กระทรวงสาธารณสุขกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายที่เรียกว่า “เพิ่มรายรับ สร้างรายได้ ยกระดับบริการ” โดยมีแผนเปิดให้บริการ “คลินิกรูปแบบพิเศษ” สำหรับ “ผู้ถือประกันสุขภาพเอกชน” ในโรงพยาบาลของรัฐ 35 แห่งทั่วประเทศเป็นโครงการนำร่อง
นโยบายนี้มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาการขาดทุนของโรงพยาบาลรัฐ แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
วิกฤติการเงินของโรงพยาบาลรัฐ
โรงพยาบาลของรัฐในปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่รุนแรง ทั้งจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายในการให้บริการที่สูงขึ้น และงบประมาณจากรัฐที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ สถานการณ์นี้ทำให้หลายโรงพยาบาลต้องประสบกับปัญหากระแสเงินสดและการขาดทุนสะสม
นโยบาย “เพิ่มรายรับ สร้างรายได้ ยกระดับบริการ” จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้บริบทนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขมองว่าการเปิดโอกาสให้ผู้ถือประกันสุขภาพเอกชนสามารถเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐได้อย่างเป็นระบบ จะเป็นแหล่งรายได้เสริมที่สำคัญ โดยไม่กระทบสิทธิของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่านี่ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่คือ “โอกาสใหม่” ของระบบสุขภาพไทยในการก้าวสู่ระบบที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คำกล่าวเช่นนี้ก็ยังไม่อาจปัดเป่าข้อกังวลของหลายฝ่ายได้
กระทรวงสาธารณสุขได้วางกรอบการดำเนินงานไว้ 5 กลไกหลัก ประกอบด้วย
- การตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติและพื้นที่
- การพัฒนาพื้นที่บริการเฉพาะสำหรับผู้ถือประกันเอกชน
- การใช้ระบบลงทะเบียนล่วงหน้าและคิวอิเล็กทรอนิกส์
- การเชื่อมโยงระบบ iClaim กับบริษัทประกันสุขภาพ
- การจัดทำแบบฟอร์มมาตรฐานสำหรับการรายงาน
กลไกเหล่านี้จะครอบคลุมและมีความเป็นระบบ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความโปร่งใสในการเรียกเก็บค่าบริการ แต่ความสำเร็จของระบบนี้ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะความพร้อมของโรงพยาบาลในการปรับตัวและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลสนใจเข้าร่วมโครงการนำร่อง 35 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อนว่าหลายโรงพยาบาลมองเห็นความจำเป็นและโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกจาก 3 กองทุนสุขภาพบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ
ขณะเดียวกัน ร่างระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการจัดบริการคลินิกพิเศษประกันสุขภาพภาคสมัครใจ พ.ศ. 2568 ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้มีกรอบทางกฎหมายที่ชัดเจน
รายชื่อเครือข่ายรพ. นำร่อง 35 แห่ง
สำหรับ เครือข่าย รพ. นำร่อง 35 แห่งรองรับบริการผู้ป่วยประกันสุขภาพเอกชนผ่าน iClaim แยกตามเขตสุขภาพ ดังนี้
- เขตสุขภาพที่ 1 : รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ / รพ.แม่ปิง / รพ.ฝาง
- เขตสุขภาพที่ 2 : รพ.พุทธชินราช / รพ.สุโขทัย/ รพ.แม่สอด / รพ.หล่มสัก
- เขตสุขภาพที่ 3 : รพ.กำแพงเพชร / รพ.อุทัยธานี / รพ.นครสวรรค์ประชารักษ์
- เขตสุขภาพที่ 4 : รพ.พระนั่งเกล้า / รพ.สระบุรี
- เขตสุขภาพที่ 5 : รพ.นครปฐม / รพ.สมุทรสาคร / รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)
- เขตสุขภาพที่ 6 : รพ.ชลบุรี / รพ.ระยอง
- เขตสุขภาพที่ 7 : รพ.ร้อยเอ็ด / รพ.ขอนแก่น / รพ.กาฬสินธุ์ / รพ.มหาสารคาม
- เขตสุขภาพที่ 8 : รพ.หนองคาย / รพ.สกลนคร / รพ.อุดรธานี
- เขตสุขภาพที่ 9 : รพ.ชัยภูมิ / รพ.ปากช่องนานา / รพ.บุรีรัมย์
- เขตสุขภาพที่ 10 : รพ.ศรีสะเกษ / รพ.วารินทร์ชำราบ / รพ.สรรพสิทธิประสงค์ / รพ.อำนาจเจริญ
- เขตสุขภาพที่ 11: รพ.วชิระภูเก็ต / รพ.นครศรีธรรมราช / รพ.สุราษฎร์ธานี / รพ.กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี
- เขตสุขภาพที่ 12 : รพ.หาดใหญ่ / รพ.ตรัง
โรงพยาบาลเอกชนไม่ค้าน มองแข่งขันสร้างสรรค์
ที่น่าสนใจคือมุมมองจากพลตรี นพ.เหรียญทอง หนาแน่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนนโยบายนี้อย่างเต็มที่ เขามองว่าการเปิดพรีเมียมคลินิกในโรงพยาบาลรัฐไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อโรงพยาบาลเอกชน เพราะบริการสุขภาพเป็นการค้าเสรีอยู่แล้ว
นพ.เหรียญทอง ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า โรงพยาบาลรัฐมีความจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนและปัญหากระแสเงินสด การให้ประชาชนที่ต้องการบริการที่สะดวกและรวดเร็วกว่าสามารถเข้าถึงได้ผ่านการร่วมจ่ายถือเป็นทางออกที่สมเหตุสมผล เขายังย้ำว่าการทำเช่นนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะความเหลื่อมล้ำไม่สามารถหายไปจากสังคมได้ แต่สิ่งสำคัญคือการบริหารให้เกิดสมดุล
มุมมองนี้สะท้อนปรัชญาที่ว่า ผู้ที่ไม่มีเงินก็ยังคงใช้สิทธิบัตรทองได้เหมือนเดิม ในขณะที่ผู้ที่มีศักยภาพมากกว่าก็สามารถเลือกใช้บริการพรีเมียมได้ สิ่งนี้จะช่วยเปิดพื้นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการพื้นฐานได้สะดวกขึ้น เพราะความแออัดจะลดลง ขณะเดียวกันโรงพยาบาลก็มีรายได้มาชดเชยส่วนที่ขาดทุน
นพ.เหรียญทองยังฝากกำลังใจไปถึงโรงพยาบาลรัฐว่า หากไม่ทำเช่นนี้ โรงพยาบาลรัฐจะยิ่งลำบาก และทุกแห่งควรทำเพื่อความอยู่รอด คำพูดนี้แม้จะมาจากผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน แต่กลับสะท้อนความเข้าใจในปัญหาโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทยได้เป็นอย่างดี
ข้อสังเกต-ข้อเสนอ คนรักหลักประกันสุขภาพ
ในขณะที่ภาคเอกชนให้การสนับสนุน แต่ยังมีข้อสังเกตจากภาคประชาสังคม โดยเฉพาะเครือข่ายกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ตั้งคำถามถึงแนวคิดพื้นฐานของนโยบายนี้ว่า หากวัตถุประสงค์คือการลดความแออัดหรือสร้างช่องทางการเข้าถึงบริการมากขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรนำไปสู่การคิดว่าต้องให้ประชาชนร่วมจ่ายตามหลักการที่ว่า ”ใครมีเงินมากกว่าก็มาใช้บริการได้ เพราะบุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลนั้นได้รับเงินเดือนจากภาษีประชาชนอยู่แล้ว“
ข้อโต้แย้งนี้น่าสนใจมาก เพราะชี้ไปที่ความขัดแย้งทางหลักการ กล่าวคือ ข้าราชการที่ได้รับเงินเดือนจากภาษีควรให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่สร้างระดับชั้นของการบริการตามกำลังทรัพย์
นอกจากนี้ นายนิมิตร์ยังชี้ว่าในกฎหมายก็มีข้อห้ามเก็บเงินอยู่แล้ว และประกาศของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้แบ่งว่าบริการนั้นอยู่ในเวลาราชการหรือนอกเวลาราชการ
ความเจ็บป่วยของประชาชนไม่ได้เลือกเวลา ดังนั้นระบบสาธารณสุขจึงต้องพร้อมให้บริการตลอดเวลา นี่คือหลักการสำคัญที่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าวางรากฐานไว้ และการสร้างระบบที่แบ่งแยกผู้ใช้บริการตามความสามารถในการจ่ายอาจขัดกับหลักการนี้
นายนิมิตร์เสนอทางเลือกอื่นที่น่าสนใจ เขามองว่าการเปิดคลินิกพรีเมียมไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน ทางออกที่ถูกต้องควรเป็นการพัฒนาระบบบริการอย่างเป็นองค์รวม
ตัวอย่างเช่น หากต้องการลดความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่ วิธีที่ดีที่สุดคือการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการใกล้บ้านได้ การขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อให้สามารถจัดการกับผู้ป่วยเบื้องต้นได้มากขึ้น หรือในกรณีของกรุงเทพมหานคร ควรมีโรงพยาบาลรัฐทุกเขต ไม่ใช่มีแค่ศูนย์บริการสาธารณสุขและคลินิกอบอุ่น
แนวทางนี้สะท้อนการมองปัญหาในระดับระบบ ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การพัฒนาระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ การกระจายทรัพยากรอย่างเหมาะสม และการเสริมสร้างขีดความสามารถของหน่วยบริการขั้นต้น จะช่วยแก้ปัญหาทั้งความแออัดและปัญหาทางการเงินได้อย่างยั่งยืนกว่า
พรีเมียมคลินิกทางรอด รพ.รัฐ?
การเปิดคลินิกพรีเมียมในโรงพยาบาลรัฐอาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในวงกว้าง ทั้งในด้านบวกและลบ ในด้านบวก อาจช่วยให้โรงพยาบาลมีรายได้เสริม ลดความแออัดในบริการปกติ และยกระดับคุณภาพบริการโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ในด้านลบ อาจเกิดการแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดความขัดแย้งภายในองค์กร และที่สำคัญคือ อาจสร้างจุดเริ่มต้นของการ “พาณิชย์นิยม” ในระบบสาธารณสุขรัฐที่อาจขยายวงกว้างขึ้นในอนาคต
หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ อาจกลายเป็นแรงจูงใจให้มีการขยายผลไปสู่บริการอื่นๆ มากขึ้น จนกระทั่งเส้นแบ่งระหว่างบริการสาธารณะกับบริการเชิงพาณิชย์เริ่มเลือนราง ซึ่งอาจไม่ใช่ทิศทางที่สังคมไทยต้องการหรือไม่
ขณะเดียวกันอีกมุมคือ โรงพยาบาลรัฐกำลังเผชิญวิกฤตทางการเงินอย่างหนัก ขาดทุนสะสม กระแสเงินสดไม่พอ เครื่องมือแพทย์เก่า อาคารทรุดโทรม บุคลากรไหลออกไปเอกชน ถ้าไม่หาทางเพิ่มรายได้ ระบบจะพังจริงๆ
การมีพรีเมียมคลินิกเปิดทางให้คนกลุ่มนี้ใช้สิทธิประกันเอกชนหรือร่วมจ่ายตรงกับโรงพยาบาล รพ.ได้เงินมากขึ้นเพื่อพัฒนาบริการ ขณะที่คิวของผู้ใช้บัตรทองก็ลดลง ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่ใช่ “ความเท่าเทียมแบบลำบากพร้อมกัน” อย่างที่เป็นอยู่
รายได้จากพรีเมียมคลินิกไม่ได้เข้ากระเป๋าใคร แต่กลับไปซื้อเครื่อง CT ใหม่ ปรับปรุงห้องผ่าตัด จ้างพยาบาลเพิ่ม และรักษาบุคลากรคุณภาพให้อยู่ในระบบ ไม่ต่างจากโมเดลในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือสิงคโปร์ ที่ต่างมีบริการคู่ขนานโดยไม่ทำให้ระบบพัง ตรงกันข้ามกลับสร้างสมดุลให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการที่เหมาะกับกำลังของตน และทำให้ระบบโดยรวมยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ระบบสาธารณสุขเป็นของประชาชนทุกคน ทุกเสียงควรได้รับการรับฟัง ทุกมุมมองควรได้รับการพิจารณา และทุกการตัดสินใจควรมีผลประโยชน์ของประชาชนทุกระดับเป็นศูนย์กลาง อาจไม่มีระบบใดที่สมบูรณ์แบบ แต่ระบบที่ดีที่สุดคือระบบที่ยอมรับข้อจำกัด และรับฟังกันให้มากที่สุด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: