กระแสเรียกร้องให้ “ปฏิรูปสปสช.” จากปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณของโรงพยาบาลต่าง ๆ ยังไม่ทันจางหาย ก็เกิดประเด็นใหม่ขึ้นอีกครั้ง จากกรณีคู่กรณีเจ้าเก่า “พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์สุดดีใจ สปสช.จ่ายหนี้แล้ว 122.80 บาท ทั้งที่ควรได้ 23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 68
จำนวนเงินดูน้อย “ผิดปกติ” อย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับขนาดของโรงพยาบาล ซึ่งให้บริการผู้ป่วยในระดับเทียบเท่าระดับ “โรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด” และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละหลายสิบล้านบาท
ตัวเลขเพียงหลักร้อยบาทนี้ จึงสร้างความฮือฮาในทันที และกลายเป็นคำถามในหมู่ประชาชนว่า “เกิดอะไรขึ้นกับระบบบัตรทอง” แต่เบื้องหลังตัวเลขนั้น ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดของระบบโอนเงิน
หากแต่สะท้อนของความตึงเครียดเชิงโครงสร้าง ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งทำหน้าที่บริหารกองทุนสุขภาพของรัฐ กับ โรงพยาบาลคู่สัญญา ที่ต้องให้บริการประชาชนภายใต้เงื่อนไขทางการเงินที่ซับซ้อนและเข้มงวด
หลายโรงพยาบาลชี้ว่า เงินที่ควรได้รับถูก “หักย้อนหลัง” หรือ “กลบลบหนี้จากงบล่วงหน้า” ขณะที่ฝั่งสปสช. ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบ เพื่อรักษาความโปร่งใสและป้องกันการใช้เงินผิดประเภท
ในวันต่อมา 28 ต.ค. 68 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ออกมาแถลงชี้แจงว่า ยอดเงิน 122.80 บาทนั้น “เป็นตัวเลขจริง” แต่ไม่สะท้อนภาพรวมการจ่ายงบประมาณให้กับโรงพยาบาลทั้งหมด
“ตั้งแต่ 1–27 ต.ค. 68 สปสช. ได้โอนเงินให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะแล้วกว่า 43.76 ล้านบาท จากหลายกองทุนย่อย เช่น กองทุนผู้ป่วยนอก กองทุนผู้ป่วยใน กองทุนสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กองทุนโรคเรื้อรัง (เบาหวาน-ความดัน) กองทุนเอดส์ และกองทุนไตวายเรื้อรัง เป็นต้น”
ส่วนยอด “122.80 บาท” ที่ปรากฏในใบแจ้งโอน (statement) เป็นเพียงยอดคงเหลือหลังจาก “หักกลบ” เงินที่สปสช.เคย “จ่ายล่วงหน้า” ให้โรงพยาบาลไปแล้ว 70 ล้านบาทในปีงบประมาณก่อนหน้า
กล่าวคือ เงินหลักร้อยบาทนั้น ไม่ได้หมายความว่าสปสช.เพิ่งจ่ายเพียงเท่านั้น แต่หมายถึง “เงินงวดนี้ถูกหักกลบล่วงหน้า” จากเงินก้อนที่จ่ายไปก่อนแล้ว
มุมมองของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ “เราไม่ได้ยืม แต่ถูกเลื่อนหนี้”
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาชี้แจงผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างละเอียด โดยระบุว่า
- ในเดือนตุลาคม 2568 โรงพยาบาลมียอดค่ารักษาที่สปสช.ต้องจ่าย รวม 38 ล้านบาท
- แต่สปสช.ได้ “หักเงินยืมล่วงหน้า” ที่ให้ไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 15 ล้านบาท (จากยอดเงินกู้ 60 ล้านบาทที่ทยอยหักเดือนละ 5 ล้านบาท)
- พร้อมกับ “เรียกคืนย้อนหลัง” จากการตรวจสอบเวชระเบียน 3% คิดเป็นเงินราว 23 ล้านบาท
เมื่อรวมยอดหักสองส่วน (15 + 23 = 38 ล้านบาท) ผลลัพธ์คือ เงินที่เหลือโอนเข้าบัญชีจริงเพียง 122.80 บาท
พลตรี เหรียญทอง โต้แย้งว่า การให้เงิน “ล่วงหน้า” 60 ล้านบาทนั้น โรงพยาบาลมองว่าเป็น “หนี้ที่สปสช.ติดค้างปีงบประมาณ 2567” ไม่ใช่เงินกู้ยืม เพราะเป็นเงินค่ารักษาที่โรงพยาบาลได้ให้บริการผู้ป่วยไปแล้ว
การที่สปสช.เปลี่ยนสถานะจาก “เจ้าหนี้” เป็น “ลูกหนี้” จึงเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลเห็นว่า “ไม่เป็นธรรม”
ปมร้อน”หักย้อนหลัง”จากการตรวจเวชระเบียน 3%
ประเด็น “ตรวจเวชระเบียน 3%” หรือ “Audit 3%” เป็นกลไกของสปสช.ในการตรวจสอบความถูกต้องของการเบิกจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) โดยสุ่มตรวจแฟ้มเวชระเบียน 3% ของทั้งหมด แล้วใช้ผลตรวจนั้น “ขยายผล (extrapolate)” เพื่อประเมินความถูกต้องของแฟ้มทั้งหมด 100%
แต่กลไกนี้ถูกวิพากษ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐและเอกชนจำนวนมาก ว่า “ไม่เป็นธรรม” เพราะการตรวจตัวอย่างเพียง 3% อาจไม่สะท้อนความถูกต้องของแฟ้มทั้งหมด และไม่ควรใช้เป็นฐาน “เรียกเงินคืนย้อนหลัง”
พลตรี เหรียญทอง ระบุว่า สปสช.เคยให้คำมั่นว่า จะไม่ใช้ผลตรวจ 3% เพื่อ “เรียกคืนย้อนหลัง (Rerun)” แต่กรณีโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะกลับถูกเรียกคืน 23 ล้านบาท จึงเห็นว่าเป็น “การทำตรงข้ามกับคำพูด”
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. เคยยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า สปสช. “จะไม่มีการ Rerun หรือหักย้อนหลังจากผลตรวจ 3% อีก” แต่ในทางปฏิบัติ โรงพยาบาลกลับยืนยันว่าถูกเรียกคืนจริง
ไม่ใช่แค่รพ.มงกุฎวัฒนะ รพ.รัฐก็เจอปัญหาเดียวกัน
กรณีนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิขั้นสูงของภาคใต้ตอนบน ก็โพสต์ข้อความผ่านเพจโรงพยาบาลว่า
“สปสช.หักเงินย้อนหลัง 52 ล้านบาท จากผลตรวจแฟ้ม 3% ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ตกลงว่าจะไม่หักย้อนหลัง”
ผลคือ โรงพยาบาลได้รับเงินจากกองทุน UC (บัตรทอง) เดือนตุลาคมเพียง 161.33 บาท ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายดำเนินงานกว่า 170 ล้านบาทต่อเดือน
โรงพยาบาลระบุว่า การหักเงินจำนวนมากเช่นนี้จะส่งผลให้ขาดสภาพคล่องในการจ่ายค่ายา ค่าวัสดุการแพทย์ และค่าใช้จ่ายประจำต่าง ๆ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพการรักษาผู้ป่วยโดยตรง
“วิกฤตสภาพคล่อง” หรือ “การจัดการงบล่วงหน้า” ใครมองถูก?
ข้อเท็จจริงทางบัญชีของสปสช. ระบุว่า หน่วยบริการทุกแห่งสามารถขอรับ “เงินจ่ายล่วงหน้า (Advance Payment)” ได้ เพื่อช่วยหมุนเวียนในช่วงที่ยังไม่มีการสรุปยอดบริการประจำปี
เมื่อถึงรอบงบประมาณถัดมา สปสช.จะ “หักกลบลบหนี้” จากยอดที่โรงพยาบาลเบิกจริง
แต่ในทางปฏิบัติ โรงพยาบาลหลายแห่งมองว่า “เงินล่วงหน้า” ที่ได้รับนั้นคือ “ค่าบริการที่ทำไปแล้ว” ไม่ใช่เงินกู้ ดังนั้นการหักกลบแบบเดียวกับลูกหนี้จึงสร้างความไม่พอใจ และสะท้อนความคลุมเครือในการสื่อสารของหน่วยงานกลางกับผู้ให้บริการ
นอกจากนี้ เมื่อรวมกับปัญหาการเรียกคืนย้อนหลังจาก “Audit 3%” จึงยิ่งทำให้หลายโรงพยาบาลรู้สึกว่า สปสช. “บริหารเชิงลงโทษ” มากกว่า “บริหารเชิงพัฒนา”
สะเทือนความเชื่อมั่นในกลไกการเงิน “บัตรทอง”
กรณี “เงินโอนหลักร้อย” อาจดูเหมือนเรื่องเฉพาะจุด แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 3 ประการสำคัญคือ
- ความคลุมเครือระหว่าง “เงินล่วงหน้า” กับ “หนี้ค้างจ่าย”ทำให้โรงพยาบาลไม่แน่ใจว่าเงินที่ได้รับคือ “เงินของตนเอง” หรือ “เงินที่ต้องคืน”
- กลไกตรวจสอบ (Audit) ที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรม การสุ่มตรวจเพียง 3% แล้วขยายผล 100% ถูกวิจารณ์ว่า “ไม่สะท้อนความจริงทางการแพทย์”
- ความไม่มั่นคงของกระแสเงินสดในหน่วยบริการ โรงพยาบาลจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับจังหวัดและเอกชนขนาดกลาง เริ่มเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจริงจากการถูกหักงบย้อนหลัง
เมื่อ “ระบบที่ตั้งใจดี” สะดุดที่ความเชื่อมั่น
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะสำคัญของประเทศ ที่ต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างรัฐและโรงพยาบาลทั่วประเทศ
แต่กรณี “เงินโอนหลักร้อย” สะท้อนว่า ความโปร่งใสและการสื่อสารระหว่างสปสช.กับหน่วยบริการยังมี “ช่องว่างของความเข้าใจ” อยู่มาก
- ฝั่งสปสช. อธิบายว่าทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบการเงิน เพื่อควบคุมงบประมาณและป้องกันความผิดพลาด
- ฝั่งโรงพยาบาลกลับเห็นว่า ระเบียบเหล่านี้ทำให้หน่วยบริการ “แบกรับความเสี่ยง” ทางการเงินแทนระบบ
“พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี และประธานชมรม รพศ./รพท. ได้กล่าวถึงกรณีที่ สปสช. ใช้ผลการสุ่มตรวจเวชระเบียน 3% ของโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการเบิกจ่าย และอาจนำผลมาหักงบผู้ป่วยในถึง 100%
เธอมองว่ามาตรการนี้ “ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของหน้างาน” เวลาสุ่มตรวจพบว่าเวชระเบียนไม่สมบูรณ์ แต่ผู้ป่วยหายดี นั่นไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลทำผิด เพียงแต่หมออาจเขียนรายละเอียดน้อย หรือบันทึกไม่ครบตามเกณฑ์ แต่ผู้ป่วยก็ได้รับการรักษาครบถ้วน
พญ.ภาวิณีระบุว่า เกณฑ์การตรวจที่เข้มงวดเกินไป ทำให้หลายโรงพยาบาลถูกตีความว่า “ผิดปกติ” ทั้งที่ความจริงเป็นเพียง “ความไม่สมบูรณ์ของเอกสาร” มากกว่าจะเป็นการทุจริต
“ตอนนี้กำลังมีการหารือกันว่าจะปรับระบบตรวจอย่างไรให้เป็นธรรมกับหน่วยบริการมากขึ้น” พญ.ภาวิณี กล่าว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




