สารคดีคนจนเมือง ตลอด 5 ซีซัน 27 ตอน ไม่ใช่แค่การบันทึกหลักฐานแห่งความเหลื่อมล้ำ แต่เป็นการตั้งคำถามต่อมายาคติ และชวนขยับจากความสงสารไปสู่การเสนอทางออกเชิงนโยบาย ด้วยความเห็นอกเห็นใจในฐานะมนุษย์ร่วมชาติ
จากข้อค้นพบในจักรวาลความเหลื่อมล้ำ นำมาสู่การตามหาวิธีการหลุดพ้นในงาน “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2568 ที่ได้ชวนคนทุกภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ เอกชน วิชาการ ประชาสังคม และประชาชน เข้ามาร่วมแสดงความเห็นและหาทางออกร่วมกัน
“ที่อยู่อาศัย” เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐาน 4 อย่างของมนุษย์ ทว่าสำหรับ “คนจนเมือง” โอกาสในการมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นแทบจะเลือนหายไปทุกที ไม่ใช่เพราะไม่พยายาม แต่เป็นเพราะกับดักซับซ้อนที่เกิดจากหลากหลายปัจจัย ได้แก่
- ตลาดอสังหาริมทรัพย์แปรเปลี่ยน ตลาดบ้านหรูเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีเพียง 1% ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับกลุ่มรายได้น้อย
- รัฐไม่สามารถถมช่องว่างความเหลื่อมล้ำได้ ที่ผ่านมารัฐพยายามแก้ปัญหาด้วยกลไก “อุดหนุน” หรือ “สงเคราะห์” ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น บ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคง และ โครงการที่อยู่อาศัย BOI เป็นต้น แต่สุดท้ายบ้านเหล่านี้ก็ตกไปอยู่กับนักเก็งกำไร การใช้เงินภาษีมาอุดหนุนจึงดูเหมือนเป็นการถมไม่เต็มกับปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองและจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ตลาดสินเชื่อจะเข้าถึงระบบกู้ยืมต้องมีเครดิต มีการเงินมั่นคง ซึ่งกว่า 70% ของคนที่กู้บ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท ถูกปฏิเสธสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนของการสร้างบ้าน ตั้งแต่การซื้อที่ดิน ออกแบบแปลนบ้าน ไปจนถึงสร้างบ้าน และตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ต้องใช้เงิน จึงเกิดความล้มเหลวอย่างซ้ำซ้อนหลายตลาด
การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยจึงต้องแก้เชิงระบบ ทั้งการรื้อกฎหมายให้เอื้อต่อการมีที่อยู่อาศัย สร้างกลไกส่งเสริมการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม เช่น กลไกภาษี การปรับรูปแบบการถือครองกรรมสิทธิ์ ระบบจับคู่บ้านกับความต้องการ/จำเป็น และการส่งเสริมการเข้าถึงทุน โดยอาจมีกองทุนที่อยู่อาศัยจากรัฐ โรงรับจำนำท้องถิ่น บริษัทค้ำประกันสินเชื่อ หรือแหล่งกู้เงินตามกฎหมาย
- อ่านเพิ่มเติม : รื้อกับดักความไม่มั่นคงที่อยู่อาศัย ‘คนจนเมือง’
แม้การแก้ปัญหาเชิงระบบต้องใช้เวลา และมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า “ถ้าคนจนในเมืองย้ายออกมาชนบท ตรงนี้จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่วยทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีดีกว่าไหม ?” แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะพื้นที่เมืองเป็น “ความอยู่รอด” ของพวกเขา
“ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เมือง’ คือพื้นที่เศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ทำให้อุ่นใจว่าอย่างน้อยเขาจะมีงาน หาเงินได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืองานแบบวันต่อวัน ก็จะมีงานไม่เคยขาด”
ศรินพร พุ่มมณี บริษัท ปั้นเมือง จำกัด
