ThaiPBS Logo

ติดหนี้แทบทุกแห่งทั่วประเทศ: สปสช.ต้องแก้บริหารการเงิน “บัตรทอง”

9 ต.ค. 256816:54 น.
ติดหนี้แทบทุกแห่งทั่วประเทศ: สปสช.ต้องแก้บริหารการเงิน “บัตรทอง”
  • นายกฯ อนุทินยอมรับ สปสช.ติดหนี้แทบทุกโรงพยาบาล หลังมงกุฎวัฒนะหยุดรับผู้ป่วยบัตรทอง
  • รัฐบาลเตรียมใช้งบกลาง 8,000 ล้านบาท อุดช่องว่างงบกองทุนบัตรทอง
  • โรงพยาบาลรัฐขาดทุนสะสมกว่า 8,000 ล้าน สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งแก้
"หนี้บัตรทอง"ยังเป็นปัญหาใหญ่ของสปสช.ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร เมื่อรัฐบาลเตรียมใช้งบกลาง 8,000 ล้านบาท แก้ปัญหา “บัตรทอง”ติดหนี้ โรงพยาบาลรัฐ หลัง โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะประกาศยุติให้บริการ จนกว่า สปสช.จะใช้หนี้ โรงพยาบาล

“สปสช. ติดหนี้แทบทุกโรงพยาบาล” คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล  ยอมรับกับสื่อมวลชน ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันนี้ 9 ต.ค. 68  หลังสถานการณ์ “งบค้างจ่าย” กองทุนบัตรทองปะทุขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ “หมอเหรียญทอง แน่นหนา” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ประกาศหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทอง หลังอ้างว่า สปสช.ค้างจ่ายค่ารักษากว่า 100 ล้านบาท

“คิดว่า สปสช.ต้องเร่งบริหารการเงิน เพราะตอนนี้ไม่ได้ติดหนี้แค่บางโรงพยาบาล แต่แทบจะทุกแห่งทั่วประเทศ” นายอนุทิน บอกแบบตรงไปตรงมา พร้อมระบุว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาใช้งบกลางเพื่อ “เคลียร์บัญชี” ให้กับหน่วยบริการ หากสำนักงานงบประมาณเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน ก็พร้อมเร่งดำเนินการทันที

หมอเหรียญทอง บุก ทวงหนี้ “สปสช.”

เหตุการณ์เริ่มปะทุเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อ นพ.เหรียญทอง บุกสำนักงาน สปสช. เพื่อทวงหนี้ 110 ล้านบาท อ้างโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องจนต้อง “กู้เงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน” หลังรอการเบิกจ่ายสะสมตั้งแต่ปี 2563

แม้ สปสช. จะนัดแถลงข่าวชี้แจงในวันเดียวกัน แต่กลับ “ยกเลิกกะทันหัน” ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง แต่ในวันถัดมา  ( 9 ตค.)  นพ.เหรียญทอง  ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวของ สปสช.และได้แจงถึงปัญหาต่างๆ

เรื่องราวของ นพ.เหรียญทอง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสาธารณสุขถึงความล่าช้าในการจัดสรรงบและความไม่ชัดเจนในการบริหารกองทุน

โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เข้าร่วมระบบบัตรทองตั้งแต่ปี 2563 หลัง สปสช. ขอให้ช่วยรองรับผู้ป่วยจากคลินิกที่ถูกยกเลิก แต่กลับพบปัญหาการเบิกจ่ายค้างชำระต่อเนื่อง จากยอดค้าง 13 ล้านบาท จนบานปลายเป็นกว่า 110 ล้านบาทในปัจจุบัน

ขณะที่ ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.ให้สัมภาษณ์หลายสื่อ ชี้แจงว่าไม่จริง แต่อยู่ระหว่างกระบวนการจ่ายตามขั้นตอนซึ่งติดค้างกันเพียง 37 ล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมี Stakeholder จำนวนมากหลายส่วน ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ส่วนผู้มีสิทธิบัตรทองในโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจำนวน 4.7 หมื่นคน จะไม่รับผลกระทบ โดยจะหาหน่วยบริการมารองรับแน่นอน

สปสช.ขอใช้งบกลาง 8 พันล้านอุดงบขาด

เบื้องหลังวิกฤตการเงินในระบบ “บัตรทอง” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง เพราะข้อมูลจากการประชุมบอร์ด สปสช. ล่าสุดชี้ว่า กองทุนฯ ปีงบประมาณ 2569 “ไม่เพียงพอ” ต่อภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

บอร์ด สปสช. จึงมีมติ “ขอใช้งบกลาง” เพิ่มเติม 8,092 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องของระบบ โดยแบ่งเป็น

  1. งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการภาครัฐ 4,319 ล้านบาท
  2. งบค่ารักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 3,772 ล้านบาท

เป้าหมายหลักคือ “ไม่ให้บริการประชาชนสะดุด” โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคไต ที่ต้องรับบริการต่อเนื่องทุกสัปดาห์

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า จะเร่งเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ทันในสัปดาห์ถัดไป เพื่อให้ระบบเดินต่อได้โดยไม่กระทบสิทธิประชาชน

 

สธ.เดินหน้าเคลียร์หนี้ รักษาสิทธิประชาชน

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเพิ่งนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ด สปสช. คนใหม่ ยอมรับตรง ๆ ว่า งบปี 2569 “ไม่พอจริง” และจำเป็นต้องขอใช้งบกลางเสริม เพื่อให้โรงพยาบาลทุกแห่งดำเนินงานได้ต่อเนื่อง

“งบกลางจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้หน่วยบริการ ไม่ให้สะดุด ไม่ให้ประชาชนขาดโอกาสเข้ารับบริการ”  นายพัฒนา กล่าว

เขาย้ำว่า ระบบสาธารณสุขไทยยังแข็งแรง แต่ต้องเร่งจัดสมดุลรายรับ-รายจ่ายของโรงพยาบาล โดยเฉพาะหน่วยบริการที่รับภาระบัตรทองเป็นหลัก

น่าห่วง สปสช.ติดหนี้ รพ.รัฐ 8,000 ล้าน

ไม่บ่อยครั้งที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมบอร์ด สปสช. ด้วยตนเอง แต่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ได้เปิดเผยภาพใหญ่ของปัญหาเชิงโครงสร้าง ทางการเงินในระบบสุขภาพ ท่ามกลางคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ที่เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก

ปลัดฯ สธ. ระบุว่า โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงหลายแห่งเริ่มมี “สถานะการเงินลดลง” แม้ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่รายรับโดยเฉพาะจากกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) ไม่สมดุลกับรายจ่าย ทำให้บางแห่งมีภาวะขาดทุนสะสม

หากดูภาพรวมปีงบประมาณ 2567 หน่วยบริการที่พึ่งรายได้จากกองทุน UC เป็นหลักมีตัวเลข

“  ตัวเลขน่าห่วง โรงพยาบาลรัฐขาดทุนจากระบบ UC กว่า 8,000 ล้าน แม้เมื่อรวมรายได้จากกองทุนข้าราชการ (CSMBS) และประกันสังคม (SSS) จะยังประคองระบบไว้ได้ก็ตาม”

 “แพทย์หนึ่งจังหวัด” แผนฟื้นระบบสุขภาพของกระทรวง

นายแพทย์สมฤกษ์ เปิดเผยว่า ปัญหางบไม่พออาจจะกระทบต่อแผนปรับโครงสร้างบริการใหม่ โดยตั้งเป้า “กระจายภาระงาน” จากโรงพยาบาลศูนย์ลงสู่โรงพยาบาลชุมชน ผ่านแนวคิด One Hospital One Province หรือ “โรงพยาบาลหนึ่งจังหวัด หนึ่งระบบบริการ”

แนวทางหลักคือ

  • ให้แพทย์ 1 คน สามารถหมุนเวียนให้บริการหลายโรงพยาบาลในจังหวัดเดียวกัน
  • ใช้ห้องผ่าตัดและทรัพยากรที่เหลือในบางแห่งมาช่วยลดคิวผ่าตัดในโรงพยาบาลใหญ่
  • ส่งเสริมระบบ Telemedicine และ Virtual Hospital เชื่อมต่อผ่าน Super App ที่พัฒนาโดยความร่วมมือกับ Google
  • พัฒนา Productivity-Based Pay ให้บุคลากรได้รับผลตอบแทนตามผลงานจริง

ปลัดฯ ยังมองไกลถึงการสร้าง “เศรษฐกิจสุขภาพ” (Health Economy) ที่จะขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ในภูมิภาค ทั้ง Wellness, Medical Tourism และ Precision Medicine

“งบ 8,000 ล้าน” คือยาแก้เฉพาะหน้า

แม้งบกลางกว่า 8,000 ล้านบาทจะช่วยบรรเทาวิกฤตการเงินของหน่วยบริการได้ในระยะสั้น แต่คำถามใหญ่ยังคงอยู่  “ระบบบัตรทอง” ที่เป็นหลักประกันสุขภาพของคนไทยกว่า 47 ล้านคน จะยั่งยืนได้เพียงใด ภายใต้งบประมาณจำกัด และต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้นทุกปี

รัฐบาลของอนุทินอาจต้องเผชิญ “โจทย์หิน” ที่ไม่ใช่แค่การเคลียร์หนี้ให้โรงพยาบาล แต่คือการฟื้น “ความเชื่อมั่น” ในระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า ที่เป็นทั้ง “เสาหลัก” ของรัฐสวัสดิการไทย และ “สนามสอบจริง” ของรัฐบาลชุดนี้

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบหลักประกันสุขภาพ

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต่อมาเรียกว่า "บัตรทอง" ซึ่งดำเนินการมาครบรอบ 20 ปีเมื่อปี 2566 และกำลังก้าวสู่ปีที่ 23 ในปี 2568 แต่ปัญหายังต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการ แม้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: