นโยบายคุมค่ายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลอนุทิน ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาค่ายาแพงและมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภคให้กระทรวงพาณิชย์คุมค่ายาโรงพยาบาลเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง
การประกาศคุมค่ายา เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน ของ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” จึงได้รับเสียงตอบรับและเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก แม้ว่ายังมีคำถามถึงความเป็นไปได้ว่า จะใช้มาตรการอะไรเข้าไปควบคุมราคายาโรงพยาบาลเอกชนและจะทำได้มากน้อยแค่ไหน
แนวทางที่ “ศุภจี” ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่แถลงนโยบายรัฐบาล ระบุ แผนงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในประเด็นด้านสุขภาพ เนื่องจากปัจจุบัน ประชาชนมีค่าใช้จ่ายด้าน สุขภาพมูลค่าสูงขึ้นและประชาชนก็อาจจะมีทางเลือกน้อยลง เพราะค่ายาก็ต้องซื้อ ประชาชนมีรายได้น้อย ต้องการจะลดค่าใช้จ่ายก็ต้องไปที่โรงพยาบาลรัฐ และ ลดค่ายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน
กระทรวงพาณิชย์ได้ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชน เรื่องเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน และไม่จำเป็นจะต้องยอมรับในค่าใช้จ่ายนั้นทันที โดยประชาชนสามารถไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ โดยสิ่งที่ทำใน 2 มาตรการคือ
- ให้โรงพยาบาลเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยสามารถทราบราคายาที่ต้องจ่ายล่วงหน้า และมีสิทธิ์เลือกไปซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ มาตรการนี้ได้ประเมินร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขว่า จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 32,400 ล้านบาทต่อปี
- การควบคุมต้นทุน ราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและป้องกันการตั้งราคาที่เกินความเหมาะสม โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนในหมวดเวชภัณฑ์ได้ถึง 1,100 ล้านบาทต่อปี
ข้อตกลงรพ.เอกชน ยังไปไม่ถึงราคายา
รูปธรรมในการขับเคลื่อนคุมราคาหลังการประกาศนโยบายคุมราคาค่ายาโรงพยาบาลเอกชน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ทำบันทึกข้อตกลง (MOU)กับโรงพยาบาล 11 เครือ และยังมีโรงพยาบาลอีก 1 แห่ง ทำให้จำนวนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300 แห่ง จากสมาชิก 354 แห่ง และเตรียมลงทะเบียนร้านขายยาที่มีกว่า 20,000 แห่ง
ข้อตกลงในMOU กับ รพ.เอกชนเบื้องต้น ยังไปไม่ถึงการคุมราคายา โดยจะดำเนินการใน 2 มาตรการประกอบด้วย
- โรงพยาบาลจะเปิดเผยรายการยาและค่ายาในใบแจ้งค่าใช้จ่าย ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาได้
- โรงพยาบาลเอกชน จะต้องแจ้งสิทธิผู้ป่วย สามารถได้รับใบสั่งยาเพื่อไปเลือกซื้อยาจากร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ภายนอกโรงพยาบาลได้
ส่วนการเข้าไปตรวจสอบโครงสร้างราคาต้นทุนยา หรือการคุมราคายา ยังไปไม่ถึง เนื่องจากกรมการค้าภายในระบุว่า เบื้องต้น ต้องการให้ประชาชนสามารถรับรู้ต้นทุนราคายา และเลือกซื้อยาจากภายนอกโรงพยาบาลได้ เพื่อให้สามารถ
ขณะที่ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้แสดงความเป็นห่วงว่า การให้ผู้ป่วยรับใบสั่งยาและไปซื้อยาภายนอกอาจจะมีปัญหาคุณภาพยา หรืออาจจะเจอยาปลอมได้ และยอมรับว่าการให้ผู้ป่วยรับใบสั่งยาไปซื้อยา นอก รพ.ได้ อาจจะกระทบกับรายได้โรงพยาบาล
อย่างไรก็ตามปัญหายาแพงนั้น ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นต้นทุนในการกำหนดราคายา เช่น ค่าที่ดิน เครื่องมือแพทย์ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาด ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกัน โดย รพ.เอกชนมีกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
เรียกร้องมานาน แต่ทำไมคุมราคายาแพงไม่ได้
ปัญหาค่ายา และค่ารักษาพยาบาล รพ.เอกชน ที่มีราคาแพง มีผู้บริโภคเรียกร้องและร้องเรียนมาที่สภาองค์กรของผู้บริโภคจำนวนมาก และมีความพยายามผลักดันให้เกิดการแก้ไข และควบคุมราคายามาอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้สภาองค์กรของผู้บริโภคเคยเสนอกระทรวงพาณิชย์ให้ควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาล และเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริงจากโรงพยาบาลเอกชนในช่วงปี 2565-2568 จำนวน 40 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 25 ล้านบาท เนื่องจากพบว่า ราคายาหลายรายการที่รพ.เอกชนเรียกเก็บสูงกว่าในตลาดเกือบ 2,000 %
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ปัญหาที่มีคือกฎหมายควบคุมมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถทำได้จริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอำนาจต่อรองของผู้บริโภคมีจำกัด บางครั้งประชาชนที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเอง ก็อาจจะเกรงใจแพทย์ หรือแพทย์เองก็อาจถูกครอบด้วยนโยบายของโรงพยาบาล เนื่องจากค่ายา ก็เป็นหนึ่งในกำไรที่สำคัญ ต้องทำให้คนไข้ซื้อยาจากโรงพยาบาลให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นการออกมาพูดถึงปัญหานี้ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะทำให้ประชาชนตื่นตัว และมีโอกาสที่จะใช้สิทธิ์ต่อรองกับโรงพยาบาลได้มากขึ้น จึงอยากเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ทำให้ผู้บริโภคหมดตัว
การคุมค่ายาแพง เกิดขึ้นมาตั้งแต่ ปี 2562 และมีการปรับปรุง ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าบริการ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศให้ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยกระทรวงพาณิชย์เข้าไปติดตามดูแล และได้กำหนดให้ยาและเวชภัณฑ์ ตามประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เป็นสินค้าควบคุม
ในประกาศควบคุมราคายาของกกร. ได้ระบุมาตรการที่บังคับใช้ คือ การเป็นสินค้าและบริการควบคุม ประกอบด้วย 1.ยารักษาโรค เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค และบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล ถูกกำหนดให้เป็น สินค้าและบริการควบคุมดังนี้
ส่วนการแจ้งราคา โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ต้องแจ้งราคาซื้อและราคาจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงอัตราค่าบริการทางการแพทย์บางรายการ ให้แก่กรมการค้าภายใน
ขณะที่การแสดงราคาและทางเลือก โรงพยาบาลต้องแสดง QR Code หรือช่องทางอื่น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาซื้อ-ขายยาและเวชภัณฑ์ได้ โดยโรงพยาบาลต้องประเมินค่ารักษาเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยทราบเมื่อร้องขอ และโรงพยาบาลต้องออกใบสั่งยาที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ หากไม่ประสงค์จะซื้อจากโรงพยาบาล
แต่การประกาศควบคุมราคายาของกกร. ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะมาตรการดังกล่าวยังไม่มีการกำหนด “เพดานราคาขาย” (Price Cap) โดยตรง ทำให้ รพ.เพียงแจ้งโครงสร้างราคายาไปยังกรมการค้าภายใน แต่ราคาค่ายายังขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน
ส่วนมาตรการ “ควบคุมการแจ้งราคา” และ “สร้างความโปร่งใส” เพื่อป้องกันการคิดราคาสูงเกินควร และเพิ่มอำนาจให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจ เพื่อนำใบสั่งยาไปซื้อยาจากภายนอกได้ แต่ในความเป็นจริง มีเพียงบาง รพ.ที่ให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาไปซื้อยาภายนอกได้
แพทยสภายอมรับคุมค่าหัตถการเป็นเรื่องยาก
ขณะที่แพทยสภา แม้จะไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมค่าหัตถการโดยตรง แต่มีหน้าที่กำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพของแพทย์และเป็นผู้กำหนดจรรยาบรรณ ส่วนค่าธรรมเนียมแพทย์ (Doctor Fee หรือ DF) ซึ่งรวมถึงค่าหัตถการ เป็นค่าตอบแทนที่แพทย์เรียกเก็บสำหรับการให้บริการ นั้นได้ออกแนวทางการกำหนดค่าธรรมเนียมแพทย์ ออกมาเป็นประกาศเพื่อใช้เป็นมาตรฐานกำหนดค่าตอบแทนในการทำ หัตถการของแพทย์
อย่างไรก็ตาม แพทยสภาก็ยอมรับว่า คู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ เป็นเพียงแนวทางให้กับโรงพยาบาล หรือ แพทย์ในการเรียกเก็บค่าบริการ ซึ่งไม่ได้มีผลในทางบังคับหรือควบคุม ซึ่งที่ผ่านมา การกำหนดราคาค่าธรรมเนียมในการทำหัตถการของแพทย์จึงขึ้นอยู่กับข้อตกลง และความพึ่งพอใจของผู้บริโภคว่ายินดีจะจ่ายหรือไม่
“เรื่องค่าธรรมเนียมแพทย์ มันเป็นเรื่องของความพึ่งพอใจทั้งสองฝ่ายระหว่างผู้บริโภค และ โรงพยาบาล เพราะบางครั้งผู้บริโภคก็อยากได้หมอผ่าตัดที่เชี่ยวชาญ พร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูง เพราะมั่นใจว่ารักษาหาย ดังนั้นในเรื่องนี้จึงเห็นว่าน่าจะเข้าไปควบคุมได้ยาก”
ยาแพงสูง 2,000 %แต่ทำไม “คุม” ไม่ได้
หากเปรียบเทียบ ราคายาและเวชภัณฑ์ของ รพ.เอกชน กับราคาท้องตลาดพบว่า หลายรายการมีราคาที่สูงเกินจริงเกือบ 2,000%
- สำลีก้อน : ราคาท้องตลาด 0.10 บาทต่อก้อน กลับเพิ่มราคาเป็นก้อนละ 7 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 6,900%
- น้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร : ราคาท้องตลาดเพียง 45 บาท ถูกคิดในราคา 919 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 1,900%
- พลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร : ราคาทั่วไปแผ่นละ 25 บาท แต่กลับถูกเรียกเก็บถึง 224 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 700%
- ถุงมือยางทางการแพทย์ : จากราคาท้องตลาด 2.5 บาทต่อชิ้น เพิ่มเป็น 17 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 580%
- ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) : ราคาทั่วไป 1 บาท /เม็ด รพ.เอกชน 7-8 บาท / เม็ด ส่วนต่างคิดเป็น 700 %
กรณีเหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์ที่ไม่มีเพดานควบคุมและขาดความโปร่งใส ซึ่งภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค บอกว่ามีผู้บริโภคจำนวนมากมาร้องเรียนที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ถึงปัญหาค่าเวชภัณฑ์ ที่สูงเกินจริงมาก แต่ยังไม่สามารถควบคุมเพดานราคาได้จริง แม้จะมีกฎหมายควบคุม
ทำไมราคายาโรงพยาบาลเอกชนแพง?
ทำไมปัญหาเรื่องราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชนแพงเกินจริง แต่ภาครัฐไม่สามารถควบคุมราคาได้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบโครงสร้างราคาต้นทุนของรพ.เอกชน และ รพ.รัฐ มีองค์ประกอบของราคายา 1 เม็ด แตกต่างกัน
ขณะที่ รพ.เอกชน อ้างถึง ค่าลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาล ค่าบริหารจัดการ แต่ รพ.รัฐได้งบประมาณสนับสนุนทำให้โครงสร้างราคายาส่วนนี้ไม่มี โดยโครงสร้างต้นทุนราคายา รพ.เอกชน ประกอบด้วย
- ค่าการบริหารยา 10-15% อย่างเช่น การจัดซื้อ การจัดเก็บ การรักษา เป็นต้น
- ค่าโรงพยาบาล 20-30%
- ค่าเนื้อยาล้วน ๆ 0-5%
- ส่วน ต่างกำไร 20-40%
จากโครงสร้างค่ายาทำให้พบว่า ต้นทุนที่เป็นเนื้อยาล้วน ๆ มีไม่มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าบริหารจัดการ ทำให้ยา 1 เม็ด มีกำไรบางครั้งอาจสูงมากกว่า 1,000% ขึ้นอยู่ยี่ห้อและชนิดยา
จะเห็นว่า สาเหตุเกิดจากโครงสร้างราคายาของโรงพยาบาลเอกชนสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ เพราะมีความแตกต่างด้านต้นทุนของโรงพยาบาลที่ เอกชนจะต้องมีต้นทุนค่าก่อสร้างโรงพยาบาล
ขณะที่โรงพยาบาลรัฐไม่มีต้นทุนด้านที่ดิน ตัวอาคาร เครื่องมือแพทย์ หรือทรัพยากรต่าง ๆ ส่วนใหญ่ใช้เงินจากงบประมาณรวมถึงการบริจาค และบุคลากรทั้งหมด (แพทย์และพนักงาน) ได้รับการจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลาง ระบบคอมพิวเตอร์และสิ่งอื่น ๆ ก็อยู่ในงบประมาณของรัฐ ดังนั้นโครงสร้างเรื่องราคาจึงแตกต่างกันทุกส่วน ไม่เพียงเฉพาะค่ายาเท่านั้น
นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐมักคิด Overhead Cost ไม่มาก เช่น บวกเพิ่มเพียง 10% จากราคายาที่ซื้อมา ขณะที่การจัดซื้อยาหรืออุปกรณ์ ในโรงพยาบาลของรัฐก็ได้ราคาต่ำกว่า รพ.เอกชนเพราะจัดซื้อจำนวนมาก ทำให้บริษัทผู้ผลิตยาก็ขายยาให้โรงพยาบาลรัฐถูกกว่า โรงพยาบาลเอกชน
“บริษัทผู้ผลิตยาจะขายยาให้กับรัฐบาลในราคาที่ถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชนโดยเฉลี่ย 20-50% ส่วนหนึ่งมาจากอำนาจในการซื้อ (Volume) เพราะรัฐบาลซื้อในปริมาณมาก (เป็นวอลูมของทั้งประเทศ) ทำให้บริษัทผลิตยาให้ราคาพิเศษ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งซื้อในปริมาณที่ไม่เท่ากัน มีราคาแพงกว่า”
รพ.เอกชนมีต้นทุนแฝงสูงกว่า รพ.รัฐ
ไม่เพียงโครงสร้างค่ายาที่แตกต่างกัน ยังมีต้นทุนแฝงและมาตรฐานการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนที่สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากรวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัชกร รวมถึงกฎหมายบางอย่างทีกำหนดเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน เช่น ต้องมีบุคลากรเฉพาะทาง อย่างพยาบาลอาชีวอนามัย (ซึ่งมีค่าตัวสูง) ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐไม่ถูกบังคับให้มี
นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชนต้องลงทุนในเครื่องมือแพทย์ราคาแพงโดยไม่มีงบประมาณจากรัฐบาล เช่น เครื่อง CT สแกน ราคา 10-20 ล้านบาท หรือเครื่อง MRI ราคา 30-50 ล้านบาท
และต้องมีเครื่องมือครบครัน มีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (EP/หมอวิกฤต), ศัลยกรรม, อายุรกรรม, สูติ, เด็ก, และวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) ฯลฯ ทำให้โครงสร้างราคายา ของ รพ.เอกชนสูงกว่า รพ.รัฐ
4 เดือน “รัฐบาลอนุทิน”คุมค่ายาได้แค่ไหน ?
ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลอนุทินจะคุมค่ายา เพื่อลดค่าครองชีพของผู้บริโภคได้มากแค่ไหน เนื่องจาการคุมราคาค่ายาไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยกรมการค้าภายใน ออกประกาศมาตรการควบคุมราคาและเงื่อนไขยา เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 87 พ.ศ.2562 เรื่องการแจ้งราคาการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์และบริการอื่นของสถานพยาบาล โดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนต้องแจ้งข้อมูลราคาซื้อ ราคาจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการรักษาพยาบาลฯ จำนวนโรงพยาบาลทั้งหมด 353 ราย แจ้งข้อมูลแล้ว 312 ราย ยังไม่แจ้งข้อมูล 37 ราย
นอกจากยังแจ้งข้อมูลไม่ครบถ้วน 14 ราย (4 รายไม่เข้าเกณฑ์แจ้งข้อมูล) มีจำนวนผู้ผลิตยา มีจำนวนทั้งสิ้น 345 ราย แจ้งข้อมูลแล้ว 240 ราย ยังไม่แจ้งข้อมูล 81 ราย และ 19 รายไม่เข้าเกณฑ์ เนื่องจากไม่มีการจำหน่ายยาให้โรงพยาบาลเอกชน และอีก 5 รายติดต่อไม่ได้
แม้จะมีบทลงโทษหากโรงพยาบาลไม่ปฏิบัติตามประกาศ กกร. ฉบับที่ 87 มีโทษ ดังนี้
- มาตรา 26 วรรคหนึ่ง ไม่แจ้งราคาซื้อ ราคาจำหน่ายตามประกาศ กกร. มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ปรับเพิ่มวันละ 2,000 บาท
- มาตรา 25 (3) ไม่แสดง OR Code ไม่ประเมินค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น ไม่ออกใบสั่งยา และใบแจ้งราคายา มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
- มาตรา 29 จำหน่ายราคาสูงเกินสมควร มีบทลงโทษคือ จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
แต่ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้เกิดขึ้น เพราะยังไม่มีการลงโทษ รพ.ที่กำหนดราคายาสูงเกินจริง ทำให้ มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอว่าในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภค ก็มีข้อเสนอต่อ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการควบคุมนั้นจะใช้กฎหมายวงเล็บไหน ในมาตรา 25 ซึ่งสภาผู้บริโภค ขอสนับสนุนให้ใช้มาตรา 25 (1) , (2) และ (5) ในเรื่องของการกำกับราคา โครงสร้างต้นทุน การเปิดเผยต้นทุนราคาของโรงพยาบาลให้กับประชาชนทราบ และหากสามารถทำได้จริง ก็จะทำให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และลดความเหลื่อมล้ำสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาล
ตรวจสอบเปรียบเทียบราคายา รพ.เอกชน
ส่วนผู้บริโภค สามารถตรวจสอบเปรียบเทียบราคายารพ.เอกชนได้ โดยกรมการค้าภายในได้จัดทำ QR CODE เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคายาได้
นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถตรวจสอบผ่านเว็บไซต์กรมการค้าภายใน และสามารถค้นหาเปรียบเทียบราคายา ได้ที่เปรียบเทียบราคายาในโรงพยาบาลเอกชนได้ที่นี่
นอกจากนี้ยังสามารถสแกน QR CODE ตรวจสอบราคายาจากโรงพยาบาลเอกชนได้แล้ว เพื่อดูข้อมูลเปรียบเทียบราคาจำหน่ายยา โดยโรงพยาบาลเอกชนติด QR code ที่โรงพยาบาลให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคายาก่อนใช้บริการ จากระบบค้นหาและเปรียบเทียบราคายาในโรงพยาบาลเอกชนข้างต้นได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม 4 เดือน รัฐบาลอนุทินจะสามารถเข้ามาคุมราคายาตามที่ประกาศได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องจับตา เพราะ กว่า 7 ปี นับจากปี 2562 มีความพยายามที่จะเข้ามาคุมราคา รพ.เอกชน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจาก รพ.เอกชน อ้างถึงโครงสร้างราคายาที่แตกต่างกัน ระหว่างรัฐ และเอกชน
ดัวนั้น นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ จะทำได้หรือไม่ ยังต้องติดตามดู แต่หากย้อนดูความพยายามผลักดันในรัฐบาลก่อน ถือว่าไม่ง่ายนัก ซึ่งนโยบายนี้ แม้จะเป็นนโยบายที่ดี แต่ในที่สุดแล้ว ก็เป็นแค่การ “พายเรือในอ่าง” รอการประกาศใหม่ทุกครั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ส่องนโยบายรัฐบาลอนุทิน: ฟื้นล้างไตฟรี ไม่มีเงื่อนไข
- เปิดศักราชใหม่? เชื่อมสิทธิ์สุขภาพ “บัตรทอง-ประกันสังคม”
- เปิด”คลินิกพิเศษ”รับประกันสุขภาพเอกชน แก้วิกฤติการเงินโรงพยาบาลรัฐ