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “คนจน” มีต้นทุนชีวิตที่สูง และหลายคนต้องเผชิญกับความยากลำบากตั้งแต่เกิด เมื่อเข้าสู่วัยแรงงาน ก็ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้นอกระบบ เพราะขาดโอกาสหรือทางเลือกที่จะมีรายได้ที่ดี และหากล้มป่วย ชีวิตยิ่งดำดิ่งลงเหว
ดูผิวเผินปัญหา “ความยากจน” อาจเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” แต่แท้จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่ต่อทั้งองค์กรและระบบสาธารณสุขด้วย เพราะเมื่อไรที่พนักงานทุกข์ ต้องหยุดงานเพื่อหนีเจ้าหนี้ ผลผลิตขององค์กรก็ย่อมไม่เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ยามล้มป่วย แต่ไม่มีอุปกรณ์จำเป็นพื้นฐานในการดูแลตัวเองที่บ้าน โรงพยาบาลก็ต้องแบกรับภาระการดูแลรักษาโดยไม่จำเป็น
ส่วนอีกกลุ่มเปราะบางที่มักถูกมองข้ามคือ “แรงงานต่างชาติ” ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะพวกเขาเข้ามาเติมเต็มในงานที่คนไทยไม่นิยมทำ แต่กลับไม่ได้รับการดูแลที่ดีเท่าที่ควร
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “คนจนเมือง” มีหลากหลายกลุ่ม การแก้ปัญหาจึงต้องแยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อหาทางจัดการที่ตอบโจทย์
โดยอาจเริ่มจากการสร้างฐานข้อมูลคนจนเมือง พร้อมกับลงทุนให้เด็กมากขึ้น ผ่านการมีศูนย์เลี้ยงดูเด็กที่มีผู้สูงอายุเป็นคนดูแล และมีกองทุนสำรองระดับชุมชน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้พ่อแม่ซื้อชุดนักเรียนให้ลูก รวมถึงส่งเสริม สุขภาวะทางการเงินในวัยทำงานผ่านนายจ้าง และใช้ กลไกภาษีจูงใจภาคธุรกิจ เช่น BOI เพื่อลดอคติและเพิ่มคุณภาพชีวิตคนจนเมือง
- อ่านเพิ่มเติม : มองลึกปัญหา “คนจนเมือง” สู่ “นวัตกรรมแก้จน”
อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดนี้ ที่จริงแล้วมีหน่วยงานที่ดูแลกลุ่มเปราะบางและคนจนเมืองเกือบครบ แต่ทำไมถึงยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ?
หากสังเกตจากกรณี “ปูแป้น” ในสารคดีคนจนเมือง เธอเป็นนักเรียน ม.4 ที่ต้องช่วยพ่อแม่ซึ่งป่วยหลายโรคขายส้มตำที่ไซต์ก่อสร้างแถวสวนลุมพินี เธอต้องเผชิญทั้ง หนี้นอกระบบ, บ้านเช่าไม่มั่นคง และปัญหาการขาดเรียนอยู่บ่อยครั้ง
แม้ภายหลังจากที่สารคดีจบลง จะมีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้เธอเข้าถึงสวัสดิการได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา
“คนจนไม่ได้ขี้เกียจ แต่ติดกับดักความจนที่ซับซ้อนหลายชั้น และการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เปรียบเหมือนการเทไวน์รสชาติดีจากบนลงล่าง กว่าจะไหลมาถึงชั้นสุดท้าย ก็ไม่ทันกับชีวิต ‘ปูแป้น’ จนเขาต้องออกจากโรงเรียน”
ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
“ปูแป้น” เป็นเพียงกรณีศึกษาหนึ่งเท่านั้น ในชุมชนแออัดยังมีคนแบบ “ปูแป้น” อีกมาก และแต่ละเคสมีบริบทที่ไม่เหมือนกัน
เมื่อปัญหาของคนจนเมืองมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากเกินกว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะรับไหว ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ต้องบูรณาการความร่วมมือ” และ “มีเป้าหมายร่วมกัน” ที่จะเอาชนะปัญหาให้ได้ โดยเฉพาะ “ความจนข้ามรุ่น” ซึ่งตามสถิติทุก 1 ชั่วอายุคน ลูกหลานคนจนจะยังคงจนต่อไป
แต่การจะเชื่อมโยงได้อย่างไร้รอยต่อ “Case Manager” คือคนสำคัญที่จะช่วยเชื่อมสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือให้กับกลุ่มคนเปราะบาง ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมการพัฒนากลไกสนับสนุนให้ “Case Manager” ทำงานได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูล มีงบประมาณ มีเครื่องมือสนับสนุนการทำงาน และการดึงชุมชน ภาคธุรกิจมาร่วมสร้างอนาคตดูแลคนในพื้นที่
ขณะเดียวกัน “สื่อ” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมให้เกิดความเข้าใจและเชื่อมร้อยผู้คนเข้าหากัน จึงควรขยับบทบาทใหม่ จากการเป็นเพียงผู้สื่อสารหรือสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไปสู่การเป็นกลไกการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเชิงรุก ผ่านการตั้งคำถามถึงการใช้งบประมาณและการแก้ไขปัญหาของรัฐ รวมถึงเก็บข้อมูลจากสารคดี เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาให้ไปถึงระดับโครงสร้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ที่ผ่านมาเรื่องความยากจน เป็นที่รับรู้ แต่ยังไม่รู้สึก …. ดังนั้นเมืองต้องเอื้อให้คนจนได้มีโอกาสเติบโต นั่นหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่สามารถมีอนาคตที่ดีกว่าได้จริง
- เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแหล่งทุน การมีพื้นที่ทดลอง การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยให้แข็งแกร่ง รวมถึงการยกระดับสินค้าอาหาร อาชีพหาบเร่แผงลอย ซึ่งเป็นอาชีพหลักของกลุ่มคนเปราะบาง ให้สามารถสร้างรายได้ที่ดี
- เข้าถึงที่อยู่อาศัย ที่พักพิงที่ถูกสุขลักษณะ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นรากฐานสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการเริ่มต้นสร้างตัว
- เข้าถึงบริการสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และการรักษาพยาบาล เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้คนจนเมืองสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักหน่วงยามเจ็บป่วย
เป้าหมายทั้งหมดนี้ สามารถผลักดันให้เป็นจริงได้ ผ่านเครื่องมือสำคัญอย่าง “ธรรมนูญว่าด้วยสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 4” และ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14” ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็น เพื่อนำไปประมวลผลและเดินหน้าแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
เพียงแต่จะแก้ปัญหาความยากจนหลายระดับพร้อมกันอย่างไร ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน เสนอแนวทางและมุมมองความเห็นเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาสุขภาวะของคนไทยอย่างยั่งยืน
- อ่านเพิ่มเติม : ส่องสูตรแก้จนด้วยมาตรวัดความเป็นธรรมของคนจนเมือง สานพลังลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความเท่าเทียม
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา “สารคดีคนจนเมือง” ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนเรื่องราวชีวิตจริงของคนจน และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
แม้จะมาถูกทางในการสร้างความ “รู้สึก” เห็นอกเห็นใจในหมู่ผู้ชมได้ถึง 56.6% แต่อาจยังไม่เพียงพอที่จะจุดประกายสังคมให้ไปถึง “ทางออกเชิงนโยบายสาธารณะ” ที่เป็นรูปธรรม หรือพาแนวคิดการแก้ปัญหาความยากจนไปให้ถึงรากปัญหา (Root Cause)
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าการช่วยเหลือแบบเวทนานิยมหรือการสงเคราะห์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เมื่อคนจนเผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งหน้า เพราะเขารอการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไม่ได้ ทว่าการไม่แตะเชิงโครงสร้างก็ย่อมไม่ยั่งยืน ?”
นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส และอดีต ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
“ข้อมูลความจน” แม้จะมีมากมาย แต่ที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานมุ่งเน้นนโยบายแบบ “อุดหนุน” หรือ “สงเคราะห์” เป็นส่วนใหญ่ และทำงานกันอย่างแยกส่วน ทำให้การแก้ไขปัญหายังไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร
จึงจำเป็นต้องมี “พื้นที่กลาง” ให้ทุกภาคส่วนเข้ามาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ซึ่งไม่จำเป็นว่าใครหรือหน่วยงานใดจะต้องทำนอกเหนือภารกิจเดิม แต่ทุกคนสามารถทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเองที่มีอยู่ได้
- นักวิชาการ : ช่วยให้ข้อมูลและออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหา
- สื่อ : ช่วยสื่อสาร
- ประชาชน : มีส่วนร่วมแสดงความเห็น ร่วมออกแบบ
- เอกชน : เข้ามาสนับสนุนการแก้ไขปัญหา เช่น CSR เพื่อสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหาความจน
- รัฐ : ร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การมีธรรมนูญสุขภาพฉบับที่ 3 ที่ชูเรื่องความเหลื่อมล้ำความเป็นธรรม และการนำข้อเสนอไปจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปที่นำไปสู่การมีแพลตฟอร์มสื่อสารการเปลี่ยนแปลง อย่าง Policy Watch ที่จะช่วยบันทึกข้อมูล การสื่อสาร และการพูดคุยเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้จบลงแค่เพียงการรับรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ในการติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้ข้อมูลและข้อเสนอเหล่านี้ถูกนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ปัจจุบันความท้าทายของคนจนเมือง ไม่ได้มีแค่ต้นทุนชีวิตสูงและความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตที่มาก ยังต้องเผชิญกับ “ความยากจนที่มีลักษณะเป็นภาวะ” คือคนที่ไม่เคยจน ก็อาจจนได้อย่างฉับพลัน
สะท้อนให้เห็นว่า “ความยากจน” ของประเทศไทยอยู่ใน “เกมของทุน” ที่กำลังสร้างผู้แพ้มากเกินไปและพ่ายแพ้ในหลาย ๆ มิติ เราจึงต้อง “เปลี่ยนกติกา” ให้เป็นธรรม
“แก้ที่ ‘กติกา’ ไม่ใช่แค่ ‘รายบุคคล’ เพราะแก้ปัญหารายคนคงไม่ไหว ต้องหันมาพิจารณาว่ากติกาใดบ้างที่สร้างผู้แพ้มากเกินไป เช่น เรื่องที่ดินในกรุงเทพฯที่มีอีกจำนวนมาก ทั้งใต้ทางด่วน, ที่รถไฟ หรือ ที่ธนารักษ์ แต่ กทม.กลับไม่ได้เป็นเจ้าของ หากสามารถมีแผนที่ชัดเจน สร้างการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น และนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้แก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ ความยากจนจะถูกแก้ไขได้อย่างแท้จริง”
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
การจะไล่ให้ทัน “ความจน” ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องปรับวิธีคิดและการมองปัญหาให้ชัดเจนขึ้น โดยต้องกำหนด “นิยามกลุ่มเป้าหมายใหม่” ให้ชัดเจนว่าคนจนเมือง รวมถึงกลุ่มเสี่ยงเปราะบางคือใครบ้าง เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างตอบโจทย์ ไม่ใช่การแก้ไขแบบเหมารวมที่อาจไม่ได้ผล
นอกจากนี้ควรทำงานเชิงบุคคลไปพร้อมกับโครงสร้าง เพราะคนกลุ่มนี้เปราะบาง เมื่อเผชิญวิกฤติอาจรอไม่ไหว จึงต้องมีแผนรับมือฉุกเฉินทำควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว
อย่างไรก็ตามการทำงานกับความยากจน หัวใจสำคัญคือ “การบูรณาการทุกภาคส่วนในทุกมิติ” ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะปัญหาของคนจนนั้นซับซ้อน
โดย “ชุมชน” คือพลังสำคัญ ถ้าคนในพื้นที่ต่าง ๆ สามารถรวมตัวกันได้ จะทำให้เป็นที่ยอมรับและหน่วยงานอื่น ๆ สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ไปจนถึงการของบประมาณจากรัฐ ตรงนี้จะสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกัน เกิดระบบทางสังคมที่โอบรับคนทุกกลุ่ม
ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้าง “กติกาใหม่” ให้เป็น “ธรรม” และผสานพลังทุกภาคส่วน เพื่อพลิกโฉม “ความยากจนในเมือง” ให้ทุกคนได้มีอนาคตและคุณภาพชีวิตที่ดี