ThaiPBS Logo

ความเหลื่อมล้ำสุขภาพ : “หมอ– เครื่องมือแพทย์”กระจุกตัวในเมืองใหญ่

21 ก.ย. 256813:59 น.
ความเหลื่อมล้ำสุขภาพ : “หมอ– เครื่องมือแพทย์”กระจุกตัวในเมืองใหญ่
  •  คนไทยการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพในระดับสูง 99.73 %
  •  แพทย์ยังกระจุกในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกทม. ขณะที่ภาคอีสานแพทย์ 1 คนต่อประชากร 2,497 คน ภาคใต้ แพทย์ 1 คนต่อ 1,831 คน
  • เครื่องมือแพทย์ทันสมัยยังกระจุก พบเครื่อง MRI ภาคอีสานน้อยมาก 1 เครื่องต่อ 514,600 คน

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกรายงานวิเคราะห์ ปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื่องของการบริการสาธารณสุข ปี 2567 โดยพบแพทย์ยังกระจำตัวในเขตเมือง ขณะที่ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยในภาคอีสาน และเหนือ ยังมีสัดส่วนต่อประชากรต่ำค่อนข้างมาก

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ในประเทศไทย ปี 2567  โดย  สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา  ไม่เพียงพบว่า สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่สำคัญ โดยครอบคลุมสถานการณ์ความยากจนในระดับประเทศสูงขึ้นเท่านั้น

หากยังพบว่า คนจนยังต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกด้าน  โดยยังพบปัญหาความเหลื่อมล้ำในเรื่องการบริการสาธารณสุขสูง โดยเฉพาะเรื่อง การกระจุกตัวของแพทย์ และ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้บรรลุความครอบคลุมในการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพในระดับสูง โดยในปี 2567 ประชากรไทยกว่า 99.73 % ได้รับสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

อย่างไรก็ดี ยังมีประชากรกลุ่มน้อยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสิทธิ หรืออยู่ในกลุ่มที่ต้องมีการยืนยันสิทธิเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในทะเบียนบ้าน หรือคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ สิทธิหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยมีความหลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือสิทธิบัตรทอง เป็นสิทธิที่ประชากรเข้าถึงมากที่สุด คิดเป็น 70.23 %
  2. สิทธิประกันสังคม 19.19  %
  3. สิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ/ข้าราชการการเมือง 8.08  %
  4. สิทธิสวัสดิการพนักงานส่วนท้องถิ่น 1.03 %
  5.  สิทธิอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง สิทธิคนพิการ สิทธิครูเอกชน และ สิทธิของบุคคลที่มีปัญหาสถานะสิทธิ (ยังไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้) 1.20 %

ความเหลื่อมล้ำคุณภาพของบริการสาธารณสุข

ข้อมูลจากรายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข ประจำปี 2567  สะท้อนให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำ ในการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือทางการแพทย์ระหว่างภูมิภาคยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยกรุงเทพมหานคร และเมืองใหญ่ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุทรสาคร พิษณุโลก ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา นนทบุรี และนครปฐม มีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมาก หมายความว่า แพทย์ 1 คนต้องดูแลประชากรจำนวนมาก

ข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์การแปรผัน (Coefficient of Variation: CV) ของอัตราส่วน บุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากรระหว่างจังหวัดในปี 2567 โดยพบว่าค่า CV ของแพทย์ ทันตแพทย์ และ เภสัชกรต่อประชากรอยู่ที่ 0.39, 0.28 และ 0.26 ตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงการกระจุกตัวของบุคลากรในบางพื้นที่ ขณะที่ค่า CV ของพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ 0.23 บ่งชี้ถึงการกระจายตัวที่ทั่วถึงมากกว่า

เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยกระจุกตัว

นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัย เช่น เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เครื่องตรวจอวัยวะด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และ เครื่องอัลตราซาวด์ ยังคงกระจุกตัวในเมืองใหญ่ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการตรวจที่มีความแม่นยำและรวดเร็ว

ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทยที่ยังไม่สามารถกระจายทรัพยากร ด้านเทคโนโลยีและบริการอย่างเท่าเทียม การเดินทางไกลเพื่อรับบริการทางการแพทย์ไม่เพียงสร้างภาระ ค่าใช้จ่าย แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการไม่ได้รับการรักษาในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะโรคที่ต้องการการวินิจฉัย ที่รวดเร็ว เช่น โรคหัวใจ หรือมะเร็ง ความล่าช้าในการตรวจและรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการฟื้นตัวและ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ปัญหานี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนกระจายเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์สู่โรงพยาบาล ระดับอำเภอ หรือชุมชน รวมถึงการพัฒนาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงการวินิจฉัย และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ต้องเดินทางไกล

การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนเครื่องมือ แต่ต้องมองถึงการจัดสรรทรัพยากร อย่างเป็นธรรมและการเชื่อมโยงบริการระหว่างเมืองและชนบทให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างการแก้ปัญหาตาม แนวทางแก้ไขปัญหาระยะสั้น 7 แนวทาง ดังนี้

  • กำหนดพื้นที่พิเศษ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับบุคลากร เช่น ลดระยะเวลาการใช้ทุนกรณีศึกษาต่อในระบบ
  • เพิ่มจำนวนแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ทั้งแบบฝึกภายในและร่วมฝึก เพื่อให้มีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน
  • ขอสนับสนุนแพทย์เฉพาะทางจากจังหวัดใกล้เคียง เพื่อเสริมกำลังในพื้นที่ที่ขาดแคลน
  • พัฒนาระบบบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Health) และ Telemedicine พร้อมขอความร่วมมือจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สนับสนุนระบบเหล่านี้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • กำหนดตำแหน่งข้าราชการรองรับแพทย์จากสถาบันเอกชนและต่างประเทศ เพื่อเสริมกำลังในกรณีที่จำนวนแพทย์ในระบบไม่เพียงพอ
  • พิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลาราชการหรือ โอที อาจอยู่ในอัตรา 1.5 เท่า 2 เท่าหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และ
  • ส่งเสริมสวัสดิการ เช่น บ้านพัก แพ็กเกจค่าเดินทาง เพื่อจูงใจให้แพทย์อยู่ในระบบและกระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ

ส่วนในระยะยาว อยู่ระหว่างการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการสาธารณสุข พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ.ก.สธ. ซึ่งจะช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถบรรจุแต่งตั้ง กำหนดเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการของบุคลากรทั้งหมดได้เอง รวมไปถึงกฎหมายกำหนดชั่วโมงการทำงานของแพทย์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบหลักประกันสุขภาพ

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต่อมาเรียกว่า "บัตรทอง" ซึ่งดำเนินการมาครบรอบ 20 ปีเมื่อปี 2566 และกำลังก้าวสู่ปีที่ 23 ในปี 2568 แต่ปัญหายังต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการ แม้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: