“สปสช. ติดหนี้แทบทุกโรงพยาบาล” คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ยอมรับกับสื่อมวลชน ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันนี้ 9 ต.ค. 68 หลังสถานการณ์ “งบค้างจ่าย” กองทุนบัตรทองปะทุขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ “หมอเหรียญทอง แน่นหนา” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ประกาศหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทอง หลังอ้างว่า สปสช.ค้างจ่ายค่ารักษากว่า 100 ล้านบาท
“คิดว่า สปสช.ต้องเร่งบริหารการเงิน เพราะตอนนี้ไม่ได้ติดหนี้แค่บางโรงพยาบาล แต่แทบจะทุกแห่งทั่วประเทศ” นายอนุทิน บอกแบบตรงไปตรงมา พร้อมระบุว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาใช้งบกลางเพื่อ “เคลียร์บัญชี” ให้กับหน่วยบริการ หากสำนักงานงบประมาณเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน ก็พร้อมเร่งดำเนินการทันที
หมอเหรียญทอง บุก ทวงหนี้ “สปสช.”
เหตุการณ์เริ่มปะทุเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อ นพ.เหรียญทอง บุกสำนักงาน สปสช. เพื่อทวงหนี้ 110 ล้านบาท อ้างโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องจนต้อง “กู้เงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน” หลังรอการเบิกจ่ายสะสมตั้งแต่ปี 2563
แม้ สปสช. จะนัดแถลงข่าวชี้แจงในวันเดียวกัน แต่กลับ “ยกเลิกกะทันหัน” ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง แต่ในวันถัดมา ( 9 ตค.) นพ.เหรียญทอง ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวของ สปสช.และได้แจงถึงปัญหาต่างๆ
เรื่องราวของ นพ.เหรียญทอง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงการสาธารณสุขถึงความล่าช้าในการจัดสรรงบและความไม่ชัดเจนในการบริหารกองทุน
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เข้าร่วมระบบบัตรทองตั้งแต่ปี 2563 หลัง สปสช. ขอให้ช่วยรองรับผู้ป่วยจากคลินิกที่ถูกยกเลิก แต่กลับพบปัญหาการเบิกจ่ายค้างชำระต่อเนื่อง จากยอดค้าง 13 ล้านบาท จนบานปลายเป็นกว่า 110 ล้านบาทในปัจจุบัน
ขณะที่ ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.ให้สัมภาษณ์หลายสื่อ ชี้แจงว่าไม่จริง แต่อยู่ระหว่างกระบวนการจ่ายตามขั้นตอนซึ่งติดค้างกันเพียง 37 ล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมี Stakeholder จำนวนมากหลายส่วน ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ส่วนผู้มีสิทธิบัตรทองในโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจำนวน 4.7 หมื่นคน จะไม่รับผลกระทบ โดยจะหาหน่วยบริการมารองรับแน่นอน
สปสช.ขอใช้งบกลาง 8 พันล้านอุดงบขาด
เบื้องหลังวิกฤตการเงินในระบบ “บัตรทอง” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง เพราะข้อมูลจากการประชุมบอร์ด สปสช. ล่าสุดชี้ว่า กองทุนฯ ปีงบประมาณ 2569 “ไม่เพียงพอ” ต่อภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
บอร์ด สปสช. จึงมีมติ “ขอใช้งบกลาง” เพิ่มเติม 8,092 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องของระบบ โดยแบ่งเป็น
- งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการภาครัฐ 4,319 ล้านบาท
- งบค่ารักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 3,772 ล้านบาท
เป้าหมายหลักคือ “ไม่ให้บริการประชาชนสะดุด” โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคไต ที่ต้องรับบริการต่อเนื่องทุกสัปดาห์
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า จะเร่งเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ทันในสัปดาห์ถัดไป เพื่อให้ระบบเดินต่อได้โดยไม่กระทบสิทธิประชาชน
สธ.เดินหน้าเคลียร์หนี้ รักษาสิทธิประชาชน
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเพิ่งนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ด สปสช. คนใหม่ ยอมรับตรง ๆ ว่า งบปี 2569 “ไม่พอจริง” และจำเป็นต้องขอใช้งบกลางเสริม เพื่อให้โรงพยาบาลทุกแห่งดำเนินงานได้ต่อเนื่อง
“งบกลางจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้หน่วยบริการ ไม่ให้สะดุด ไม่ให้ประชาชนขาดโอกาสเข้ารับบริการ” นายพัฒนา กล่าว
เขาย้ำว่า ระบบสาธารณสุขไทยยังแข็งแรง แต่ต้องเร่งจัดสมดุลรายรับ-รายจ่ายของโรงพยาบาล โดยเฉพาะหน่วยบริการที่รับภาระบัตรทองเป็นหลัก
น่าห่วง สปสช.ติดหนี้ รพ.รัฐ 8,000 ล้าน
ไม่บ่อยครั้งที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมบอร์ด สปสช. ด้วยตนเอง แต่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ได้เปิดเผยภาพใหญ่ของปัญหาเชิงโครงสร้าง ทางการเงินในระบบสุขภาพ ท่ามกลางคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ที่เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก
ปลัดฯ สธ. ระบุว่า โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงหลายแห่งเริ่มมี “สถานะการเงินลดลง” แม้ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่รายรับโดยเฉพาะจากกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) ไม่สมดุลกับรายจ่าย ทำให้บางแห่งมีภาวะขาดทุนสะสม
หากดูภาพรวมปีงบประมาณ 2567 หน่วยบริการที่พึ่งรายได้จากกองทุน UC เป็นหลักมีตัวเลข
“ ตัวเลขน่าห่วง โรงพยาบาลรัฐขาดทุนจากระบบ UC กว่า 8,000 ล้าน แม้เมื่อรวมรายได้จากกองทุนข้าราชการ (CSMBS) และประกันสังคม (SSS) จะยังประคองระบบไว้ได้ก็ตาม”
“แพทย์หนึ่งจังหวัด” แผนฟื้นระบบสุขภาพของกระทรวง
นายแพทย์สมฤกษ์ เปิดเผยว่า ปัญหางบไม่พออาจจะกระทบต่อแผนปรับโครงสร้างบริการใหม่ โดยตั้งเป้า “กระจายภาระงาน” จากโรงพยาบาลศูนย์ลงสู่โรงพยาบาลชุมชน ผ่านแนวคิด One Hospital One Province หรือ “โรงพยาบาลหนึ่งจังหวัด หนึ่งระบบบริการ”
แนวทางหลักคือ
- ให้แพทย์ 1 คน สามารถหมุนเวียนให้บริการหลายโรงพยาบาลในจังหวัดเดียวกัน
- ใช้ห้องผ่าตัดและทรัพยากรที่เหลือในบางแห่งมาช่วยลดคิวผ่าตัดในโรงพยาบาลใหญ่
- ส่งเสริมระบบ Telemedicine และ Virtual Hospital เชื่อมต่อผ่าน Super App ที่พัฒนาโดยความร่วมมือกับ Google
- พัฒนา Productivity-Based Pay ให้บุคลากรได้รับผลตอบแทนตามผลงานจริง
ปลัดฯ ยังมองไกลถึงการสร้าง “เศรษฐกิจสุขภาพ” (Health Economy) ที่จะขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ในภูมิภาค ทั้ง Wellness, Medical Tourism และ Precision Medicine
“งบ 8,000 ล้าน” คือยาแก้เฉพาะหน้า
แม้งบกลางกว่า 8,000 ล้านบาทจะช่วยบรรเทาวิกฤตการเงินของหน่วยบริการได้ในระยะสั้น แต่คำถามใหญ่ยังคงอยู่ “ระบบบัตรทอง” ที่เป็นหลักประกันสุขภาพของคนไทยกว่า 47 ล้านคน จะยั่งยืนได้เพียงใด ภายใต้งบประมาณจำกัด และต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้นทุกปี
รัฐบาลของอนุทินอาจต้องเผชิญ “โจทย์หิน” ที่ไม่ใช่แค่การเคลียร์หนี้ให้โรงพยาบาล แต่คือการฟื้น “ความเชื่อมั่น” ในระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า ที่เป็นทั้ง “เสาหลัก” ของรัฐสวัสดิการไทย และ “สนามสอบจริง” ของรัฐบาลชุดนี้
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง