผู้ประกันตนจ่าย
  2. หากจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับส่วนของผู้ประกันตน ส่วนของนายจ้างและผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี

ความต่างมาตรา 33 และ 39 คือฐานเงินเดือนที่ใช้คิด

การยื่นรับสิทธิกรณีชราภาพผู้ประกันตนมาตรา 33 ใช้ฐานเงินเดือนตามฐานที่มีการนำส่งเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ผู้ประกันตนมาตรา 39 ใช้ฐานเงินเดือน 4,800 บาท

หาก 60 เดือนสุดท้ายเป็นมาตรา 33 จะใช้ฐานของมาตรา 33
หาก 60 เดือนสุดท้ายเป็นมาตรา 39 จะใช้ฐานของมาตรา 39
หาก 60 เดือนสุดท้ายเป็นมาตรา 33 และ มาตรา 39 ทางประกันสังคมจะเฉลี่ยให้

อ่านเพิ่มเติม เงื่อนไข-สิทธิประโยชน์ล่าสุด ประกันสังคม ม.33-39-40

เงินออมชราภาพเริ่มนับตั้งแต่ตอนไหนและได้เมื่ออายุเท่าไร

เงินสะสมเงินชราภาพ เริ่มมีการเก็บเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไป หากในระยะเวลาที่มีการเก็บเงินสมทบจะมีสิทธิได้รับเงินคืน แต่จะต้องสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนแล้ว และมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าสถานะจะสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนไปแล้วก็ตาม จะต้องรอให้อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ก่อนถึงจะสามารถยื่นเรื่องรับสิทธิได้

อ่านเพิ่มเติม รายได้ผู้สูงอายุวิกฤต คาด 20 ปี ข้างหน้า 91.4% ยังต้องทำงาน

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับบำเหน็จบำนาญชราภาพ

กรณีเงินบำนาญชราภาพ

  • ต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • ไม่เป็นผู้ประกันตน ทั้งมาตรา 33 (ทำงานกับนายจ้าง) และมาตรา 39 (ประกันตนเอง)
  •  ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม

กรณีบำเหน็จชราภาพ

  • มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย
  • ไม่เป็นผู้ประกันตน ทั้งมาตรา 33 (ทำงานกับนายจ้าง) และมาตรา 39 (ประกันตนเอง)
  • จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน

ระยะเวลาและสถานที่ในการยื่นเรื่องกรณีเงินออมชราภาพ

  1. สำหรับผู้ประกันตนที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนแล้ว และมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีที่มีสิทธิรับกรณีชราภาพตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2558 เป็นต้นมาให้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทน ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิรับกรณีชราภาพ ที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข) ยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Self service กองทุนประกันสังคมได้ที่ www.sso.go.th เมนู “บริการด้วยตนเองผ่านระบบ e-Self Service”
  2. หากเกินระยะเวลากำหนดกฎหมายอนุโลมให้ผู้ประกันตน/ผู้มีสิทธิ สามารถยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนได้ พร้อมแสดงเหตุผลที่ไม่สามารถยื่นเรื่องภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ค่ะ

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับสิทธิ กรณีเลิกจ้าง ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง

  1. จะได้รับสิทธิเมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน
  2. ต้องมีความสามารถพร้อมที่จะทำงาน ไม่ปฏิเสธการฝึกงาน และขึ้นทะเบียนว่างงานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐที่สะดวก หรือผ่าน https://e-service.doe.go.th/ ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ว่างงาน และยังไม่ได้มีการกลับเข้าทำงานกับนายจ้างใหม่ โดยไม่ต้องรอให้นายจ้างแจ้งออกจากงานก่อน และรายงานตัวตามตารางนัด (เดิม ต้องขึ้นทะเบียนภายใน 30 วัน) มีผลตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 และรายงานตัวภายในเดือนที่มีการนัดรายงานตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567
  3. ต้องไม่ออกจากงาน เนื่องจากมีความผิด (กรณีลูกจ้างมีความผิดจริง นายจ้างแจ้งออก เป็นไล่ออก หรือปลดออก จะไม่ได้รับสิทธิกรณีว่างงาน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด)
  4. อายุยังไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์
  5. ต้องเป็นผู้ว่างงานที่สิ้นสุดสัญญาจ้างจากนายจ้าง เรียบร้อยแล้ว

สิทธิที่จะได้รับกรณีเลิกจ้าง กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง

  • กรณีเลิกจ้าง จะได้รับ 50% ของฐานเงินเดือนที่นายจ้างแจ้งเข้าประกันสังคมสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน ใน 1 ปีปฏิทิน
  • กรณีลาออก สิ้นสุดโครงการหรือหมดสัญญาจ้าง จะได้รับ 30% ของฐานเงินเดือนที่นายจ้างแจ้งเข้าประกันสังคมสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ใน 1 ปีปฏิทิน

ยื่นขอรับเงินได้ที่ไหน และต้องเตรียมหลักฐานอะไร

สำหรับคนไทย ลงทะเบียนผ่านระบบ https://e-service.doe.go.th ของกรมการจัดหางาน

1. ลงทะเบียนขอใช้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล / Digital ID

2.ผู้ประกันตนสามารถเข้าสู่ระบบ (Login) โดยใช้ Username / Password ที่ลงทะเบียน Digital ID ในการขึ้นทะเบียนว่างงาน

3.กรอกข้อมูลรายละเอียดตามระบบและแนบไฟล์บัญชีธนาคารจะให้โอนเงินเข้าบัญชีในระบบ โดยผู้ประกันตนไม่ต้องยื่นเอกสารใด ๆ กับสำนักงานประกันสังคมอีก

4.รายงานตัวตามกำหนดนัด

5.ภาพถ่ายสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีของตนเองที่จะยื่นในระบบ ใช้ได้ 10 ธนาคาร โดยไม่มีค่าธรรมเนียม คือ

  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) TTB
  • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) IBANK
  • ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) CIMB
  • ธนาคารออมสิน
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
  • PromptPay (พร้อมเพย์เลขบัตรประจำตัวประชาชน)

ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ผ่านทางช่องทางดังต่อไปนี้

  • ระบบสนทนาออนไลน์ ( facebook inbox , live chat )
  • สายด่วน 1506 กด 1 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: สำนักงานประกันสังคม

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบประกันสังคม

ประกันสังคม เป็นเครื่องมือทางสังคมที่ใช้สร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำเนินชีวิต จัดการความเสี่ยงจากสถานการณ์ไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ เสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ใช้เพื่อให้หลักประกันชีวิตแก่ประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

สังคมสูงวัย

ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ผู้สูงอายุกลายเป็นนโยบายระดับรัฐบาลครั้งแรกที่มีบทบัญญัติไว้ว่าเป็นหน้าที่ของรัฐ จากนั้นมาทุกรัฐบาลก็มีนโยบายต่อประชากรผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และยิ่งสังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงอายุขั้นสุดยอด ทำให้รัฐบาลต้องมาดูแลมากยิ่งขึ้น

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

นโยบายการออม

นโยบายการออม นับเป็นนโยบายที่สำคัญของการพัฒนาประเทศในยุคใหม่ เนื่องจากการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องใช้เงินทุน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเงินทุนจึงต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อลดการพึ่งพาเงินทุน รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมการออม อย่างไรก็ตาม จากสังคมสูงวัย เป้าหมายของการออมเปลี่ยนไปเพื่อวัยเกษียณ

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: