ยังคงเป็นประเด็นร้อนสำหรับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อคลินิกชุมชนอบอุ่นซึ่งทำหน้าที่หน่วยบริการปฐมภูมิ เตรียมยกเลิกสัญญาเพิ่มหลายแห่ง ท่ามกลางปัญหาการจ่ายชดเชยไม่ครบถ้วน และปัญหา “ใบส่งตัว” ผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลทุติยภูมิ
หนึ่งในหน่วยบริการเอกชนที่ออกมาสะท้อนปัญหาอย่างต่อเนื่องคือ “โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ระบุว่า ระบบการเงินและการจ่ายค่าชดเชยจาก สปสช. ยังมีปัญหา โรงพยาบาลจึงต้องหาทางออก ด้วยโครงการ ”เก็บใบเสร็จค่ายาไว้แลกเงิน“ หลังจาก สปสช. ชำระหนี้รพ.แล้ว หรือ การจัดทำโครงการ “บัตรทองแพลตตินั่ม” สำหรับผู้ป่วยนอกที่ไม่ได้มีสิทธิบัตรทองขึ้นตรงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ สามารถเข้ารับบริการได้แต่ต้องสำรองจ่ายค่าย่าในราคาโรงพยาบาลรัฐ
จนถึงวันนี้ยังมีคำถามว่า “บัตรทองในกรุงเทพฯ” จะเดินต่อไปอย่างไร? ท่ามกลางความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่าง “หน่วยบริการ” กับ “สปสช.”
Thai PBS Policy Watch เปิดใจ พลตรี นพ.เหรียญทอง ในฐานะทั้งผู้บริหารและเจ้าของกิจการหน่วยบริการภาคเอกชน ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านการเงิน พร้อมวิเคราะห์ข้อเสนอทางออกต่อระบบสุขภาพในเมืองใหญ่ ที่ยังหาคำตอบไม่ได้
“กองทุนส่งต่อผู้ป่วยนอก” ค้างชำระสะสมหลายสิบล้าน
ปัญหาระหว่างโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่า แม้โรงพยาบาลจะเป็นคู่สัญญากับ สปสช. ครอบคลุมทั้งระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ดูแลประชากรกว่า 250,000 คน แต่กลับประสบปัญหาหนักจาก “กองทุนส่งต่อผู้ป่วยนอก (OP Refer)” ที่ สปสช.ค้างชำระเงินอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของปัญหาเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2563 ช่วงที่ สปสช.มีคำสั่งยกเลิกสัญญาคลินิกชุมชนอบอุ่น และโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด หลังพบการทุจริตข้อมูล แต่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเป็นแห่งเดียวที่ยังคงอยู่เพราะตรวจสอบแล้ว “ไม่พบการทุจริต”
ในช่วงเวลาดังกล่าว (ก.ค.-ก.ย. 2563) มงกุฎวัฒนะต้องรับภาระตรวจรักษาผู้ป่วยแทนคลินิก และโรงพยาบาลที่ถูกยกเลิกสัญญา โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกว่า 13 ล้านบาท
สปสช.เคยรับปากว่าจะนำเงินจากงบเหมาจ่ายรายหัวของคลินิกที่ถูกยกเลิกมาชดเชยให้ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการจ่าย แม้โรงพยาบาลจะต้องนำยอดดังกล่าวไปลงบัญชีเป็นรายได้และเสียภาษีไปแล้วก็ตาม เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลปกครองตั้งแต่ปี 2564 แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
ปรับระบบส่งต่อโมเดล 5 แต่ปัญหาซ้ำรอย
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 สปสช.ปรับระบบการส่งต่อผู้ป่วยใหม่ (โมเดล 5) และได้ร้องขอให้ รพ.มงกุฎวัฒนะช่วยรับผู้ป่วยต่อ
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยอมรับปากช่วยโดยมีเงื่อนไข “อย่าเบี้ยวหนี้เหมือนปี 2563” แต่จนถึงปัจจุบัน สปสช.ยังค้างชำระทั้งค่าบริการ ค่าแพทย์ และค่ายา รวมแล้วไม่น้อยกว่า 47 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตั้งแต่ ต.ค. 2567 ถึง ก.พ. 2568 มงกุฎวัฒนะยังถูกค้างชำระเพิ่มอีกประมาณ 17 ล้านบาท ทำให้ยอดหนี้สะสมจาก OP Refer รวมกันแล้วหลายสิบล้านบาท
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ย้ำว่า ปัญหาการค้างจ่ายเงินทำให้โรงพยาบาลต้องกู้เงินหมุนเวียน จนขาดสภาพคล่องอย่างหนัก โดยเฉพาะในส่วน “ค่ายา” ที่ไม่สามารถแบกรับต่อได้ จึงจำเป็นต้องประกาศให้ผู้ป่วยบัตรทองที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาล จ่ายค่ายาเองตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 พร้อมเก็บใบเสร็จไว้เพื่อขอคืนเงิน หากวันหนึ่ง สปสช.ชำระหนี้ย้อนหลังครบถ้วน
“ไม่ใช่โรงพยาบาลเอาคนไข้เป็นตัวประกัน แต่สปสช.ต่างหากที่ปล่อยให้หนี้ค้าง ทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา” พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เตือนว่าหากปัญหานี้ยืดเยื้อ จะกระทบต่อระบบการรักษาในภาพรวม สปสช.ต้องเร่งเคลียร์หนี้กองทุน OP Refer ที่ค้างสะสมมาตั้งแต่ปี 2563 และปี 2567-2568 มิฉะนั้นวิกฤติสภาพคล่องของโรงพยาบาลเอกชนคู่สัญญาจะยิ่งรุนแรง และสุดท้ายผู้ป่วยจะเป็นฝ่ายที่เดือดร้อนมากที่สุด
ยืนยันยอดหนี้ที่ สปสช.ค้างจ่ายกว่า 70 ล้านบาท
พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่า ขณะนี้ยอดหนี้ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ค้างชำระต่อโรงพยาบาลรวมแล้วกว่า 70 ล้านบาท แต่ สปสช. แถลงข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าโรงพยาบาลเป็นฝ่ายปฏิเสธบริการหรือเอาผู้ป่วยเป็นตัวประกัน
“ผมพร้อมที่จะไปดีเบตกับผู้บริหาร สปสช.ต่อหน้าสาธารณะเลยครับ ให้ความจริงปรากฏว่าการแถลงที่ผ่านมานั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้หน่วยบริการกลายเป็นคู่กรณีกับประชาชน ในขณะที่ สปสช.กลับลอยตัวไม่รับผิดชอบ” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าทำไม สปสช.ไม่ยอมจ่าย ทั้งที่ยืนยันว่ามีงบประมาณพร้อม “เขาบอกเองว่ามีเงิน แต่ก็ยังไม่จ่าย ซึ่งเป็นปัญหาภายในของ สปสช. ไม่ใช่ความผิดของโรงพยาบาล แต่ผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชนและหน่วยบริการ”
เขาย้ำว่า โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะไม่เคยล่าช้าในการบันทึกข้อมูลเหมือนที่ สปสช.อ้างว่าเป็นสาเหตุของการค้างจ่าย “โรงพยาบาลเอกชนทำงานเร็วอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นถึง 4 รอบ แต่ไม่พบการทุจริตเลย หากตรวจเจอการทุจริตจริง ก็ควรยกเลิกสัญญาไป แต่กรณีของเราไม่มี”
แม้จะเผชิญปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงิน แต่ปัจจุบันโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะยังเป็นคู่สัญญาในระบบหน่วยบริการปฐมภูมิ และยังคงทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลเครือข่ายรับส่งต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินหรือโรคซับซ้อนจากโรงพยาบาลรัฐที่เตียงเต็ม เช่น ผ่าตัดหัวใจหรือสมอง ซึ่งโรงพยาบาลยังคงให้บริการช่วยเหลืออยู่
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลได้ยุติการรับผู้ป่วยนอกที่ส่งต่อมาจากคลินิก (OP Refer) แล้ว เนื่องจากหนี้สะสมจำนวนมากจากกองทุนดังกล่าว
“บัตรทองแพลตินัม” ทางออกชั่วคราว
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ป่วย โรงพยาบาลจึงจัดทำโครงการ “บัตรทองแพลตินัม” สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่ไม่ได้มีสิทธิขึ้นตรงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ แต่พร้อมจ่ายค่ายาและค่าตรวจรักษาบางส่วนเอง โดยคิดตามอัตราเดียวกับโรงพยาบาลรัฐในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งต่ำกว่าค่ารักษาในภาคเอกชนทั่วไป และไม่ต้องใช้ ”ใบส่งตัว“
“ตรงนี้ถือเป็นการร่วมจ่ายโดยสมัครใจ คนไข้บางส่วนยอมกัดฟันจ่ายเพื่อเข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอระบบใบส่งตัวที่มักทำให้การรักษาล่าช้า และบางครั้งโรคที่ควรเป็นเพียงโรคเบา กลับลุกลามจนกลายเป็นโรคร้ายแรง” พล.ต.นพ.เหรียญทองอธิบาย
สำหรับผู้ป่วยใน (IPD) โรงพยาบาลยังคงรับรักษาตามสิทธิปกติ และเบิกจากกองทุน สปสช. โดยตรง แต่ยอมรับว่าการจ่ายเงินก็ยังไม่เต็มจำนวน
เก็บใบเสร็จค่ายา – ผู้ป่วยเป็น “เจ้าหนี้โรงพยาบาล”
สำหรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่มีสิทธิขึ้นตรงกับรพ.มงกุฎวัฒนะ พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่าโรงพยาบาลให้ผู้ป่วยสำรองจ่ายค่ายาก่อน แล้วเก็บใบเสร็จไว้แลกเป็นเงินสดคืน เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และได้จัดทำระบบบัญชีชัดเจน โดยผู้ป่วยถือเป็น “เจ้าหนี้ของโรงพยาบาล” โดยเมื่อใดก็ตามที่ สปสช.ชำระหนี้ โรงพยาบาลจะคืนเงินให้ตามใบเสร็จ
“ไม่ใช่โรงพยาบาลโกงประชาชน แต่เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเงินซื้อยาให้ผู้ป่วยเลย” เขากล่าว
พล.ต.นพ.เหรียญทอง เปิดเผยว่า ภายในปี 2569 โรงพยาบาลอาจตัดสินใจเลิกรับผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองกับโรงพยาบาลโดยตรงกว่า 50,000 คน และหันมาให้บริการเฉพาะในรูปแบบบัตรทองแพลตินัมร่วมกับการรักษาผู้ป่วยในเท่านั้น
“ความจริงคือ ผู้ป่วยกว่า 90% พอใจกับการรักษาที่มงกุฎวัฒนะ และไม่ย้ายสิทธิ์ไปไหน แต่ด้วยปัญหาการเบิกจ่ายจาก สปสช.ที่สะสมเรื้อรัง เราอาจจำเป็นต้องปรับระบบเพื่อความอยู่รอด” ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะกล่าว
ย้ำ “ไม่ใช่คู่กรณีกับบัตรทอง”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ชี้แจงว่า โรงพยาบาลไม่ได้เป็นคู่กรณีกับระบบบัตรทองหรือ สปสช.ทั้งหมด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจำกัดอยู่เพียงกองทุนผู้ป่วยนอกส่งต่อ (OP Refer) เท่านั้น
“อย่าเข้าใจผิดว่าเรามีปัญหากับ สปสช.ทั้งระบบ เรามีปัญหาเฉพาะ OP Refer ส่วนกองทุนอื่น ๆ เรายังทำงานปกติ ถ้าเอาอารมณ์โกรธมาเป็นตัวตั้ง แล้วถอนตัวออกไปทันที ไม่เพียงโรงพยาบาลจะสูญเสียหนี้กว่า 70 ล้านบาทที่ยังค้างอยู่ แต่สุดท้ายคนที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชน” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
แต่ ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ยังยืนยันว่า จะไม่ยกเลิกสิทธิ์บัตรทองตรงของประชาชนกว่า 50,000 คน แม้จะมีแรงกดดันทางการเงิน พร้อมวางแนวทางคัดกรองรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม เช่น ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง ไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยเอดส์ รวมถึงผู้พิการ
“หากมีผู้ใช้สิทธิ์ย้ายออก เราจะรับผู้ป่วยกลุ่มเหล่านี้เข้ามาทดแทนทันที แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครย้ายสิทธิ์ออกไปเลย” เขากล่าว
ส่งเสียงแทนหน่วยบริการอื่น ๆ ฝากถึงผู้บริหาร สปสช.
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่า หลายโรงพยาบาลและคลินิกอาจไม่กล้าออกมาพูด แต่ในความเป็นจริง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบบัตรทอง หากแต่อยู่ที่การบริหารจัดการภายในของ สปสช.
“แม้แต่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับ สปสช. เขาก็ไม่ได้รังเกียจระบบบัตรทอง แต่ปัญหาคือการบริหาร ถ้าเบี้ยวหนี้ ไม่ยอมชำระ นี่คือสิ่งที่โรงพยาบาลไม่สามารถยอมรับได้ และการแถลงข้อมูลบิดเบือนก็ไม่ควรเกิดขึ้น” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
ข้อเสนอ “แผนผ่อนชำระหนี้” แก้ปัญหาระยะยาว
สำหรับแนวทางแก้ปัญหา พล.ต.นพ.เหรียญทอง เสนอว่า ผู้บริหาร สปสช.ควรจัดทำ “แผนผ่อนชำระหนี้” ต่อโรงพยาบาลที่ถูกค้างจ่าย โดยแบ่งชำระในระยะเวลา 5 ปี ไม่คิดดอกเบี้ย และผูกพันไว้ในงบประมาณประจำปี
“ถ้า สปสช.ยอมทำแผนหนี้ผูกพันแบบนี้ ปัญหาก็จะยุติทันที โรงพยาบาลก็จะช่วยประคับประคองระบบต่อไป” เขากล่าว
เขาเตือนว่า หากปัญหานี้ยังคาราคาซัง วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โรงพยาบาล จำเป็นต้องประกาศงดตรวจผู้ป่วยบัตรทองโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จ่ายค่ายาเอง แต่ไม่ตรวจเลย เพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่าหมอและบุคลากร
“ทุกวันที่ 15 ผมต้องจ่ายเงินเดือนหมอและเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่เคยตรงเวลาเลย หลายคนก็มีครอบครัวต้องเลี้ยงดู ถ้าวันหนึ่งผมบอกว่าสิ้นเดือนนี้ไม่มีเงินจ่ายครบ ผมจ่ายได้แค่ครึ่ง อีกครึ่งขอค้างไว้ แล้วประกาศงดตรวจบัตรทอง มันก็ไม่ใช่ว่าผมเอาคนไข้เป็นตัวประกัน แต่ผมไม่มีเงินจริงๆ” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ย้ำข้อเสนออีกครั้งว่า ทางออกคือการทำสัญญายอมรับสภาพหนี้กับ สปสช. วงเงินกว่า 70 ล้านบาท ควรแบ่งผ่อนชำระ 5 ปี โดยทำเป็นสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่ชัดเจน “ถ้าเป็นเอกชน เรื่องนี้ต้องเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว แต่เพราะ สปสช. เป็นหน่วยงานรัฐ จึงไม่อาจปล่อยให้ทำงานตามอำเภอใจ”
เขายังชี้ว่ากรณีนี้สามารถเป็นต้นแบบให้โรงพยาบาลรัฐที่ประสบปัญหาขาดทุน โดยเฉพาะในภูมิภาค เช่น ภาคอีสาน ขอนแก่น ฯลฯ ทำแผนแก้หนี้ร่วมกับ สปสช. อาจเป็น 10 หรือ 20 ปีก็ได้ เพื่อให้ระบบอยู่รอด
เสนอโมเดลใหม่ “Reverse OP Refer”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังได้เสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “Reverse OP Refer” คือ ให้ผู้ป่วยขึ้นทะเบียนตรงกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะแทนการผ่านคลินิกปฐมภูมิ จากนั้นโรงพยาบาลจะเป็นผู้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังคลินิกเครือข่ายเอง โดยโรงพยาบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและเบิกแทน
ตัวอย่างเช่นกรณีที่คลินิกในพื้นที่กรุงเทพฯตอนเหนือ เช่น ดอนเมือง หลักสี่ จตุจักร ฯลฯ ต้องปิดตัวไป สามารถให้ผู้ป่วยขึ้นตรงกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะได้เลย โดยไม่ต้องใช้ระบบส่งต่อจากคลินิกอีกต่อไป วิธีนี้จะช่วยตัดปัญหาเรื่อง “ใบส่งตัว” ที่ซ้ำซ้อน
แทนที่ผู้ป่วยจะถูกส่งมาที่โรงพยาบาลทั้งหมด หากโรงพยาบาลมีคนไข้แน่น ก็สามารถ “ส่งกลับ” ไปที่คลินิกให้ช่วยรับผิดชอบแทน โดยคลินิกจะเบิกค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะอีกทอดหนึ่ง ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาการค้างหนี้ เพราะโรงพยาบาลยืนยันว่าตนไม่มีพฤติกรรมเบี้ยวหนี้
เมื่อถามว่ารูปแบบนี้ก็เหมือนโรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัด ที่ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ดูแล รพ.สต.เครือข่าย (ลูกข่าย) โดยโรงพยาบาลจะเป็นผู้จ่ายค่ารักษาไปให้ รพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิเช่นเดียวกับคลินิกชุมชนอบอุ่น ใช่หรือไม่
พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่าใช่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องไปขอใบส่งตัวเพื่อมารักษาในโรงพยาบาลอีก แต่ยอมรับว่าปัญหาในกรุงเทพฯมีความซับซ้อนกว่าต่างจังหวัด เพราะมีประชากรแฝงจำนวนมาก ขณะที่โรงพยาบาลรัฐยังมีข้อจำกัดเรื่องบุคลากรและเครื่องมือ ดังนั้นข้อเสนอนี้จึงเป็นเพียง “ทางออกเฉพาะหน้า” เพื่อประคับประคองระบบไม่ให้ล่มสลาย และหากในอนาคต สปสช.สามารถจัดระบบได้ดีขึ้น โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะก็พร้อมคืนกลับไปสู่ระบบปกติ
หมอเหรียญทอง ยังย้ำด้วยว่า ตนเองไม่ได้มีเจตนาต่อต้าน สปสช. แต่ตรงกันข้าม เห็นว่า สปสช.เป็นองค์กรสำคัญมาก เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการบริหารจัดการภายใน ซึ่งผู้บริหารระดับสูงต้องแสดงความรับผิดชอบและหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง
ถามต่อว่าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบสาธารณสุข เขาตอบว่า ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ทั้งประเทศจะได้รับผลกระทบ โดยคุณภาพและมาตรฐานการรักษาจะค่อย ๆ ลดลง
เห็นได้จากพฤติกรรมคลินิกปฐมภูมิที่พยายาม “ดองโรค” หรือเลี่ยงการส่งต่อ เพราะเกรงว่าจะขาดทุน ส่งผลให้ผู้ป่วยที่ควรได้รับการรักษาเร็ว กลับถูกปล่อยจนโรคลุกลามหนัก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทุติยภูมิ ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนหนักกว่าเดิม
ดังนั้น ระบบปฐมภูมิจึงต้องมีโรงพยาบาลแม่ข่ายที่เข้มแข็ง คอยควบคุมคุณภาพการรักษา ไม่เช่นนั้นทั้งระบบจะอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว ยังกล่าวถึงประสบการณ์ตรงว่า ตนเองยอมรับว่าเคยคาดการณ์ผิดพลาด เมื่อเข้าร่วม “โมเดล 5” ของ สปสช. ซึ่งภายหลังกลับสร้างปัญหาหนี้สินกว่า 47 ล้านบาท หากวันนั้นตัดสินใจ “ไม่รับ” การส่งต่อก็อาจไม่ต้องเผชิญปัญหาเช่นนี้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าสปสช.จะสามารถบริหารจัดการได้ จึงเลือกเข้าร่วม กระทั่งกลายเป็นภาระหนักในปัจจุบัน
ระบบบัตรทองกำลัง “ด้อยคุณภาพ” มากขึ้น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่าสิ่งที่ต้องการคือการหาทางออกที่เกื้อกูลกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ ประชาชนที่กำลังเดือดร้อน, สปสช.ในฐานะผู้บริหารและผู้จ่ายเงินกองทุน และหน่วยบริการที่ต้องทำงานร่วมกัน
หาก สปสช. ยังไม่จัดการเคลียร์ปัญหาหนี้สินอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะไม่อาจหาทางออกร่วมกันได้ ต้องเป็นคดีความต่อไปอีก
เมื่อถามถึงความคาดหวังต่อรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ รวมถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขมาก่อน พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่า เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาแก้ไข “อย่างน้อยต้องมีการเจรจาหนี้กับมงกุฎวัฒนะโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนในโซนกรุงเทพฯ เหนือได้ผ่อนคลาย และเดินหน้าสู่การแก้ปัญหาในปีงบประมาณใหม่”
“ถ้าเรื่องนี้ยังเคลียร์ไม่ได้ คุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ก็จะลดลงทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะโรงพยาบาลเอกชน แต่รวมถึงโรงพยาบาลรัฐด้วย” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
เขาอธิบายว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่การล่มสลายของระบบหลักประกันสุขภาพ แต่คือ “คุณภาพ” ที่ถดถอยลงเรื่อยๆ ทั้งที่ประเทศไทยเคยถูกยกย่องว่ามีระบบบริการที่ติดอันดับโลก แต่วันนี้กำลังด้อยลงอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังฝากไปถึงผู้บริหาร สปสช. ว่า ต้องกล้าปฏิเสธแรงกดดันทางการเมือง ไม่ควรยอมตามนโยบายประชานิยมทุกเรื่อง “สิทธิประโยชน์บางอย่าง ถ้ามีเงินมากก็ให้ได้ แต่เงินไม่พอจะฝืนให้ก็ไม่ได้ ต้องพูดตรงๆ ว่าไม่สามารถทำได้”
ยกตัวอย่างสิทธิการผ่าตัดแปลงเพศ หากจะให้บริการแปลงเพศ ต้องระบุชัดเจนว่ากรณีใดบ้างที่ทำได้ ต้องมีเงื่อนไขชัดเจน และต้องสื่อสารให้ทั้งฝ่ายการเมืองและประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยบริการไป “ทะเลาะกับประชาชน” โดยไม่มีแนวทางที่ชัดเจน
รัฐบาลและฝ่ายการเมืองต้องเข้าใจข้อจำกัดของกองทุนบัตรทอง แม้จะมีงบกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ความจริงก็ยังไม่เพียงพอต่อภาระที่เพิ่มขึ้น
“อย่าวาดฝันว่าจะขยายสิทธิแจกทุกอย่างไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ดูข้อเท็จจริง สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้รับผลกระทบจากคุณภาพที่ตกต่ำลง” พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุ
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง